มั่วชิงเฉินหยิบสุราวิญญาณออกมาอย่างเชื่อฟัง “ศิษย์พี่จื่อซี ท่านมีเรื่องอะไรอยากพูดกับข้าใช่หรือไม่”
นักพรตจื่อซีชำเลืองมองนาง ยกสุราเข้าปากก่อนตอบว่า “นางหนูน้อย บางครั้งก็ฉลาดเสียจริง ข้าแค่อยากบอกว่า ตอนนี้เจ้าคือผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณแล้ว อยู่ต่อหน้าเหอกวงเจินจวิน อย่าทำตัวเหมือนเด็กน้อยให้มากนัก มิเช่นนั้นต่อหน้าลูกศิษย์ของเจ้า ในฐานะอาจารย์ยังมีศักดิ์ศรีอะไรเหลืออยู่อีก”
มั่วชิงเฉินหัวเราะไม่ได้ยิ้มไม่ออก “ศิษย์พี่ ท่านยังมิทราบ เจ้าเด็กตู้รั่วที่ทำตัวเหมือนตาเฒ่าน้อยนั่น เทียบกับท่านและข้ายังแก่กว่าด้วยซ้ำ แต่เดิมเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ข้าก็ไม่ได้วางตัวสูงส่งแต่อย่างใด” พูดถึงตรงนี้ก็เห็นนักพรตจื่อซีทำท่าจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก “ศิษย์พี่ หากหลิวซางเจินจวินได้ยินท่านพูดเช่นนี้ เกรงว่าคงขำจนฟันร่วงแล้วกระมัง”
เหล่าศิษย์พรรคเหยากวงมีใครบ้างไม่รู้ นักพรตจื่อซีผู้นี้ชอบทำท่าออดอ้อนอาจารย์ที่รักมากที่สุด เจอหน้าหลิวซางเจินจวินก็แทบอยากจะกระโดดขึ้นบนตัวเขา หากอาจารย์อยากจะเผยกริยา ไม่หนึ่งคงร้องไห้ ไม่สองก็โวยวาย ไม่สามก็แขวนคอ ล้วนเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างดีทั้งสิ้น หลิงซางเจินจวินประมุกอาวุโสสูงสุดของพรรค มีเพียงยามเผชิญหน้ากับนักพรตจื่อซีเท่านั้น ที่มักหลบหน้าหนีหัวซุกหัวซุน
ได้ยินมั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ นักพรตจื่อซีแย้งขึ้นทันที “นี่จะเหมือนกันได้อย่างไร”
มั่วชิงเฉินมองด้วยความประหลาดใจ “ไม่เหมือนกันตรงไหน”
นักพรตจื่อซีถูกถามกลับด้วยคำถามที่ต่างออกไป
ในใจแอบปล่อยวาง ดูท่านางหนูน้อยนี่ เห็นชัดว่ายังไม่รู้ความรู้สึกทั้งหมดของเหอกวง ตนอยากเตือนด้วยความหวังดี กลับได้แต่สงสารเหอกวงที่ต้องทนรับความทรมานอย่างสาหัสเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกศิษย์อันเป็นที่รักยิ่ง
คิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกโมโหมั่วชิงเฉินขึ้นมา นางหนูนี่จิตใจอมหิตยิ่งนัก ในฐานะอาจารย์ คงเป็นเวรกรรมอย่างแท้จริง หากเหอกวงละทิ้งทุกสิ่งคงต้องควักหัวใจอันบริสุทธิ์ออกมาดูแล้ว
ในที่สุดการประลองก็สิ้นสุดลง เจ็ดวันให้หลังเปลี่ยนเป็นการประลองเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
การประลองที่เรียกว่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เทียบเท่ากับการประลองมิตรภาพ ผู้ที่ได้เข้าสู่แดนลับทั้งหมดสิบท่าน สามารถเลือกผู้ที่ตนสนใจจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้ตามใจหนึ่งครั้ง
เหตุผลที่จัดการประลองนี้ขึ้น ประการแรก เพราะสนามประลองในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ยิ่งใหญ่และอลังการเช่นนี้มีไม่มาก เป็นโอกาสหายากที่สามารถประมือกับผู้มีฝีมือที่มีระดับเดียวกันด้วยสักครา ได้ทั้งประสบการณ์ที่น่าจะจดจำและชื่อเสียง ประการที่สองในคราแรกของการประลองเฟิงอวิ๋นยิ่งเพิ่มอรรถรสและกำลังใจอย่างกว้างขวางแก่ผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกตนมาอย่างยากลำบาก ในคราที่สองของการประลองเฟิงอวิ๋นผู้มีฝีมือชั้นยอดได้ปรากฏตัวขึ้นเป็นจำนวนมาก
แม้เป็นที่รู้กันว่าบัดนี้พรต มาร และปีศาจ รักษาความสงบสุขได้เพียงชั่วคราว ก็เป็นเพราะขุมอำนาจทั้งสามเพียงเห็นพ้องไปในทางเดียวกันพอดีก็เท่านั้น หากในอนาคตมีฝ่ายใดดับดิ้นลงหรือโดดเด่นขึ้นมา ความเที่ยงธรรมชนิดนี้ย่อมพังทลายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อฝั่งของตนได้ปรากฏผู้บำเพ็ญเพียรชั้นยอด แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดี
มั่วชิงเฉินนับว่าไม่รู้สึกลำบากแต่อย่างใดที่คว้าชัยจากการประลองกับนักพรตหลันเหอที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ ตอนนี้ชื่อเสียงโด่งดังขึ้น ในระยะเวลาอันสั้นสังเกตเห็นได้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายที่อยู่บนยอดเขาห้านิ้วล้วนรู้จักนางกันหมดแล้ว เดินไปทางไหนก็มีแต่คนยกกำปั้นคารวะ และส่งยิ้มทักทาย
เห็นนางและต้วนชิงเกอยอดผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยาที่มีชื่อเสียงอันโด่งดังมายาวนานเดินจับมือพูดคุยหัวเราะกันไป ทำให้หลี่มู่จื่อผู้บำเพ็ญเพียรผู้มีใบหน้าราวกับตุ๊กตาจากนิกายเหอฮวนกัดริมฝีปากแน่น หันหน้ากลับมาหาหน้าประตูห้องของนักพรตหย่าอี้ผู้เป็นอาจารย์ตน “ท่านอาจารย์ ศิษย์เข้าไปได้หรือไม่”
“เข้ามาสิ มู่จื่อ” น้ำเสียงอ้อยอิ่งของสตรีที่อยู่ด้านในดังออกมาอย่างนุ่มนวล
หลี่มู่จื่อผลักประตูเข้าไป บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มหวาน “ท่านอาจารย์ ยินดีกับท่านด้วยที่ได้รับคุณสมบัติเข้าสู่ดินแดนสวรรค์มี่หลัวตูได้”
อาภรณ์สีเหลืองที่นักพรตหย่าอี้สวมใส่ตัดกับผิวขาวราวหิมะ เมื่อได้ยินประโยคที่หลี่มู่จื่อพูดใบหน้ากลับไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด ตอบอย่างราบเรียบว่า “นึกถึงปีนั้น ที่ข้าและซู่ฉิงเจินจวินได้รับสมญานามสองปิ่นแห่งเหอฮวน ซู่ฉิงหย่าอี้ แม้นางจะยืนอยู่ด้านหน้าข้า ทว่ากลับไม่คิดว่าข้าด้อยกว่านางตรงไหน ท้ายที่สุดนางกลับได้ขึ้นสู่ระดับก่อกำเนิดก่อน ในขณะที่ข้ายังไม่หลุดพ้นจากระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์เสียที ยังมีสิ่งใดที่ต้องยินดีอีก”
“อาจารย์…” หลี่มู่จื่อกอดแขนนักพรตหย่าอี้ส่ายไปมา พูดด้วยใบหน้าน่ารักไร้เดียงสาว่า “ซู่ฉิงเจินจวินก็แค่โชคดีกว่าท่านเท่านั้น ถึงเวลนั้นท่านออกมาจากดินแดนสวรรค์มี่หลัวตู จะต้องขึ้นสู่ระดับก่อกำเนิดอย่างแน่นอน”
นักพรตหย่าอี้ยิ้ม พูดอย่างอ่อนใจ “นางหนูน้อย ปากเจ้ายังหวานเช่นเดิม บัดนี้เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว ยังทำตัวเหมือนแม่นางน้อยสี่ห้าขวบไม่มีผิด”
ในโลกของการบำเพ็ญเพียรการเคารพและเชื่อฟังคำสอนของครูบาอาจารย์เป็นกฎเกณฑ์ที่ถ่ายทอดมาช้านาน ผู้บำเพ็ญเพียรเลือกลูกศิษย์ของตัวเองอย่างระมัดระวัง อีกทั้งหากเลือกลูกศิษย์มาแล้วต้องอบรมอย่างรอบคอบ ไม่ต่างอะไรกับเลี้ยงลูกชายหรือลูกสาว ถึงอย่างไรก็น้อยนักที่ผู้บำเพ็ญเพียรจะมีลูกเป็นของตัวเอง
ดังนั้นการที่หลี่มู่จื่อเป็นเช่นนี้ กลับทำให้นักพรตหย่าอี้รู้สึกรักจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ
เห็นอารมณ์ของอาจารย์ดีขึ้น หลี่มู่จื่อจึงพูดความต้องการออกมา “อาจารย์ ท่านอย่าลืมการประลองแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ท่านต้องเลือกมั่วชิงเฉิน ตีนางอย่างแรงสักครา ให้ศิษย์ได้ระบายอารมณ์”
“ข้าก็คิดว่าที่เจ้าร้อนใจรีบเข้ามาหาข้าเช่นนี้ ที่แท้เพราะยังไม่วางใจ ได้ อาจารย์รับปากเจ้าแล้ว ครั้งต่อไปไม่ได้แล้วนะ” นักพรตหย่าอี้ยิ้มรับ
หลี่มู่จื่อยิ้มกลับด้วยรอยยิ้มสุดแสนหวาน “ขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง ข้ารู้อยู่แล้วว่าอาจารย์ดีกับศิษย์ที่สุด ท่านวางใจ รอครั้งหน้าศิษย์ต้องไปยืนอยู่บนสนามแข่งด้วยตัวเองอย่างแน่นอน วันนี้เห็นนางมีท่าทีได้ใจต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ศิษย์มิอาจควบคุมวาจาได้จริงๆ”
ได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ หลี่มู่จื่อจึงเดินออกไปได้อย่างสบายใจ
นักพรตหย่าอี้นอนอยู่บนเก้าอี้ยาว ค่อยๆ เข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา
กลางถ้ำที่อยู่ห่างไกลออกไปพันลี้ สตรีในชุดอาภรณ์สีขาวหิมะนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงปากถ้ำ ริมฝีปากพึมพำประโยคบางอย่าง หลังจากนั้นไข่มุกหิมะขนาดเท่ากับเม็ดลำไยก็บินออกมาจากปากอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ บินขึ้นไปกลางอากาศ หันหน้าตรงไปยังดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่บนฟ้า ดูดซับรัศมีแห่งแสงจันทร์อย่างเต็มที่
สตรีในชุดอาภรณ์สีขาวหิมะประนมมือขึ้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งศรัทธาแรงกล้า และยังคงรักษาท่าทางเช่นนี้ตลอดหนึ่งชั่วยามเต็ม เสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ดังลอดออกมาเสียงหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าไข่มุกหิมะลอยอยู่กลางอากาศประหนึ่งว่าดูดกลืนพระจันทร์ทรงกลดเข้าไปมากพอแล้ว ปรากฏว่าแสงสีขาวใสยิ่งเกาะตัวมากขึ้น จากนั้นโคจรอย่างรวดเร็วและโฉบตกลงมายังเบื้องหน้าของสตรีในชุดอาภรณ์สีขาวหิมะ แสงสีขาวเปล่งประกายสะท้อนกับใบหน้าของสตรีในชุดอาภรณ์สีขาว ปานชาดสีแดงที่ระหว่างคิ้วขับเน้นให้เห็นถึงเสน่ห์ของปีศาจผู้มีรูปโฉมหยาดเยิ้มอย่างชัดเจน
ทันใดนั้นสตรีในชุดอาภรณ์สีขาวก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ปล่อยวัตถุบางอย่างไม่กี่ชิ้นบินลอยไป หลังจากนั้นก็บินไม่หยุด ในที่สุดจึงตกลงมาด้านล่าง กลายเป็นแท่นบูชาทรงกลมอย่างไม่คาดคิด
แท่นบูชาทรงพระจันทร์เต็มดวงนี้มีขนาดเท่าอ่างใบหนึ่ง สูงครึ่งจั้ง มีเพียงหลุมว่างเปล่าอยู่ตรงกลาง ที่มีขนาดพอดีกับลูกลำไย
แท่นบูชาเพิ่งปรากฏ พริบตาเดียวไข่มุกหิมะที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เปล่งประกายแสงสีขาวออกมา หลังจากนั้นพลันร่วงลงสู่กลางแท่นบูชาในทันใด
ลำแสงสีเงินสายใหญ่พุ่งตรงออกจากแท่นบูชา ยิงออกไปสู่ท้องฟ้ากว้าง ราวกับว่ามันและดวงจันทร์สว่างสไวที่อยู่บนท้องฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
สตรีในชุดอาภรณ์สีขาวหิมะหลับตาลง ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย อักขระชนิดหนึ่งพุ่งออกจากปากอย่างรวดเร็ว และถูกดูดเข้าไปในแท่นบูชาอย่างต่อเนื่อง
ลำแสงสีเงินที่ออกจากแท่นบูชาทั้งยาว ทั้งลึก และสูงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็บรรจบกับพระจันทร์บนท้องฟ้า
ช่วงเวลานี้เอง รอบตัวของสตรีในชุดอาภรณ์สีขาวหิมะมีสายลมโบกพัดโชย ราวกับเสียงของเทพเซียนที่ขับร้องอยู่เลือนรางจากพระจันทร์ดังขึ้น รวมตัวอยู่บนแท่นบูชา
มืออีกข้างของสตรีในชุดอาภรณ์สีขาวหิมะปรากฏธูปก้านหนึ่ง
นางถือธูปอย่างระมัดระวัง สำรวจด้านบนของไข่มุกหิมะที่วางอยู่ตรงกลางแท่นบูชา
ไข่มุกหิมะและแสงของพระจันทร์บรรจบกัน ทันใดนั้นจึงจุดธูป ควันธูปลอยขึ้นกลับไม่รู้สึกร้อน ความเงียบสงัดปรากฏขึ้นทั่วทั้งสถานที่แห่งนั้น