ตอนที่ 278 ประกาศจับชิว (3)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

คราวนี้พวกหยิบหย่งสนุกสมใจ เพราะล้วนเป็นวิชาที่พวกเขาสนใจ และฝีมือของยอดคนที่มาสอนก็สูงล้ำกว่าพวกเขามาก

ชิวเยี่ยไป๋กำหนดให้มีการสอบทุกสิบวัน ใครสอบไม่ผ่านอดกินอาหารคาวหนึ่งสัปดาห์และไม่ต้องฝึกต่อ เล่นตามสบายในบ้านหนึ่งสัปดาห์ก็พอ

เดิมทีพวกหยิบหย่งยังไม่รู้สึกอะไร นี่เป็นการลงโทษเสียที่ไหน ให้เล่นเต็มที่ชัดๆ!

แต่อย่างรวดเร็วพวกเขาก็ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของการทดสอบไม่ผ่าน เพราะวิชาพวกนี้ ‘สนุก’ มาก ‘ท้าทาย’ มาก คนส่วนใหญ่จึงยินดีพยายามค้นคว้าเอง ดังนั้นทุกครั้ง ‘พวกยอดคน’ มาสอนในชั้นเรียน สามคนที่ไม่ผ่านและอดเข้าชั้นเรียนก็หาใครมาเป็นเพื่อนคุยไม่ได้แม้แต่คนเดียว

แม้หลังเลิกเรียนแล้วจะมีคนมาคุยด้วย อีกฝ่ายฟุ้งฝอยให้ฟังอย่างภูมิใจว่าวันนี้เปิดหูเปิดตาอย่างไร ตนเองฝึกได้ฝีมือชั้นยอดอะไรเพิ่มบ้าง ทำเอาคนที่อดเข้าชั้นเรียนฟังไม่รู้เรื่องและคันหัวใจยุบยิบ แต่ก็ได้แค่ทนฟังร่วมคุยด้วยไม่ได้ ได้แต่เออออแสดงความเลื่อมใสชื่นชม พอเป็นเช่นนี้คนที่มาคุยด้วยก็รู้สึกว่าพูดกับ ‘พวกนอกคอก’ ไร้รสชาติ และแล้วบรรยากาศการพูดคุยจึงเฝื่อนไป

ไม่มีใครพูดด้วย พอพูดเข้าตนเองก็ไม่สบายใจ เช่นนั้นก็นอนดีกว่า

แต่นอนเช่นนี้เจ็ดวัน คนที่ไม่ได้เข้าเรียนพบว่าตนเองนอนจนแทบจะเป็นง่อยแล้ว วันๆ วิงเวียนศีรษะ อึดอัดแทบตาย จึงพากันลอบสาบานว่าคราวหน้าคราวหลังจะไม่ยอมเป็นคนรั้งท้ายสามอันดับของการทดสอบแล้ว

พอเป็นเช่นนี้ บรรดาคนหยิบหย่งนอกจากฝึกวิทยายุทธ์พื้นฐานทั้งเช้าและเย็นแล้ว ก็ติดตามพวกอาจารย์กเฬวรากฝึกฝนอย่างทุ่มเทจนถึงระดับลืมกินลืมนอนเลยทีเดียว!

อย่าว่าแต่การพิจารณายังสนุกมากด้วย เริ่มต้นด้วยการให้พวก ‘ยอดคนยุทธจักร’ ทดสอบวิชาเฉพาะวิชาเดียว เช่น ขโมย การตบตา การพนัน การดูลักษณะม้า การฝึกสุนัข การเจาะรูพร่าสวาท

แน่นอนการพร่าสวาทย่อมต้องเป็นพวกคนของกองคั่นเฟิงเองแต่งตัวเป็น ‘เหยื่อสวาท’

เมื่อถึงกลางเดือนที่สอง วิชาที่ทดสอบเปลี่ยนเป็นรวมกำลังกันรบ…แม้เสี่ยวชีจะรู้สึกว่าน่าจะเรียกว่าสุมหัวกันทำความเลวจะตรงกว่าก็ตาม

ตัวอย่างเช่น…หัวข้อทดสอบกลางเดือนที่สองคือการไปขโมยเงินหลวงจากคลังของราชการเมือง

อวิ๋นจง จากนั้นยังต้องหาวิธีลบตราประทับของทางการบนเงินแท่งพวกนี้ออกให้หมด แล้วนำไปเก็บในร้านแลกเงินเงียบเชียบ แลกเป็นเหรียญอีแปะแจกจ่ายราษฎรในเขตยากจน

เสี่ยวชีคิดว่าถ้านี่เรียกว่าการปล้นคนรวยเจือจานคนจน ถ้าเช่นนี้การทดสอบนี้ก็ออกจะไร้จริยธรรมไปหน่อย

ยังมีคนถึงกับขโมยอนุหกซึ่งเป็นที่โปรดปรานของบ้านแม่ทัพหลูแห่งอวิ๋นจงออกมากลางดึก แล้วลอบส่งไปไว้บนเตียงบุตรชายคนโตของแม่ทัพหลู ใส่ไคล้ว่าทั้งสองมีอะไรกัน แล้วแพร่ข่าวนี้จนคนทุกตรอกซอกซอยรู้กันทั่ว

บรรดายอดคนกเฬวรากของยุทธจักรย่อมพอใจที่ได้ดูการแสดงของลูกศิษย์ แต่เรื่องเช่นนี้ เสี่ยงชีวิตจนหัวแตกก็ยังคิดไม่ออกว่ามีประโยชน์อย่างไร

“เจ้ามันหัวขี้เลื่อย จะเทียบกับคุณชายสี่ได้อย่างไร และอย่ามัวแต่รบกวนคุณชายสี่!” เสียงสดใสปานนกขมิ้นดังขึ้นข้างประตู

หนิงชิวถือกล่องสำรับเดินเข้ามาจากข้างนอก บังเอิญได้ยินคำตัดพ้อของเสี่ยวชี นางจึงเยาะเย้ยเสี่ยวชีทันที

“ไม่ใช่เฉพาะข้าที่ไม่เข้าใจ แม้แต่พวกประมุขโถงของโถงชิงหลงกับโถงไป่หู่ก็ไม่เข้าใจนะ พวกเราเป็นสำนักหอซ่อนกระบี่ที่ฐานะสูงล้ำในยุทธจักร เกิดข่าวแพร่ออกไปว่าพวกหยิบหย่งที่พวกเราสั่งสอน ทำแต่เรื่องขโมยหมาเลียนเสียงไก่พวกนี้ คนในยุทธจักรจะมองพวกเราอย่างไร!” เสี่ยวชีพึมพำอย่างไม่เห็นด้วย

หนิงชิวหรี่ตาลง “แล้วอย่างไร หอซ่อนกระบี่ของเราทำอะไรยังต้องดูสีหน้าชาวยุทธจักรตั้งแต่เมื่อใดกัน หอซ่อนกระบี่เป็นหอซ่อนกระบี่ในวันนี้ ก็เพราะจุดยืนมีธรรมะมีอธรรมตลอดกาล เจ้ามิรู้หรือ”

เสี่ยวชีพูดไม่ออก แต่ยังอดพูดไม่ได้ว่า “นี่ไม่เหมือนกัน…”

“ไม่เหมือนกันอย่างไร” ชิวเยี่ยไป๋พลันเอ่ยปาก นางค่อยๆ พับจดหมายจนเรียบร้อยพลางกล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า “พวกคนของโถงไป่หู่กับโถงชิงหลงไม่เข้าใจจึงยุให้เจ้าที่งี่เง่ามาถามข้ากระมัง”

คิดว่าพวกลูกน้องของนางคงอัดอั้นสงสัยมานาน คิดว่าเสี่ยวชีติดตามรับใช้ใกล้ชิดมานานปี ถึงพูดผิดนางก็คงไม่ตำหนิมากนัก

เสี่ยวชีหน้าแดงก่ำ กล่าวตะกุกตะกักว่า “นั่น…นั่น…ในใจพวกพี่น้อง…”

ชิวเยี่ยไป๋รับลูกอย่างเฉยเมย “ข้ารู้ว่าในใจพวกเจ้าดูพฤติกรรมของพวกเฝยหลงไม่ขึ้น แต่เสี่ยวชี เจ้าอย่าลืมสิว่าโถงชิงหลงกับโถงไป่หู่ก็แค่คัดคนฝีมือดีที่สอนเก่งมาไม่กี่คน นอกจากเจ้ากับหนิงตง หนิงชิวที่รับใช้ใกล้ชิดข้าแล้ว ไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกหยิบหย่งกับข้า และพวกต้าสู่กับเฝยหลงยิ่งไม่รู้ว่าสำนักหอซ่อนกระบี่คือของสิ่งใด”

ขณะนี้พวกต้าสู่กับเฝยหลงต่างคิดว่าบรรดายอดฝีมือข้างกายนางนี้เป็นครูสอนวรยุทธ์ที่นางยืมตัวมาจากสหาย

“ที่ข้าต้องการคือ หลังจากต้าสู่กับเฝยหลงติดตามข้ากลับราชธานีแล้ว จะสามารถเป็นคนรับผิดชอบงานได้เอง และยึดซือหลี่เจียนให้ข้าด้วย พวกเขามิใช่ไม่มีอะไรดีเลย แม้เจ้าจะนำตัวเหล่าเจอกูออกจากไหวหนานหลบภัยมาก่อน แต่เจ้าก็น่าจะเคยได้ยินจากเป๋าเป่าและคนอื่นว่าที่ไหวหนาน พวกเขาถึงกับทำเอาฝ่าบาทเซ่อกั๋วกับพวกค่งเฮ่อเจียนยังต้องถอยก้าวหนึ่งเลย”

แม้จะถูกสายตาที่เหมือนคมดาบทิ่มแทงหลายครั้ง เสี่ยวชียังคงอดพึมพำมิได้ “แล้วอย่างไร ดินเลนก่อเป็นกำแพงมิได้หรอก ยังคงเป็นผู้อื่นอ่อนข้อให้พวกเขาเท่านั้น ถ้าเป็นคนของสำนักหอซ่อนกระบี่เราย่อมมิใช่บีบให้พวกเขาถอยก้าวหนึ่งเท่านั้น”

ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้วหัวร่อ “เจ้าพูดไม่ผิด พวกเขาคือโคลนตม และข้าก็มิได้คาดหวังให้พวกเขาก่อเป็นกำแพง ที่ข้าต้องการคือให้โคลนตมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตัวอย่างเช่นบ่อโคลนก็กินคนทั้งเป็นได้”

พวกเฝยหลงกับต้าสู่เดิมทีก็เป็นพวกเตะหมาขโมยไก่อยู่แล้ว ถ้าคาดหวังว่าพวกเขาจะฝึกจนเป็นยอดฝีมือราวกับเทพยดามาช่วย เหมือนกับเทพสังหารกองปีศาจของซือหลี่เจียนในยุคจักรพรรดิ สู้คาดหวังให้พวกเขาไปเกิดใหม่ยังจะเร็วกว่า

แต่ที่พวกเขากระทำในไหวหนานวันนั้น ทำให้นางตระหนักถึงพลังอีกประเภทหนึ่ง…พลัง ‘วิถีอธรรมอันชั่วร้าย’

พวกตลาดร้านถิ่นที่มีความฉลาดเล็กๆ และพวกหยิบหย่งในกองคั่นเฟิงก็มาจากตระกูลที่ไม่ต่ำ ดังนั้นวิสัยทัศน์ของพวกเขาจึงไม่เหมือนกับคนตลาดทั่วไปเป็นธรรมดา แต่พวกเขามั่วสุมกับชาวบ้านชั่วนาตาปี กลับใช้ความฉลาดเล็กๆ ที่ไม่ได้เรื่องได้ราวเรียนรู้ปาหี่เล็กๆ พวกนั้นจนช่ำชอง

สองข้อนี้จึงลิขิตแล้วว่าพวกเขามิใช่พวกคนตลาดธรรมดา เช่นเดียวกับที่ไหวหนาน นางเพียงแค่อยากกระทุ้งพวกเขาแรงๆ สักครั้ง ให้พวกเขาเจ็บปวดบ้าง นางจึงจะสามารถปั้นพวกเขาใหม่ได้ แต่ขณะพวกเขาเผชิญหน้ากับพวกค่งเฮ่อเจียน พลันใช้ฝีมือฉกฉวยเหมือนเพลงกระบี่นอกมาตรฐาน กลับทำเอานางชื่นชมเป็นอันมาก เพลงกระบี่นอกมาตรฐานนี้อาจมิใช่กระบวนท่าที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ยอดเยี่ยมมาก!

ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนแผนเดิม ตัดสินใจจะเคารพต่อคำว่า…อบรมตามพื้นความสามารถให้ถึงที่สุด คนของกองคั่นเฟิงล้วนเป็นผู้ใหญ่แล้ว อายุน้อยที่สุดเช่นเสี่ยวโหลวก็สิบหกแล้ว ความเป็นไปได้ที่จะปลุกปั้นใหม่น้อยมาก อย่างนั้นก็พาลใช้ความสามารถไม่ได้มาตรฐานของพวกเขาซึ่งถูกคนดูหมิ่นดูแคลน บ่มเพาะให้ไม่ได้มาตรฐานจนถึงที่สุดเสียเลย!