ตอนที่ 274 กลับไปยังที่ที่เคยอยู่ / ตอนที่ 275 ถนนที่คุ้นเคย

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 274 กลับไปยังที่ที่เคยอยู่

 

 

การสั่นสะเทือนของรถไฟไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของชุยหังเลย

 

 

มีหลูจื้ออยู่ข้างๆ แบบนี้จิตใจสงบขึ้นมาก

 

 

อันที่จริงการมองหาคนรักสักคนไม่ใช่เพราะอยากให้เขาซื้อของอะไรให้ตน แล้วก็ไม่ได้หวังว่าจะได้รับอะไรจากตัวเขา สิ่งที่ต้องการคือความเต็มใจที่อยากจะอยู่เคียงข้างคุณ

 

 

ตราบใดที่เขาอยู่ข้างคุณแล้วสายตาของเขาไม่ถูกคนอื่นดึงดูดให้หันไปมอง สิ่งนี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

 

 

คนสองคนสามารถมีงานอดิเรกที่แตกต่างกันได้ มีอาชีพที่แตกต่างกันได้ หรือแม้กระทั่งความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่ต้องมีมุมมองเกี่ยวกับความรักที่คล้ายกัน

 

 

อย่างน้อยที่สุดคนสองคนต้องรู้จักคิดถึงกันและกัน ไม่ใช่แค่เพียงปากพูดแต่ต้องอยู่ในใจ

 

 

เมื่อรักกันอยู่คบกัน อย่าพูดมากไร้สาระให้มาก เพราะถ้าคุณสูญเสียมันไปจริงๆ จะมาเสียใจเสียดายทีหลังมันก็คงจะน่าขำมาก

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตนไม่ง่วงแล้วจริงๆ หรือเป็นเพราะแค่อยากจะพูดคุยกับหลูจื้อให้เยอะๆ ตลอดทั้งเส้นทางชุยหังไม่ได้เลือกที่จะนอนต่อแล้ว แต่ยังคงพูดคุยถึงแผนการในอนาคตกับหลูจื้อไม่หยุดเลย

 

 

เมื่อใดก็ตามที่มีจุดที่ทั้งสองคนความคิดเห็นไม่ตรงกันเกิดขึ้นต่างก็เป็นชุยหังที่เป็นฝ่ายยอมตลอด

 

 

แน่นอนว่าถูกบังคับ

 

 

เป็นเพราะพลังออร่าของหลูจื้อมันแข็งแกร่งเกินไปชุยหังจึงไม่มีทางเลือก

 

 

อีกอย่างหลูจื้อมีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าเขา เรื่องบางอย่างชุยหังไม่เข้าใจและอยากลองสัมผัสแต่หลังจากถูกหลูจื้อปฏิเสธ ถึงแม้ชุยหังจะรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร

 

 

เขารู้ว่าหลูจื้อทำเพื่อเป็นผลดีกับตนจริงๆ และไม่มีทางที่จะใช้ข้ออ้างนี้ในการกักขังตนโดยการบอกว่าเขาทำเพื่อเป็นประโยชน์กับตนแล้วก็ต้องบีบบังคับให้ตนทำแบบนั้นให้ได้

 

 

ไม่ว่าใครเมื่อทำเพื่อประโยชน์ของคนอื่นต่างก็เพื่ออยากให้ชีวิตของคนๆ นั้นมีความสุขมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ใช่เพื่อสนองความต้องการในการบังคับบัญชาของตัวเอง

 

 

เมื่อรถไฟแล่นเข้าสู่เขตเมืองเอ้อ ชุยหังดูตัวเองที่กำลังข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงอีกครั้ง พื้นผิวแม่น้ำอันกว้างใหญ่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเล็กมากจนหาที่เปรียบไม่ได้เลย เหมือนกับเรือลำเล็กลำหนึ่งพลิ้วไหวไปตามลม

 

 

สถานีเมืองเอ้อ ชุยหังมองดูสถานที่ที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าแปลกตาแห่งนี้ ครั้งแรกที่ตนมาถึงที่นี่เขารู้สึกว่าความฝันของตัวเองกำลังจะได้โบยบินแล้ว

 

 

เพียงช่วงเปลี่ยนผ่านของปี ตอนที่เขาจากมาอย่างเศร้าหมองมันกลับมีเพียงแค่บาดแผลและรอยแผลเป็นที่ไม่มีที่สิ้นสุดในใจ

 

 

เพิ่งจะลงจากรถเขาก็เริ่มรู้สึกประหม่าแล้ว

 

 

เขากังวลจริงๆ ว่าเมื่อเขากลับมาที่เมืองนี้เขาจะต้องเผชิญกับหายนะที่ไม่มีเค้ารางเหมือนเมื่อก่อนอีก

 

 

“เป็นอะไร” หลูจื้อเห็นแววตาสับสนวุ่นวายของชุยหังแล้วก็เอ่ยถามขึ้นตรงๆ

 

 

ชุยหังส่ายหัวไปมาและพูดว่า: “ไม่เป็นอะไร แค่ไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาครั้งนี้มาเพื่ออะไร ครั้งก่อนหน้านี้เป็นนักศึกษาใหม่ที่เดินทางมารายงานตัว ตอนนั้นตรงประตูทางออกต่างเต็มไปด้วยป้ายของมหา’ ลัยต่างๆ ครั้งนี้กลับไม่มีอะไรเลย”

 

 

เมื่อฟังน้ำเสียงของชุยหังแล้วหลูจื้อก็ดึงเขาเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนของตนพลางพูดขึ้นว่า: “นายเป็นเมียฉันไงจะเป็นอะไรได้อีก?”

 

 

ภายในใจของชุยหังมีกระแสความอบอุ่นหลั่งไหลเข้ามา เขาไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

 

“มีอะไรหรอ นายรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับนาย?” หลูจื้อจงใจถาม

 

 

ชุยหังรีบอธิบายอย่างประหม่า: “แน่นอนว่าไม่ใช่ ฉันก็แค่ถอนหายใจนิดหน่อย ทุกอย่างยังเหมือนเดิมแต่คนกลับไม่ใช่ [1] ”

 

 

“พวกนักศึกษาอย่างพวกนายก็ชอบแต่อวดภูมิความรู้ เอาแต่พูดสำนวนสุภาษิตออกมาสุ่มสี่สุ่มห้า มันทำให้นายดูการศึกษาสูง?” หลูจื้อกล่าว

 

 

ชุยหังพูดขึ้นว่า: “งั้นต่อไปฉันจะพยายามไม่พูดก็แล้วกัน ฉันก็แค่อยากจะพูดว่า สถานีรถก็ยังคงเป็นสถานีรถ แต่ฉันกลับไม่ใช่ฉันคนนั้นแล้ว”

 

 

“ไร้สาระ หลังข้ามปีใหม่เสร็จนายก็อายุมากขึ้นอีกปีแล้ว ย่อมไม่ใช่นายคนเดิมอยู่แล้ว” หลูจื้อพูดอย่างตรงไปตรงมา

 

 

“โอเค นายมีเหตุผล พวกเราจะกลับกันยังไง” ชุยหังถาม

 

 

หลูจื้อพูดขึ้น: “ย่อมไม่เหมือนนายในตอนแรกที่ไปนั่งรถสิบแปดมงกุฎอยู่แล้ว”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 275 ถนนที่คุ้นเคย

 

 

ชุยหังรู้สึกอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาพูดถึงเรื่องเก่า ๆ อีกครั้งและพูดว่า: “ตอนนั้นฉันไม่รู้นี่นา ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าที่เมืองเอ้อนี่คุณภาพของพวกคนขับรถจะต่ำขนาดนี้”

 

 

หลูจื้อพูดขึ้น: “นายลองพูดให้ดังๆ กว่านี้สิ แล้วดูว่านายจะได้เดินออกจากสถานีรถนี้ไหม”

 

 

ชุยหังรู้สึกไม่ค่อยพอใจพูดขึ้นว่า: “ทำไมล่ะ กล้าทำไม่กล้ารับ? นกเก้าหัวบนท้องฟ้า [2] ประโยคต่อไปคืออะไรนายเองไม่รู้หรอ”

 

 

“ไม่ว่าที่ไหนต่างก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดีอยู่ทั้งนั้น คนตงเป่ยอย่างพวกนายนอกจากส่งเสียงดังในที่สาธารณะแล้วยังมีเรื่องไหนที่มีชื่อเสียงอีกบ้าง” หลูจื้อว่า

 

 

ชุยหังพูดขึ้น: “นั่นต่างก็เป็นพวกเศรษฐีใหม่รวยข้ามคืนทั้งนั้น มีแต่พวกแม่งทั้งนั้นแหละนั่นเป็นหนอนบ่อนไส้ของตงเป่ยถึงได้ออกไปทำขายหน้าต่อสายตาคนอื่น”

 

 

“งั้นหนึ่งในหนอนบ่อนไส้ของเมืองเอ้อก็บังเอิญได้เจอกับนายเข้าพอดี อันนี่ก็ว่าได้แค่นายโชคร้าย” หลูจื้อพูดอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน

 

 

ชุยหังรู้สึกว่าตนเหมือนจะพูดไม่สู้เขาอยู่นิดหน่อย ช่างมันละ ตอนนี้ทุกคนต่างก็เหนื่อยมากแล้วกลับไปหาที่พักให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

 

 

เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดแล้วหลูจื้อก็ถามขึ้น: “ยอมแพ้แล้วใช่ไหม”

 

 

“อืม จะไม่กล้ายอมแพ้ได้ไง เผื่อใช้กฎครอบครัวกับฉันอีกทำไง” ชุยหังว่า

 

 

หลูจื้อพูดขึ้น: “อืม เพื่อรักษาอำนาจของกฎครอบครัวฉันควรจะออกกำลังดีๆ สักหน่อยถึงจะโอเค”

 

 

ชุยหังไม่ได้คัดค้านอะไรอีกแล้ว ยังไงก็หักล้างอะไรไม่ได้

 

 

เพียงแค่คุยกับมาถึงหัวข้อนี้ก็เท่ากับเป็นการตีจุดอ่อนของเขาแล้ว

 

 

หลูจื้อหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรออกไปยังหมายเลยหนึ่งพลางถามขึ้นว่า: “พวกเราลงรถแล้ว นายอยู่ตรงไหน”

 

 

จากนั้นหลูจื้อก็พาชุยหังเดินไปข้างหน้า เบียดเสียดมุ่งไปทางประตูทางออกของสถานีรถ

 

 

เพราะคนเยอะมากเขาก็เลยหิ้วชุยหังอย่างกับเป็นลูกไก่น้อยลากชุยหังไปกลัวว่าจะถูกคนชนจนพลัดหลงกัน

 

 

หลังจากออกจากสถานีไประยะหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็เห็นรถทหารคันหนึ่ง

 

 

“มีคนมารับนาย?” ชุยหังถาม

 

 

หลูจื้อพูดขึ้น: “ไม่งั้นล่ะ?”

 

 

ชุยหังพูดขึ้น: “มันก็ถูก ระดับของนายในตอนนี้ไม่มีรถคอยรับคอยส่งก็ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่”

 

 

“ฉันไม่ต้องการพวกสิทธิพิเศษพวกนั้นหรอกนะ มีคนกังวลว่าฉันจะปฏิบัติกับนายโหดร้ายทารุณเกินไป กลัวว่าฉันจะตีนายจนขาหักจริงๆ” หลูจื้อกล่าว

 

 

“นายหมายถึงครูฝึกซ่งใช่ไหม” ชุยหังถาม

 

 

“นายรู้ได้ยังไง”

 

 

“สองวันมานี้ไม่ใช่เขาที่ช่วยหาห้องให้หรอ อีกอย่างเรื่องนี้ฉันเดาว่าคนอื่นๆ ก็คงไม่มีใครรู้ด้วย” ชุยหังกล่าว

 

 

หลูจื้อลูบหัวเขาเบาๆ หนึ่งทีแล้วพูดว่า: “ใช้ได้ ไม่นับว่าโง่เกินไป ไปเถอะขึ้นรถ”

 

 

กระจกรถถูกเลื่อนลงและเป็นซ่งไข่นั่งอยู่ในรถจริงๆ

 

 

“ในที่สุดพวกนายก็กลับมาได้สักที เป็นไงบ้างตลอดทางมาเหนื่อยหรือเปล่า” ซ่งไข่ถาม

 

 

“ไม่เหนื่อย” ชุยหังรีบพูดอย่างรวดเร็ว

 

 

หลูจื้อต่อไปอีกประโยคว่า: “เดินทางมาไม่เหนื่อย ก่อนเดินทางก็เหนื่อยพอสมควรอยู่”

 

 

สีหน้าของชุยหังเปลี่ยนในทันที หัวข้อสนทนาแบบนี้เขาก็ยังกล้าเอามาเยาะเย้ยสุ่มสี่สุ่มห้าอีก

 

 

เห็นได้ชัดว่าซ่งไข่เองก็เข้าใจความหมายและไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มรับอย่างรู้ทัน

 

 

ขณะที่นั่งอยู่บนรถมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ชุยหังก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกของตนยังไงดี

 

 

ผ่านถนนเลี้ยวลดคดเคี้ยวเส้นนั้นอีกครั้ง จากนั้นก็เหมือนจมเข้าไปในป่าไม้มองไม่เห็นด้านหน้าเลย

 

 

ชุยหังกำลังคิดว่าครั้งที่ตนได้พบกับหลูจื้อครั้งแรกดูเหมือนว่าจะเป็นสี่แยกถนนตรงด้านหน้า

 

 

ตอนนั้นตนรวบรวมความกล้าทำให้รถโจรคันนั้นหยุดลง จากนั้นก็ลงไปขวางรถทหารของหลูจื้อเอาไว้

 

 

ฉากนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในดวงตา

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งนั้น ถึงแม้ว่าต่อมาตนกับหลูจื้อจะได้พบกันอีกในภายหลัง ระหว่างพวกเขาสองคนก็คงจะไม่มาเกี่ยวข้องกันขนาดนี้หรอก

 

 

ดังนั้นถนนสายนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของพวกเขา

 

 

เมื่อหลูจื้อเห็นว่าชุยหังกำลังจับแก้มของตัวเองจึงพูดขึ้นว่า: “เป็นอะไร นึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นนายเคยด่าฉันอยู่ตรงถนนสายนี้ขึ้นมาใช่ไหม”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ทุกอย่างยังเหมือนเดิมแต่คนกลับไม่ใช่ สุภาษิต ‘物是人非’ หมายถึง สิ่งของยังคงเป็นสิ่งของดังเดิม แต่มนุษย์กลับไม่ใช่คนๆ เดิมแล้ว ส่วนใหญ่ใช้เพื่อแสดงถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว นึกถึงคนหรือสหายพวกพ้องเก่าเป็นต้น

 

 

[2] นกเก้าหัวบนท้องฟ้า มาจากสุภาษิตแบบสมบูรณ์ที่ว่า ‘天上九头鸟,地下湖北佬’ แปลว่านกเก้าหัวบนท้องฟ้า คนหูเป่ยบนดิน ซึ่งเป็นสำนวนที่ใช้มานาน เป็นการเปรียบคนเป็นเหมือนนกเก้าหัวที่แสดงถึงสติปัญญา ความสามารถ ความกล้าหาญของบุคคล นอกจากนี้ยังมีความหมายอีกทางคือนกเก้าหัวมันจะสู้กันเองเพื่อแย่งอาหาร ดังนั้นนกเก้าหัวจึงเปรียบได้กับความโลภความเห็นแก่ตัวและการทรยศหักหลังด้วย