“คนที่อยู่ตรงหน้านี้สินะ เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ พอมีอิทธิฤทธิ์อยู่บ้าง แต่ในเมื่อถูกข้าไล่ตามแล้ว หากยังสามารถหนีรอดไปได้อีก เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าตลกขบขันยิ่งนัก” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังออกมา

 

 

ภายในม่านแสงสีดำที่อยู่เบื้องล่างปรากฏร่างของหญิงสาวเงาดำผู้นั้นและเซวี่ยตู๋

 

 

ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วิธีอะไร ถึงได้ไล่ตามหานลี่ได้แม่นยำเช่นนี้ หญิงสาวหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง พลางใช้มือเดียวตั้งท่าร่ายคาถา

 

 

ม่านแสงสีดำล้อมรอบทั้งสองไว้แล้วหมุนเคว้งรอบหนึ่ง กลายเป็นเขตอาคมแสงสีดำอย่างน่าอัศจรรย์

 

 

ลำแสงประหลาดภายในเขตอาคมแสงหมุนโคจรรอบหนึ่ง เขตอาคมนี้กับร่างของเซวี่ยตู๋ก็เลือนรางเล็กน้อย ก่อนที่จะหายไปในเวลาเดียวกัน

 

 

ครู่ต่อมา ฉากที่คาดคิดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น

 

 

ภายใต้ความเร็วของเส้นไหมเรียวบางสีเขียวขาวที่เข้าใกล้คำว่ามหัศจรรย์ เบื้องหน้าไม่ไกลพลันเกิดคลื่นอากาศขึ้น เขตอาคมขนาดยักษ์สีดำก็ปรากฏออกมาอย่างน่าประหลาด

 

 

หานลี่ตกตะลึง คิดจะหยุดลำแสงหลีกหนีก็ออกจะสายไปหน่อย

 

 

ภายใต้การพุ่งอย่างสุดกำลังของปีกวายุอัสนีคู่นี้ แม้ว่ารวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ แต่กลับไม่สามารถควบคุมความเร็วได้ตามใจนึก

 

 

เห็นเพียงเส้นไหมเรียวบางสีเขียวขาวในสภาพไม่ทันป้องกัน พุ่งกระโจนเข้าไปในเขตอาคมสีดำ

 

 

หานลี่รู้สึกเพียงเบื้องหน้าดำมืด รอบทิศล้วนเต็มไปด้วยม่านแสงสีดำ ทั้งยังมีพายุทมิฬหมุนขึ้นเป็นระลอกๆ ราวกับกำลังพุ่งเข้าสู่ประตูยมโลก

 

 

หานลี่รู้สึกหวาดผวา ไม่ทันได้คิดมาก บนร่างพลันเปล่งเสียงฟ้าแลบ ทันใดนั้นประกายแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งออกมา กลายเป็นงูสายฟ้าสีทองออกมาเริงระบำทีละตัวๆ อย่างต่อเนื่อง

 

 

เกิดเสียงอัสนีบาตดังเกริกก้อง!

 

 

ไม่ว่าจะเป็นม่านแสงสีดำหรือพายุทมิฬ เมื่อเข้าใกล้ประกายสายฟ้าสีทองนี้ ทั้งหมดก็พากันระเบิดราวกับเผชิญเคราะห์ร้าย อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น

 

 

“อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะฝึกฝนเทวะอัสนีนี้ด้วย!” เสียงประหลาดใจของหญิงสาวดังขึ้นจากสี่ทิศแปดทาง เต็มไปด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น

 

 

หานลี่ตกตะลึง ขณะที่ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาใด ฉับพลันก็รู้สึกว่าม่านแสงสีดำรอบด้านมีการหมุนขึ้น ยิ่งหมุนก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ

 

 

หานลี่ตื่นตระหนกตกใจเป็นการใหญ่ ประกายแสงสีทองบนร่างพลันพุ่งทยานกลับมาพร้อมส่งเสียงฟ้าแลบ ก่อรูปร่างเป็นอาภรณ์อัสนีสีทองชุดหนึ่งห่อหุ้มร่างของตนไว้

 

 

ทว่าในตอนนี้เอง เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ของหญิงสาวก็ดังเข้ามาในหู

 

 

“สหายไม่ต้องหวาดกลัว ตัวข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่อยากเชิญสหายมาพำนักในที่ของข้าน้อยสักระยะหนึ่งเท่านั้น”

 

 

หานลี่จะยอมไปเป็นแขกอะไรนั่นตามที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ ได้อย่างไร ปีกสองข้างบนหลังพลันขยับไหว คิดจะหนีลอยนวล

 

 

ทว่าหญิงคนนั้นดูเหมือนจะคาดการณ์ถึงจุดนี้อยู่ก่อนแล้ว จึงใช้มือหนึ่งตบไปในอากาศโดยพลัน

 

 

ทว่าเมื่อพลังไร้ลักษณ์มหึมาปะทะร่าง ด้วยความแข็งแรงทนทานของกายเนื้อของหานลี่ ร่างกายก็อดไม่ได้ที่จะแข็งค้าง

 

 

หานลี่พลันรู้สึกใจหนักอึ้ง

 

 

ทว่าช้าไปเพียงชั่วครู่เดียว เขตอาคมมหึมาเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ร่างของทั้งสามก็หายไปพร้อมกัน

 

 

หานลี่บินวนกลางอากาศรอบหนึ่ง พลันแอบร้องทุกข์ในใจว่าแย่แล้ว รีบโคจรเคล็ดวิชาขับเคลื่อนภายในร่าง ประสาทการมองเห็นจึงค่อยชัดเจนขึ้นมา

 

 

เขาจึงค่อยพบว่าตนถูกส่งตัวจากกลางอากาศมาบนเนินสูงแห่งหนึ่งที่ดูคล้ายกับแท่นบวงสรวง

 

 

พื้นที่ฝ่าเท้าเหยียบลง พลันปรากฏเขตอาคมส่งตัวอีกแห่งหนึ่ง

 

 

บริเวณที่ห่างจากเขาไม่ไกล หญิงสาวผู้นั้นกับมังกรโลหิตกำลังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้น ราวกับตั้งแต่เริ่มไม่ได้ขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว

 

 

เมื่อดูจากไอสีดำหนาแน่นในอากาศบริเวณใกล้เคียง ที่นี่น่าจะเป็นชั้นใดชั้นหนึ่งที่ต่ำลงมาจากชั้นสองของเหวพสุธา

 

 

ที่ยิ่งทำให้เขารู้สึกตกตะลึงก็คือ บริเวณใกล้เคียงของหอสูงที่เขตอาคมตั้งอยู่ ยังมีปีศาจรูปลักษณ์แตกต่างกันยืนอยู่เจ็ดแปดตัว แต่ละตัวมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ

 

 

พลังยุทธ์ไม่สูง แค่ระดับก่อกำเนิดกับระดับเทพแปลงเท่านั้น!

 

 

แต่เมื่อมองจากหมู่อาคารกลุ่มใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงของเนินสูง เขาก็พบว่าตัวเองได้ถูกส่งมาในรังแห่งหนึ่งของปีศาจ

 

 

หานลี่แอบร้องทุกข์ในใจไม่หยุด ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เพียงแค่มองไปยังหญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามโดยไม่พูดไม่จา

 

 

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้ก็คือเจ้านายที่มังกรโลหิตกล่าวถึง ไม่เช่นนั้นจะมีอิทธิ์ฤทธิ์เช่นนี้ได้อย่างไร ภายในเวลาชั่วกระดิกนิ้วก็พาเขามาถึงที่แห่งนี้แล้ว

 

 

“สหายตามข้ามาที่วิหารใหญ๋ก่อนเถอะ” หญิงสาวเงาดำหัวเราะเบาๆ พลันขยับร่างคราหนึ่ง ก็ทยานไปยังหมู่อาคารที่อยู่ไกลออกไปอย่างช้าๆ

 

 

เซวี่ยตู๋มองหานลี่อย่างประเมินด้วยสายตาประหลาดคราหนึ่ง ก่อนที่จะเหาะตามหญิงสาวเงาดำอย่างไม่ใส่ใจ ดูเหมือนพวกเขาไม่กลัวว่าหานลี่จะหนีไปแม้แต่น้อย

 

 

หานลี่กวาดมองหมู่อาคารเหล่านี้หนหนึ่ง พลันทอดมองไปยังอากาศสูงที่อยู่ไกลออกไปอีกหลายครา ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มเจื่อนขึ้นมา

 

 

เห็นเพียงภายในอากาศตลบอบอวลไปด้วยเมฆสีเทา มีสายฟ้าสีดำเปล่งประกายวูบวาบอยู่ลางๆ และมีแรงกดวิญญาณประหลาดผลุบๆ โผล่ๆ เห็นได้ชัดว่าถูกคนใช้พลังยุทธ์ขุมใหญ่วางอาคมต้องห้ามไว้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำลายได้ในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน

 

 

ทว่าฟังจากคำพูดของหญิงสาวก่อนหน้านี้ ดูไม่เหมือนว่าจะลงมือสังหารตนในทันที หากเป็นเช่นนี้ ลองฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรดูก่อน เพียงแค่ไม่ยั่วโทสะอีกฝ่ายก็น่าจะไม่ถึงกับไม่สามารถหาโอกาสลงมือได้

 

 

ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยมีปีศาจหรือมนุษย์ใดๆ ที่ไม่มีความคิดและท่าทีปฏิกิริยาต่อเขา

 

 

หลังจากที่หานลี่พินิจพิจารณาในใจเสร็จ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย บนร่างพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นดวงแสงสีเขียววงหนึ่งตามไป

 

 

ภายใต้การนำทางของหญิงสาวเงาดำ หานลี่ก็ตามมาถึงหน้าวิหารไม้ใหญ่หลังหนึ่งที่สูงสุดในหมู่อาคาร ก่อนที่จะร่อนลงมา

 

 

หญิงสาวเงาดำกับมังกรโลหิตเดินสองสามก้าวเข้าไปข้างใน

 

 

หานลี่ใช้สายตากวาดมองบนร่างของปีศาจสองสามตัวที่อยู่สองข้างของวิหารใหญ่ ใบหน้ากลับปรากฏสีของความประหลาดออกมา

 

 

ปีศาจที่เฝ้าอยู่หน้าประตูวิหารเป็นปีศาจวานรร่างเตี้ยสองสามตัว ข้างใต้ลำตัวของปีศาจวานรแต่ละตนยังมีดอกไม้วิญญาณมหึมาสีดำอ่อนอยู่หนึ่งดอก รางของมันปักลงในดินโคลนที่อยู่นอกประตูวิหารอย่างมั่นคง

 

 

ดวงตาของเขาเปล่งประกายปราดหนึ่ง เผยให้เห็นถึงสีหน้าที่ราวกับคาดคิดไว้แล้ว

 

 

หานลี่รู้สึกเหมือนตัวเองจะพบสาเหตุที่อีกฝ่ายมาหาเรื่องคนอย่างตน

 

 

หานลี่ไม่มัวชักช้าอะไรอีก พลันสูดหายใจคราหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในประตูหารภายใต้สายตาที่จับจ้องของปีศาจวานรพวกนั้น

 

 

ภายในวิหารใหญ่ว่างเปล่าไร้ผู้คน!

 

 

นอกจากหญิงสาวเงาเดากับเซวี่ยตู๋ที่เพิ่งเข้ามาในวิหารแล้ว ก็ไม่มีใครเลย

 

 

สองข้างของวิหารใหญ่ มีเก้าอี้ไม้เรียงอยู่สองแถว

 

 

ส่วนหญิงสาวเมื่อเดินมาถึงบนดอกไม้ยักษ์สีทองที่ใจกลางวิหารใหญ่แล้ว ก็นั่งขัดสมาธิอย่างมั่นคง

 

 

ส่วนมังกรโลหิตก็มายืนอยู่ข้างๆ อย่างเชื่อฟัง

 

 

“เข้ามานี่ มาส่งน้ำชาให้แขก!” หญิงสาวแสดงท่าทีเป็นนัยให้หานลี่นั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งที่บริเวณใกล้เคียง พลันตบฝ่ามือแปะๆ สองที

 

 

ครู่ต่อมา ไม่รู้ว่าหญิงรับใช้ชุดเขียวใบหน้าละมุนละไมคนหนึ่งเดินเลี้ยวออกมาจากที่ใด ในมือประคองถาดไม้หนึ่งใบ บนนั้นวางถ้วยชาสีขาวไว้สองถ้วย

 

 

หญิงรับใช้ส่งถ้วยที่อยู่ในนั้นให้หานลี่ถ้วยหนึ่ง ส่วนอีกถ้วยหนึ่งมอบให้หญิงสาวเงาดำ คิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เตรียมชานี้ให้มังกรโลหิตตัวนั้น

 

 

ใบหน้าของเซวี่ยตู๋มีสีหน้าเป็นปกติ ดูเหมือนจะไม่รู้สึกว่าสิ่งนี้มีอะไรไม่เหมาะสม

 

 

หานลี่มองดูน้ำชาที่อยู่ในมือ มุมปากพลันกระตุกเกร็ง เขาไม่กล้าดื่มมันลงไป

 

 

ภายในถ้วยชาขาวสะอาดราวกับหยก แผ่กลิ่นเหม็นคาวออกมาเจือจาง คิดไม่ถึงว่าเสี้ยวหนึ่งของแก้วจะเป็นของเหลวสีดำมะเมื่อมราวกับน้ำหมึก

 

 

อย่าว่าแต่ดื่มของสิ่งนี้ลงไป แค่ลองดอมด้วยระยะใกล้เช่นนี้ก็ทำให้หานลี่สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกหลายหน

 

 

ด้วยความรอบรู้ของเขา ภายในชั่วพริบตาก็มองออกว่าในน้ำชานี้ประกอบด้วยของที่เป็นพิษอยู่ไม่น้อย มีมากพอถึงหลายสิบชนิดด้วยกัน แต่เขาก็แยกแยะได้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น

 

 

แต่พิษที่รู้จักเหล่านี้ ล้วนเป็นพิษที่คนธรรมดาแตะแล้วตายในทันที

 

 

ต่อให้หานลี่มั่นใจในกายเนื้อของตัวเองแค่ไหน ก็ไม่ยอมดื่มน้ำพิษนี้ลงไปง่ายๆ

 

 

“สหายวางใจ ชาดับทมิฬถ้วยนี้ ข้าใช้พิษแปดสิบเอ็ดชนิดหลอมขึ้นมา หนึ่งชนิดหรือหลายชนิดในนั้นย่อมเป็นของที่มีพิษ แต่ด้วยหมอกพิษทั้งหมดที่ออกฤทธิ์ต้านกันได้อย่างยอดเยี่ยม จึงไม่มีโทษ มิหนำซ้ำหากดื่มเป็นประจำ ยังมีประโยชน์ต่อจิตสัมผัสของพวกข้าอีกด้วย” ดูเหมือนจะมองออกถึงความลังเลของหานลี่ หญิงสาวจึงยิ้มจางๆ คิดไม่ถึงว่าจะก้มหน้าดื่มสิ่งที่เรียกว่า “ชาดับทมิฬ” ลงไปจริงๆ!

 

 

หานลี่หน้าเปลี่ยนสี พลันก้มมองน้ำช้าในมืออย่างละเอียด หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังจิบเล็กๆ คำหนึ่ง

 

 

ด้วยอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่าย หากคิดจะใช้วิธีลอบกัดอะไรกับเขา เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ มิสู้แสดงท่าทีของคนเฉลียวฉลาดหน่อยจะดีกว่า อีกทั้งดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องโกหกใดๆ ในเรื่องนี้

 

 

เมื่อชากลิ่นไม่พึงประสงค์เข้าไม่ไปในปาก ในตอนแรกมีรสขมประหลาด พอกลืนลงไป กลับกลายเป็นความร้อนประหลาด แผ่กระจายไปทั่วชีพจรแต่ละจุดในร่าง ขณะเดียวกัน ในสมองกลับรู้สึกเย็นเฉียบขึ้นมา สติพลันชัดเจนขึ้นมาหลายส่วน

 

 

เมื่อใช้จิตสัมผัสตรวจสอบภายในร่างอย่างรวดเร็ว ก็พบว่าไม่มีพิษหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย

 

 

หานลี่พลันรู้สึกโล่งอก!

 

 

“ขอบพระคุณสำหรับการต้อนรับของผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดผู้อาวุโสถึงได้พาชนรุ่นหลังมายังที่แห่งนี้ ชนรุ่นหลังเพิ่งมาเยือนเหวพสุธาเป็นครั้งแรก ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดที่ล่วงเกิน!” หานลี่วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะข้างๆ พลางถามอย่างเขร่งขรึม

 

 

“ข้าเชิญสหายมาที่นี่ ที่จริงแล้วมีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องการจะเจรจาแลกเปลี่ยน ทว่าเรื่องนี้ไม่รีบร้อน สหายพักที่นี่ไปก่อนสักสองสามวัน ข้าจะอธิบายให้ชัดเจนอีกที ใช่แล้ว ขอถามว่าสหายมีชื่อเรียกว่าอย่างไร ข้านามว่ามู่ชิง!” หญิงสาวเงาดำใช้สายตามองหานลี่อย่างละเอียดครู่หนึ่ง จนกระทั่งทำให้หานลี่รู้สึกขนลุกขนพองแล้ว จึงค่อยเอ่ยถามอย่างไม่กระโตกกระตาก

 

 

“ที่แท้ก็คืออาวุโสมู่ชิง ชนรุ่นหลังแซ่หาน!” หลังจากที่หานลี่ลังเลเล็กน้อย ก็เอ่ยขึ้นอย่างถ่อมตัว

 

 

การตบตานั้น เป็นเรื่องที่เปลืองแรงเอามากๆ เลยทีเดียว

 

 

“ที่แท้ก็สหายหาน! ปี้เอ๋อร์ เจ้าพาสหายหานไปพักผ่อนที่หอรับรองแขกผู้ทรงเกียรติเป็นการชั่วคราวสักระยะ ไม่ว่าจะมีความต้องการใด ก็ต้องทำให้สหายพึงพอใจ” มู่ชิงพยักหน้า พลันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

 

 

หญิงสาวชุดเขียวที่มาส่งน้ำชาให้ในตอนแรกแล้วยืนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ พลันตกตะลึง แต่ก็รีบดึงสติกลับมาแล้วคุกเข่ารับบัญชา

 

 

ด้วยความจนปัญญา หานลี่จึงต้องลุกขึ้นแล้วตามหญิงสาวชุดเขียวออกนอกวิหารใหญ่

 

 

ชั่วพริบตา ภายในวิหารก็เหลือเพียงมู่ชิงกับเซวี่ยตู๋สองคน

 

 

หญิงสาวเงาดำมองไปทางประตูวิหารที่หานลี่หายไปด้วยแววตาเปล่งประกาย ไม่รู้ว่ากำลังพินิจพิเคราะห์อะไรอยู่ ส่วนเซวี่ยตู๋กลับยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จา ราวกับกลายเป็นใบ้

 

 

“เซวี่ยตู๋ เจ้าไม่คิดจะถามข้าว่าเพราะเหตุใดถึงเปลี่ยนความคิดหน่อยหรือ?” จู่ๆ หญิงสาวก็เอ่ยขึ้น

 

 

“นายท่านเป็นเช่นนี้ ย่อมมีเหตุผลของนายท่านอยู่แล้ว ผู้น้อยไม่จำเป็นต้องถามอะไรมากขอรับ” เซวี่ยตู๋โค้งคำนับเล็กน้อย พลางพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งผิดปกติ

 

 

“คิกๆ เจ้าก็สายตาหลักแหลมเหมือนกันนี่! ที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรที่เป็นความลับ บอกเจ้าไปก็ไม่สำคัญ สาเหตุที่จู่ๆ ข้าก็เปลี่ยนความคิด ไม่คิดจะเอาเขามาทำเป็นอาหารโลหิตแล้ว ย่อมเป็นเพราะเห็นคุณค่าที่จะใช้ประโยชน์บนตัวคนผู้นี้มากขึ้นอย่างไรล่ะ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ

 

 

“คุณค่าที่มากขึ้น หรือว่านายท่านจะหมายถึงอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราที่คนผู้นี้สำแดง” มังกรโลหิตใจหายวาย ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกล่าว

 

 

“หึๆ เป็นอิทธิฤทธิ์ที่คนผู้นี้มีนั่นแหละ แม้ว่าอาหารโลหิตขั้นสุดยอดจะหายาก แต่ก็สามารถรวบรวมได้ แต่ถ้าหากมีเทวะอัสนีนี้คอยช่วย แผนการใหญ่ของพวกข้าก็จะกุมความมั่นใจมากขึ้นมาอีกขั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ การเลือกสรรดังกล่าวยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือไม่?” มู่ชิงกล่าวอย่างช้าๆ