ตอนที่ 274 กลับไปยังที่ที่เคยอยู่
การสั่นสะเทือนของรถไฟไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของชุยหังเลย
มีหลูจื้ออยู่ข้างๆ แบบนี้จิตใจสงบขึ้นมาก
อันที่จริงการมองหาคนรักสักคนไม่ใช่เพราะอยากให้เขาซื้อของอะไรให้ตน แล้วก็ไม่ได้หวังว่าจะได้รับอะไรจากตัวเขา สิ่งที่ต้องการคือความเต็มใจที่อยากจะอยู่เคียงข้างคุณ
ตราบใดที่เขาอยู่ข้างคุณแล้วสายตาของเขาไม่ถูกคนอื่นดึงดูดให้หันไปมอง สิ่งนี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
คนสองคนสามารถมีงานอดิเรกที่แตกต่างกันได้ มีอาชีพที่แตกต่างกันได้ หรือแม้กระทั่งความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่ต้องมีมุมมองเกี่ยวกับความรักที่คล้ายกัน
อย่างน้อยที่สุดคนสองคนต้องรู้จักคิดถึงกันและกัน ไม่ใช่แค่เพียงปากพูดแต่ต้องอยู่ในใจ
เมื่อรักกันอยู่คบกัน อย่าพูดมากไร้สาระให้มาก เพราะถ้าคุณสูญเสียมันไปจริงๆ จะมาเสียใจเสียดายทีหลังมันก็คงจะน่าขำมาก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตนไม่ง่วงแล้วจริงๆ หรือเป็นเพราะแค่อยากจะพูดคุยกับหลูจื้อให้เยอะๆ ตลอดทั้งเส้นทางชุยหังไม่ได้เลือกที่จะนอนต่อแล้ว แต่ยังคงพูดคุยถึงแผนการในอนาคตกับหลูจื้อไม่หยุดเลย
เมื่อใดก็ตามที่มีจุดที่ทั้งสองคนความคิดเห็นไม่ตรงกันเกิดขึ้นต่างก็เป็นชุยหังที่เป็นฝ่ายยอมตลอด
แน่นอนว่าถูกบังคับ
เป็นเพราะพลังออร่าของหลูจื้อมันแข็งแกร่งเกินไปชุยหังจึงไม่มีทางเลือก
อีกอย่างหลูจื้อมีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าเขา เรื่องบางอย่างชุยหังไม่เข้าใจและอยากลองสัมผัสแต่หลังจากถูกหลูจื้อปฏิเสธ ถึงแม้ชุยหังจะรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
เขารู้ว่าหลูจื้อทำเพื่อเป็นผลดีกับตนจริงๆ และไม่มีทางที่จะใช้ข้ออ้างนี้ในการกักขังตนโดยการบอกว่าเขาทำเพื่อเป็นประโยชน์กับตนแล้วก็ต้องบีบบังคับให้ตนทำแบบนั้นให้ได้
ไม่ว่าใครเมื่อทำเพื่อประโยชน์ของคนอื่นต่างก็เพื่ออยากให้ชีวิตของคนๆ นั้นมีความสุขมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ใช่เพื่อสนองความต้องการในการบังคับบัญชาของตัวเอง
เมื่อรถไฟแล่นเข้าสู่เขตเมืองเอ้อ ชุยหังดูตัวเองที่กำลังข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงอีกครั้ง พื้นผิวแม่น้ำอันกว้างใหญ่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเล็กมากจนหาที่เปรียบไม่ได้เลย เหมือนกับเรือลำเล็กลำหนึ่งพลิ้วไหวไปตามลม
สถานีเมืองเอ้อ ชุยหังมองดูสถานที่ที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าแปลกตาแห่งนี้ ครั้งแรกที่ตนมาถึงที่นี่เขารู้สึกว่าความฝันของตัวเองกำลังจะได้โบยบินแล้ว
เพียงช่วงเปลี่ยนผ่านของปี ตอนที่เขาจากมาอย่างเศร้าหมองมันกลับมีเพียงแค่บาดแผลและรอยแผลเป็นที่ไม่มีที่สิ้นสุดในใจ
เพิ่งจะลงจากรถเขาก็เริ่มรู้สึกประหม่าแล้ว
เขากังวลจริงๆ ว่าเมื่อเขากลับมาที่เมืองนี้เขาจะต้องเผชิญกับหายนะที่ไม่มีเค้ารางเหมือนเมื่อก่อนอีก
“เป็นอะไร” หลูจื้อเห็นแววตาสับสนวุ่นวายของชุยหังแล้วก็เอ่ยถามขึ้นตรงๆ
ชุยหังส่ายหัวไปมาและพูดว่า: “ไม่เป็นอะไร แค่ไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาครั้งนี้มาเพื่ออะไร ครั้งก่อนหน้านี้เป็นนักศึกษาใหม่ที่เดินทางมารายงานตัว ตอนนั้นตรงประตูทางออกต่างเต็มไปด้วยป้ายของมหา’ ลัยต่างๆ ครั้งนี้กลับไม่มีอะไรเลย”
เมื่อฟังน้ำเสียงของชุยหังแล้วหลูจื้อก็ดึงเขาเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนของตนพลางพูดขึ้นว่า: “นายเป็นเมียฉันไงจะเป็นอะไรได้อีก?”
ภายในใจของชุยหังมีกระแสความอบอุ่นหลั่งไหลเข้ามา เขาไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“มีอะไรหรอ นายรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับนาย?” หลูจื้อจงใจถาม
ชุยหังรีบอธิบายอย่างประหม่า: “แน่นอนว่าไม่ใช่ ฉันก็แค่ถอนหายใจนิดหน่อย ทุกอย่างยังเหมือนเดิมแต่คนกลับไม่ใช่ [1] ”
“พวกนักศึกษาอย่างพวกนายก็ชอบแต่อวดภูมิความรู้ เอาแต่พูดสำนวนสุภาษิตออกมาสุ่มสี่สุ่มห้า มันทำให้นายดูการศึกษาสูง?” หลูจื้อกล่าว
ชุยหังพูดขึ้นว่า: “งั้นต่อไปฉันจะพยายามไม่พูดก็แล้วกัน ฉันก็แค่อยากจะพูดว่า สถานีรถก็ยังคงเป็นสถานีรถ แต่ฉันกลับไม่ใช่ฉันคนนั้นแล้ว”
“ไร้สาระ หลังข้ามปีใหม่เสร็จนายก็อายุมากขึ้นอีกปีแล้ว ย่อมไม่ใช่นายคนเดิมอยู่แล้ว” หลูจื้อพูดอย่างตรงไปตรงมา
“โอเค นายมีเหตุผล พวกเราจะกลับกันยังไง” ชุยหังถาม
หลูจื้อพูดขึ้น: “ย่อมไม่เหมือนนายในตอนแรกที่ไปนั่งรถสิบแปดมงกุฎอยู่แล้ว”
ตอนที่ 275 ถนนที่คุ้นเคย
ชุยหังรู้สึกอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาพูดถึงเรื่องเก่า ๆ อีกครั้งและพูดว่า: “ตอนนั้นฉันไม่รู้นี่นา ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าที่เมืองเอ้อนี่คุณภาพของพวกคนขับรถจะต่ำขนาดนี้”
หลูจื้อพูดขึ้น: “นายลองพูดให้ดังๆ กว่านี้สิ แล้วดูว่านายจะได้เดินออกจากสถานีรถนี้ไหม”
ชุยหังรู้สึกไม่ค่อยพอใจพูดขึ้นว่า: “ทำไมล่ะ กล้าทำไม่กล้ารับ? นกเก้าหัวบนท้องฟ้า [2] ประโยคต่อไปคืออะไรนายเองไม่รู้หรอ”
“ไม่ว่าที่ไหนต่างก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดีอยู่ทั้งนั้น คนตงเป่ยอย่างพวกนายนอกจากส่งเสียงดังในที่สาธารณะแล้วยังมีเรื่องไหนที่มีชื่อเสียงอีกบ้าง” หลูจื้อว่า
ชุยหังพูดขึ้น: “นั่นต่างก็เป็นพวกเศรษฐีใหม่รวยข้ามคืนทั้งนั้น มีแต่พวกแม่งทั้งนั้นแหละนั่นเป็นหนอนบ่อนไส้ของตงเป่ยถึงได้ออกไปทำขายหน้าต่อสายตาคนอื่น”
“งั้นหนึ่งในหนอนบ่อนไส้ของเมืองเอ้อก็บังเอิญได้เจอกับนายเข้าพอดี อันนี่ก็ว่าได้แค่นายโชคร้าย” หลูจื้อพูดอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน
ชุยหังรู้สึกว่าตนเหมือนจะพูดไม่สู้เขาอยู่นิดหน่อย ช่างมันละ ตอนนี้ทุกคนต่างก็เหนื่อยมากแล้วกลับไปหาที่พักให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดแล้วหลูจื้อก็ถามขึ้น: “ยอมแพ้แล้วใช่ไหม”
“อืม จะไม่กล้ายอมแพ้ได้ไง เผื่อใช้กฎครอบครัวกับฉันอีกทำไง” ชุยหังว่า
หลูจื้อพูดขึ้น: “อืม เพื่อรักษาอำนาจของกฎครอบครัวฉันควรจะออกกำลังดีๆ สักหน่อยถึงจะโอเค”
ชุยหังไม่ได้คัดค้านอะไรอีกแล้ว ยังไงก็หักล้างอะไรไม่ได้
เพียงแค่คุยกับมาถึงหัวข้อนี้ก็เท่ากับเป็นการตีจุดอ่อนของเขาแล้ว
หลูจื้อหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรออกไปยังหมายเลยหนึ่งพลางถามขึ้นว่า: “พวกเราลงรถแล้ว นายอยู่ตรงไหน”
จากนั้นหลูจื้อก็พาชุยหังเดินไปข้างหน้า เบียดเสียดมุ่งไปทางประตูทางออกของสถานีรถ
เพราะคนเยอะมากเขาก็เลยหิ้วชุยหังอย่างกับเป็นลูกไก่น้อยลากชุยหังไปกลัวว่าจะถูกคนชนจนพลัดหลงกัน
หลังจากออกจากสถานีไประยะหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็เห็นรถทหารคันหนึ่ง
“มีคนมารับนาย?” ชุยหังถาม
หลูจื้อพูดขึ้น: “ไม่งั้นล่ะ?”
ชุยหังพูดขึ้น: “มันก็ถูก ระดับของนายในตอนนี้ไม่มีรถคอยรับคอยส่งก็ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่”
“ฉันไม่ต้องการพวกสิทธิพิเศษพวกนั้นหรอกนะ มีคนกังวลว่าฉันจะปฏิบัติกับนายโหดร้ายทารุณเกินไป กลัวว่าฉันจะตีนายจนขาหักจริงๆ” หลูจื้อกล่าว
“นายหมายถึงครูฝึกซ่งใช่ไหม” ชุยหังถาม
“นายรู้ได้ยังไง”
“สองวันมานี้ไม่ใช่เขาที่ช่วยหาห้องให้หรอ อีกอย่างเรื่องนี้ฉันเดาว่าคนอื่นๆ ก็คงไม่มีใครรู้ด้วย” ชุยหังกล่าว
หลูจื้อลูบหัวเขาเบาๆ หนึ่งทีแล้วพูดว่า: “ใช้ได้ ไม่นับว่าโง่เกินไป ไปเถอะขึ้นรถ”
กระจกรถถูกเลื่อนลงและเป็นซ่งไข่นั่งอยู่ในรถจริงๆ
“ในที่สุดพวกนายก็กลับมาได้สักที เป็นไงบ้างตลอดทางมาเหนื่อยหรือเปล่า” ซ่งไข่ถาม
“ไม่เหนื่อย” ชุยหังรีบพูดอย่างรวดเร็ว
หลูจื้อต่อไปอีกประโยคว่า: “เดินทางมาไม่เหนื่อย ก่อนเดินทางก็เหนื่อยพอสมควรอยู่”
สีหน้าของชุยหังเปลี่ยนในทันที หัวข้อสนทนาแบบนี้เขาก็ยังกล้าเอามาเยาะเย้ยสุ่มสี่สุ่มห้าอีก
เห็นได้ชัดว่าซ่งไข่เองก็เข้าใจความหมายและไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มรับอย่างรู้ทัน
ขณะที่นั่งอยู่บนรถมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ชุยหังก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกของตนยังไงดี
ผ่านถนนเลี้ยวลดคดเคี้ยวเส้นนั้นอีกครั้ง จากนั้นก็เหมือนจมเข้าไปในป่าไม้มองไม่เห็นด้านหน้าเลย
ชุยหังกำลังคิดว่าครั้งที่ตนได้พบกับหลูจื้อครั้งแรกดูเหมือนว่าจะเป็นสี่แยกถนนตรงด้านหน้า
ตอนนั้นตนรวบรวมความกล้าทำให้รถโจรคันนั้นหยุดลง จากนั้นก็ลงไปขวางรถทหารของหลูจื้อเอาไว้
ฉากนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในดวงตา
ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งนั้น ถึงแม้ว่าต่อมาตนกับหลูจื้อจะได้พบกันอีกในภายหลัง ระหว่างพวกเขาสองคนก็คงจะไม่มาเกี่ยวข้องกันขนาดนี้หรอก
ดังนั้นถนนสายนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของพวกเขา
เมื่อหลูจื้อเห็นว่าชุยหังกำลังจับแก้มของตัวเองจึงพูดขึ้นว่า: “เป็นอะไร นึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นนายเคยด่าฉันอยู่ตรงถนนสายนี้ขึ้นมาใช่ไหม”
——
[1] ทุกอย่างยังเหมือนเดิมแต่คนกลับไม่ใช่ สุภาษิต ‘物是人非’ หมายถึง สิ่งของยังคงเป็นสิ่งของดังเดิม แต่มนุษย์กลับไม่ใช่คนๆ เดิมแล้ว ส่วนใหญ่ใช้เพื่อแสดงถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว นึกถึงคนหรือสหายพวกพ้องเก่าเป็นต้น
[2] นกเก้าหัวบนท้องฟ้า มาจากสุภาษิตแบบสมบูรณ์ที่ว่า ‘天上九头鸟,地下湖北佬’ แปลว่านกเก้าหัวบนท้องฟ้า คนหูเป่ยบนดิน ซึ่งเป็นสำนวนที่ใช้มานาน เป็นการเปรียบคนเป็นเหมือนนกเก้าหัวที่แสดงถึงสติปัญญา ความสามารถ ความกล้าหาญของบุคคล นอกจากนี้ยังมีความหมายอีกทางคือนกเก้าหัวมันจะสู้กันเองเพื่อแย่งอาหาร ดังนั้นนกเก้าหัวจึงเปรียบได้กับความโลภความเห็นแก่ตัวและการทรยศหักหลังด้วย