บทที่ 1339+1340 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 1339 ความจริง 2
กู้ซีจิ่วนั่งลงตรงข้ามเขา กล่าวอย่างสบายใจ “เช่นนั้น ต่อไปข้าจะเรียกท่านว่าผู้อาวุโสตี้?”
ตี้ฝูอีวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะดังปัง ยิ้มมิเชิงยิ้มมองนาง “เจ้าลองเรียกแบบนี้ดูอีกครั้งสิ!”
น้ำเสียงของเขาน่ากลัว ยามจำเป็นกู้ซีจิ่วก็ไม่อยากกระตุกหนวดเสือ จึงส่งเสียงฮึ่มหนึ่งครา “ช่างเถิด ข้าเรียกท่านว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเหมือนเดิมก็แล้วกัน”
การเรียกขานเช่นนี้ดูห่างเหินยิ่งนัก ทว่าเธอก็เรียกเขาอย่างนี้จนเคยชินแล้วจริงๆ ทุกครั้งเมื่อเรียกชื่อนี้ เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ตี้ฝูอีไม่ได้บอกผิดถูก ยกมือผลักแก้วชามาให้นาง “ลองชิมชานี้ดู รสชาติดี อีกทั้งยังมีประโยชน์ ช่วยขจัดความเหนื่อยล้าได้”
กู้ซีจิ่วกำลังกระหายน้ำอยู่พอดี จึงรับมาดื่ม ชารสชาติหวานละมุน และเห็นได้ชัดว่าเติมส่วนผสมอื่นลงไป หลังจากดื่มแล้วไม่เพียงแต่อุ่นท้อง แต่ยังอบอุ่นหัวใจ ความเหนื่อยล้าที่เคยมีพลันจางหายไปไม่น้อย
“ชาดี!” กู้ซีจิ่วชม
ตี้ฝูอีมองนางไม่พูดไม่จา ภายในห้องเงียบไปชั่วขณะ
ทันทีที่ห้องเงียบสงัด บรรยากาศคลุมเครือเล็กน้อย กู้ซีจิ่วตื่นตระหนกอย่างมิอาจบรรยายได้ จึงหาหัวข้อสนทนามาพูดคุย “จริงสิ ท่านไปฝึกฝนที่ไหนกันแน่? ข้าตามหาท่านทุกที่ก็หาไม่เจอ”
ตี้ฝูอีเหลือบมองนาง “เจ้าตามหาข้าทำไม? ข้าทิ้งจดหมายไว้ให้เจ้าแล้วไม่ไช่หรือ?”
กู้ซีจิ่วชะงักงัน ใช่ เขาทิ้งจดหมายไว้ให้เธอแล้ว แต่เธอไม่วางใจนี่ เขาบาดเจ็บสาหัสแล้วยังหายตัวไปอีก…
เธอขบเม้มริมฝีปาก อมยิ้ม “ถือเสียว่าข้าจุ้นจ้านก็แล้วกัน…”
ตี้ฝูอียังคงเหลือบมองนาง ดวงตาเปล่งประกายเล็กน้อย อธิบายอย่างช้าๆ “บาดแผลของข้าไม่อาจรอช้า จำเป็นต้องนั่งสมาธิฟื้นฟูภายในน้ำพุสวรรค์ ก่อนไปข้าไปหาเจ้า อยากบอกเจ้าไว้สักหน่อย แต่เจ้าออกไปเก็บสมุนไพร ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด ดังนั้นข้าเลยทำได้เพียงทิ้งจดหมายไว้แล้วจากไป ข้าคิดว่าหลังจากเจ้าเห็นจดหมายจะไม่ตามหาข้าอีก”
เขาทำตามใจตนเองมาตลอดจนเคยชิน ไม่ว่าจะไปไหนแค่เพียงยกเท้าก็เดินออกไปได้เลย แม้แต่สี่ทูตยังไม่รู้ว่าเขาไปที่ใดอยู่บ่อยครั้ง เขามีนิสัยไม่ชอบบอกใคร ครั้งนี้ เขาทิ้งจดหมายไว้ให้กู้ซีจิ่วก่อนจะไป ก็นับว่าคิดอย่างรอบคอบแล้ว
กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่าเขาอธิบายได้ละเอียดถึงเพียงนี้ ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก้มหน้าจิบชาหนึ่งอึก
ตี้ฝูอีมองตาที่หลุบลงเล็กน้อยของนาง นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ “ไม่ได้เตรียมว่าจะพูดอะไรกับข้าหรือ? หรือเจ้าไม่มีอะไรอยากถามข้า?”
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามอง “ข้าว่าท่านตามข้ามาถึงที่นี่ คงมีอะไรอยากพูดกับข้า”
“ข้ามีอะไรจะพูดกับเจ้าจริงๆ กู้ซีจิ่ว เหตุใดเจ้าต้องหนีการแต่งงาน?”
กู้ซีจิ่วพูดอย่างตรงไปตรงมา “คืนนั้นข้าได้ยินท่านกับประมุขเงือกคุยกัน ท่านเตรียมร่างเดิมของข้าไว้ให้อดีตประมุขเงือกใช่หรือไม่? ท่านตามหาร่างกายที่เหมาะสมเพื่อให้นางฟื้นคืนชีพมาตลอด สุดท้ายมาลงเอยที่ร่างเดิมของข้า ร่างเดิมนั้นเคยเป็นสวะไร้ค่า ข้าฝึกฝนอย่างลำบากยากเข็ญกว่าจะบรรลุขั้นแปดได้ และข้าก็ชื่นชอบร่างเดิมของข้า ไม่ชอบร่างโคลนนิ่ง ท่านไม่บอกเหตุผลอันใดให้ข้าฟัง แต่ไม่ให้ข้าสลับร่างกลับไป ท่านไม่เพียงไม่ช่วยเหลือข้า ซ้ำยังขัดขวางที่หลงซือเย่ช่วยเหลือ ข้าคาดเดาเหตุผลที่แท้จริงของท่านมาตลอด แต่ตอนนั้นที่ข้าถาม ท่านมักพูดจาบ่ายเบี่ยง…หากข้าไม่บังเอิญไปได้ยินบทสนทนาของท่านกับพวกเขาสองพี่น้อง ข้าคงยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร…”
เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้ารู้ว่าร่างเดิมก็ไม่ใช่ร่างของข้า เป็นของคุณหนูจวนแม่ทัพคนนั้น ข้าแค่มาสิงสู่เข้าร่างโดยบังเอิญ และฝึกฝนจนมันบรรลุระดับสูงเท่านั้นเอง”
——————————————————
บทที่ 1340 ความจริง 3
เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้ารู้ว่าร่างเดิมก็ไม่ใช่ร่างของข้า เป็นของคุณหนูจวนแม่ทัพคนนั้น ข้าแค่มาสิงสู่เข้าร่างโดยบังเอิญ และฝึกฝนจนมันบรรลุระดับสูงก็เท่านั้นเอง เดิมทีร่างนั้นไม่ใช่ร่างของข้า ที่ข้าฝึกฝนมันได้ดีก็เพราะความช่วยเหลือจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย และข้าก็มีร่างใหม่อีก จึงทำให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่รู้สึกผิดอะไรเมื่อยกร่างเดิมให้คนรักเก่าฟื้นคืนชีพ ซ้ำยังได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย ถูกหรือไม่?”
นางพูดออกมารวดเดียวมากมายขนาดนี้ สายตาจ้องมองตี้ฝูอี ยามนี้ตี้ฝูอีเป็นผู้ฟังที่ดีมาก เขาไม่ได้ตอบคำถามของกู้ซีจิ่วทันที เพียงเคาะโต๊ะเบาๆ “พูดต่อไป”
กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วเล็กน้อย ในเมื่อสิ่งต่างๆ เปิดเผยแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก “แล้วท่านเคยคิดไหมว่า หากตอนนี้ท่านแต่งกับข้า หลังจากอดีตประมุขเงือกท่านนั้นฟื้นคืนชีพท่านจะจัดการอย่างไร? ท่านเฝ้าปรารถนาให้นางฟื้นคืนชีพ ความรู้สึกของท่านกับนางคงไม่เลวทีเดียว หากนางฟื้นคืนชีพขึ้นมา ท่านคงไม่วางมืออย่างแน่นอนใช่ไหม? เช่นนั้น เมื่อเวลานั้นมาถึงท่านจะให้ข้าไปอยู่ที่ใด? อยากให้ข้ากับนางเป็นเอ่อร์หวงหนี่ว์อิง สองสตรีมีสามีคนเดียวกันงั้นรึ? หรือถึงเวลานั้นไม่ต้องการข้าแล้ว จะกลับมาครองคู่กับนางดังกระจกร้าวหวนประสาน? หรือบางทีการฟื้นคืนชีพของนางต้องใช้เวลานาน เป็นร้อยเป็นพันปี ซึ่งเป็นช่วงปลอดความรัก และช่วงเวลานี้ท่านก็มาอยู่ข้างกายข้า รอให้ข้าแก่ตายหรือเหนื่อยล้ากับความรู้สึกช่วงนี้แล้วค่อยปล่อยข้าไป…”
สายตาของตี้ฝูอีเกินคาดเดา พูดเข้าประเด็นหลักก่อน “เรื่องความรัก เจ้าเคยพูดไว้ว่าขอแค่เคยครอบครอง ไม่สนใจชั่วฟ้าดินสลายไม่ใช่หรือ?”
กู้ซีจิ่วคลึงหว่างคิ้ว “ข้าเคยพูดจริง แต่ข้าคาดหวังว่าความรู้สึกของคนทั้งสองตอนรักกันคือความบริสุทธิ์ ไม่มีใครหลอกใช้ใคร ซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน ไม่มีผู้อื่นมาข้องเกี่ยว แต่ท่านทำเช่นนี้ ทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวแทน อีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นตัวแทนคั่นเวลาช่วงปลอดความรักของท่าน ท่านสัญญาจะแต่งงานกับข้าก็เพื่อชดเชยการใช้ร่างเดิมของข้า หรือไม่ท่านอาจจะชอบข้าจริงๆ และการแต่งงานกับข้าก็เป็นความปรารถนาของท่าน แต่เช่นนี้ข้ารับไม่ได้…ต่อให้ข้ากู้ซีจิ่วเป็นร่างโคลนนิ่ง แต่เมื่อมีชีวิตบนโลกใบนี้แล้วก็อยากมีชีวิตที่มีศักดิ์ศรี ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ต้องการความรู้สึกที่เหมือนเป็นการชดใช้ และยิ่งไม่ต้องการเป็นตัวแทนของผู้ใด…”
ในที่สุดเธอก็พูดความรู้สึกที่เก็บกดไว้ในใจมาหลายวันทั้งหมด รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยความอึดอัดขับข้องใจออกมาจนโล่งใจ “ท่านอาจจะรู้สึกว่าข้าไม่รู้จักดีชั่ว อาจรู้สึกว่าข้าไม่มีเหตุผล แต่ข้ารับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ จึงทำได้เพียงเลือกเดินจากไป”
ตี้ฝูอีทอดถอนใจเบาๆ “พูดจบแล้ว? แค่นี้หรือ?”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “ใช่!”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังสักหน่อย ข้อแรก อดีตประมุขเงือกไม่ใช่คู่หมั้นข้า ข้อสอง นางจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ ไม่มีทางฟื้นคืนชีพกลับมาอะไรทำนองนั้นได้ ร่างเดิมของเจ้าไม่ได้ยกให้นาง ข้อสาม ข้าไม่ได้มองเจ้าเป็นตัวแทนคั่นเวลาช่วงปลอดความรักอันใด ชั่วชีวิตนี้ข้าเคยมีความรักแค่ครั้งเดียว นั่นก็คือเจ้า ไม่เคยมีใครอื่น ระหว่างข้ากับอดีตประมุขเงือกไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด พวกเราเป็นแค่สหายกัน ข้อสี่ ข้าชอบเจ้าจึงอยากแต่งงาน เจ้าคิดว่าข้าจะแต่งกับผู้หญิงที่ตนเองไม่ได้ชอบเพื่อชดใช้อย่างนั้นหรือ? ดังนั้น สองสตรีต้องมีสามีคนเดียวกัน กระจกร้าวหวนประสานอะไรทำนองนั้น ล้วนเป็นไม่เป็นความจริง”
เขาพูดออกมาหนึ่งสองสามสี่ห้าเช่นนี้ กู้ซีจิ่วตกตะลึงแต่ก็ยังไม่เชื่อ “แต่คืนนั้นข้าได้ยินอยู่ชัดๆ ว่าพี่น้องประมุขเงือก…”
ตี้ฝูอีทอดถอนใจ “นั่นเป็นเพียงสิ่งที่พวกเขาคิดเองเออเองทั้งนั้น…”
————————————————–