ตอนที่ 56-2 นั่งเกี้ยวเจ้าสาวและเข้าห้องหอ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

นางพึมพำว่า “พี่มีพรสวรรค์ด้านการด่าคนไม่เบาเลยนะ…” ก่อนจะสูดหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วฝืนใจหายตัวครั้งสุดท้าย

 

 

ตรงหน้าพลันมืดมิด เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ตรงหน้าก็คือเส้นทางสายน้อยที่คดเคี้ยววกวน

 

 

สายตาทอดมองไปข้างหน้า มองเห็นบ้านบางหลัง หมู่บ้านน้อยๆ แห่งนั้นนั่นเอง ซ้ำยังมองเห็นเงาคนสีขาวที่ผลุบโผล่ในหมู่บ้าน ลูกศิษย์นิกายสวรรค์พวกนั้นคงไม่พลาดการสืบค้นหมู่บ้านที่ซ่อนคนได้เพียงแห่งเดียวนี้อยู่แล้ว

 

 

นางฝืนหัวเราะ ว่ากันว่าภัยพิบัติต่างๆ ประดังกันเข้ามา แม้แต่หายตัวก็ยังผิดพลาด หายตัวมาถึงตรงหน้าศัตรู

 

 

นางก็เดินไม่ไหวอีกแล้ว นั่งลงในพงหญ้าข้างๆ อย่างอ่อนเพลีย นางอยากฉวยโอกาสที่ศัตรูยังไม่ปรากฏ พักผ่อนบำรุงกำลัง

 

 

นางอยากสะสมกำลังสักหน่อย อีกเดี๋ยวรอให้ศัตรูโผล่มาค่อยล่อพวกเขาไปที่ทางหวังจิ้นนั้น

 

 

ท่านมู่ซ่อนอยู่ในถ้ำ น่าจะปลอดภัยอย่างยิ่ง คงดีกว่าที่คนบาดเจ็บและเดินเหินไม่สะดวกอย่างเขา ต้องพานางที่ป่วยไข้ไปด้วย

 

 

นางมองออกว่าอาการของท่านมู่ย่ำแย่จริงๆ แม้เขาจะพยายามปิดบัง แต่เขาหายใจไม่นิ่ง ไม่เหมาะที่จะลงมือด้วยซ้ำ

 

 

คนนี้อาจจะเก่งมาก แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่สภาพที่ดีที่สุดของเขา

 

 

เช่นนั้นแล้วทำไมต้องพากันไปตาย

 

 

นางเงยหน้าขึ้นมองฟ้า บ้าบอ วันนี้ยังไม่มีจันทร์กระจ่าง พลังภายในจันทร์กระจ่างของนางโคจรดีที่สุดในอากาศปลอดโปร่งเห็นพระจันทร์

 

 

ในหมู่บ้านเกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เหมือนจะคึกคักเป็นอย่างมาก คนชุดขาวพวกนั้นสืบค้นในที่ลับตา ไม่ได้รบกวนคนในหมู่บ้าน มองจากมุมของจิ่งเหิงปัว ยังได้เห็นว่าใต้ชายคาบ้านเรือนหลายแห่งห้อยโคมไฟสีแดงเข้ม

 

 

ขณะนี้ไม่ใช่ปีใหม่ไม่ใช่เทศกาล แล้วทำไมถึงห้อยโคมแดง?

 

 

บนเส้นทางสายน้อยแว่วเสียงฝีเท้าขึ้นกะทันหัน รีบร้อนยุ่งเหยิง คนมาไม่มีวรยุทธ์

 

 

นางยื่นหน้าออกไปก็เห็นสาวน้อยชุดแดงคนหนึ่งหอบกระโปรงวิ่งอยู่บนเส้นทาง วิ่งไปด้วยเหลียวหลังมองรอบด้านไปด้วย

 

 

นางวิ่งผ่านข้างกายจิ่งเหิงปัว ชายกระโปรงแดงปักลายเป็ดแมนดาริน

 

 

ในใจจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ ตะโกนออกมาเบาๆ “นี่!”

 

 

สาวน้อยนั้นไม่ได้ระวังว่าข้างหลังมีคน เดิมทีก็ตึงเครียด เมื่อได้ยินเสียงนี้ก็พลันสะดุดก้อนหิน โซเซจนล้มลงกับพื้น

 

 

นางก็ลุกไม่ขึ้น ใช้แขนเสื้อปิดหน้าซบอยู่ตรงนั้น ร้องไห้ออกมาว่า “ข้าไม่กลับ! ข้าไม่กลับ! พวกเจ้าตีข้าให้ตายไปเลย! ให้ตายข้าก็ไม่ยอมสมรสกับคนโง่ปัญญาอ่อนผู้นั้น…”

 

 

จิ่งเหิงปัวลุกขึ้น ก่อนค่อยๆ เข้าใกล้ เห็นสาวน้อยสวมรองเท้าแดงปักลายเป็ดแมนดารินคลอเคลียและกระโปรงแดงปักลายหงส์คู่ร่วมมงคลได้ชัดเจน นางสวมชุดแต่งงานจริงๆ ด้วย

 

 

นางเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว แผ่นดินใหญ่แห่งนี้มีประเพณีรับตัวเจ้าสาวก่อนฟ้าสาง

 

 

นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ตัวเองเพิ่งจะทะลุมิติมาก็เคยเจอเกี้ยวเจ้าสาวก่อนฟ้าสาง ซ้ำยังเคยอาศัยเกี้ยวเจ้าสาวคนอื่นหลบเหยียลี่ว์ฉี

 

 

เรื่องราวหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ขณะนี้คิดแล้วเสมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง

 

 

ดูจากท่าทางของแม่นางคนนี้แล้ว ไม่ใช่เจ้าสาวที่ชื่นมื่นสุขสันต์คนนั้นในตอนแรก เห็นได้ชัดว่าจะหนีการแต่งงาน

 

 

นางเข้าใกล้อย่างแผ่วเบา ก่อนนั่งยองๆ ลงไปถอดชุดแต่งงานของสาวน้อยคนนั้น

 

 

สาวน้อยนั้นตกใจจนพลันเงยหน้า เห็นหน้าของนางอดจะตกใจไม่ได้ คิดจะดิ้นรน นางกดไหล่ของสาวน้อยไว้อย่างแผ่วเบาแล้ว

 

 

“มาสิ ข้าจะนั่งเกี้ยวเจ้าสาวแทนเจ้า”

 

 

 

 

ชั่วครู่ต่อมา ในหมู่บ้านเล็กๆ แว่วเสียงดังโวยวาย

 

 

“หนีไปแล้ว! รีบตามไป!”

 

 

“ฟ้ามืด ทางออกหมู่บ้านก็มีอยู่ทางเดียว หนีไปได้ไม่ไกลหรอก ตามไป!”

 

 

เสียงฝีเท้าสับสน ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งไล่ตามออกจากหมู่บ้านมา เดินไปข้างหน้าตามทิศทางของเส้นทางน้อย

 

 

บนยอดไม้ข้างหมู่บ้านมีเงาคนสีขาวล่องลอยอยู่ น่ามู่เอ่อร์ยิ้มเยาะมองข้างล่าง บนใบหน้าสูงส่งเหนือผู้อื่นเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย

 

 

เมื่อครู่เขามองทั่วทั้งหมู่บ้าน รวมทั้งเจ้าสาวที่ร้องห่มร้องไห้คนนั้นแล้ว รู้ว่าแม่นางนี้จะต้องสมรสกับคนโง่ผู้หนึ่งเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้พี่ชายน้องชายสมรสกับน้องสาวของคนโง่ได้ แม่นางไม่ยอม จึงหนีไปแล้ว

 

 

“เกิดแก่เจ็บตาย สมรสฝังศพ ไม่เป็นอิสระทั้งสิ้น ผู้อื่นควบคุมทั้งสิ้น…” เขาคล้ายถอนใจอย่างสังเวช “นี่ก็คือความทุกข์ทรมานของปุถุชน…”

 

 

สายตาของเขาทอดลงบนร่างแม่นางนั้น คิดอยู่ชั่วครู่เอ่ยสืบต่อว่า “สตรีในโลกนี้ ยังนับว่าไม่เลว”

 

 

เขาลอยผ่านยอดไม้ เตรียมพาคนค้นหาบริเวณนี้อีกรอบ

 

 

 

 

คนในหมู่บ้านไล่ตามเส้นทางสายน้อย อย่างที่คิดไว้ไม่นานเท่าใด ระหว่างทางก็เห็นสาวน้อยเดินโซเซไปข้างหน้า “เอ้อร์ยาโถว!”

 

 

คนกลุ่มหนึ่งเพิ่มความเร็วฝีเท้าพุ่งขึ้นไปจับเอ้อร์ยาไว้ เอ้อร์ยาก้มหน้าอย่างอ่อนยวบในมือพวกเขา คล้ายยอมรับชะตากรรม ยังคงสะอึกสะอื้นแผ่วเบา

 

 

คนที่วิ่งอยู่หน้าสุดคือพี่ใหญ่ของเอ้อร์ยา ชายหนุ่มแข็งแรงผู้นั้นคว้าไหล่ของเอ้อร์ยาไว้ ฟาดมือก็จะตบหน้าน้องสาวที่เกือบทำเขาเสียเรื่อง

 

 

เอ้อร์ยาพลันเงยหน้าจ้องเขาปราดหนึ่ง นัยน์ตาคู่หนึ่งกลางเส้นผม แวววาวคล้ายแสงพลอย

 

 

พี่ใหญ่ของเอ้อร์ยาใจสั่น มือชูอยู่กลางอากาศแต่ไม่กล้าสะบัดลงมา คนข้างกายรั้งเขาไว้ก่อนแล้ว โน้มน้าวว่า “เอ้อร์ยาเพียงเลอะเลือนไปชั่วขณะ…อย่าตี ตีเจ้าสาวบาดเจ็บจะดูไม่ดี ต้องปีติยินดีนั่งเกี้ยวเจ้าสาว”

 

 

ชายหนุ่มผู้นั้นปล่อยมือ ส่งเสียงฮึดฮัดเอ่ยว่า “ตามข้ากลับไป! หากหนีไปอีก จะตีเจ้าให้ขาหัก!”

 

 

เอ้อร์ยาไม่ดิ้นรนอีกแล้ว ถูกคนกลุ่มหนึ่งลากกลับไป ร่างของนางห้อยอยู่บนไหล่ของพี่ชายนางอย่างอ่อนยวบ คล้ายคร้านจะเปลืองแรงอีกต่อไป

 

 

พี่ใหญ่ของเอ้อร์ยารู้สึกถึงความร้อนผ่าวบนร่างน้องสาว ฝ่ามือกลับเย็นเยือก ในใจรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง ทว่าขณะนี้เขาเพียงอยากให้งานสมรสเสร็จสิ้นโดยเร็ว กลัวว่าเรื่องน้องสาวป่วยจะเป็นปัญหาแทรกซ้อน ตัดสินใจไม่แค่นสักเสียง

 

 

สิ่งนี้ตรงตามความต้องการของจิ่งเหิงปัวพอดี

 

 

เอ้อร์ยาในขณะนี้แน่นอนว่าเป็นนาง เอ้อร์ยาตัวจริงซ่อนอยู่หลังหินทางนั้นทั่วร่างสั่นสะท้าน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงได้มีคนยินยอมนั่งเกี้ยวเจ้าสาวแทนผู้อื่น

 

 

ชาวบ้านลากจิ่งเหิงปัวกลับไป หลายคนช่วยกันก็ไม่มีคนสนใจหน้าของนาง เสร็จแล้วขังไว้ในห้องหอ ลั่นกุญแจประตู ข้างนอกล้อมจนน้ำรั่วออกมาไม่ได้ รอคอยนั่งเกี้ยวเจ้าสาว

 

 

จิ่งเหิงปัวเข้าไปแล้ว แม่นางที่เป็นสะใภ้อยู่กันเต็มห้อง นางก้มหน้าลง ล้มตัวลงบนเตียง คว้าผ้าห่มขึ้นมาห่อตัว แล้วหันหน้าหากำแพง ร้องไห้ฮือๆๆ หลายเสียง

 

 

นางร้องไห้ขนาดนี้ คนอื่นนึกว่านางกำลังเสียใจ ในใจก็ค่อนข้างสงสาร ไม่อยากฝืนลากนางขึ้นมาแล้วด้วย ขณะนั้นก็มีแม่นางที่เป็นพี่สะใภ้ที่สนิทกับเอ้อร์ยาหลายนางเข้ามานั่งอยู่ข้างเตียงนาง ประคองไหล่นางโน้มน้าวเจื้อยแจ้ว ตอนนี้จิ่งเหิงปัวกำลังเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวจนอึดอัด จะมีกะจิตกะใจฟังคนเอ่ยวาจาเสียที่ไหน หยุดสักพักก็ขานรับครั้งหนึ่ง แล้วนอนหลับฟี้ๆ เสียเลย

 

 

 

 

แสงจันทร์ส่องสว่างทางภูเขาคดเคี้ยว บนทางภูเขามีขบวนแห่ที่เป่าปี่ตีฆ้องทอดยาวลดเลี้ยว

 

 

ขบวนนี้เป็นขบวนแห่รับตัวเจ้าสาว ประดับผ้าดอกผ้าแดง บรรยากาศชื่นมื่นสุขสันต์ เพียงแต่ชายชาวเขาเป่าแตรสั่วน่าได้ไม่ไพเราะเท่าไรนัก ท่ามกลางค่ำคืนเยือกเย็นเห็นน้ำค้างแข็งในต้นฤดูหนาว ฟังแล้วไม่รู้สึกชื่นชอบ รู้สึกอ้างว้างวังเวงมากกว่า

 

 

เจ้าบ่าวที่ไปรับเจ้าสาวนั่งอยู่บนม้าพันธุ์เลวที่อยู่หน้าสุด ม้าผอม คนก็ยิ่งผอม ใบหน้าก็ดั่งใบหน้าม้า นัยน์ตาขลาดเขลาสองข้างปูดโปนออกมา

 

 

เหล่าชาวบ้านที่มารับตัวเจ้าสาวด้วยกันกำชับบ่อยครั้งว่า “ต้าฟู่เจ้านั่งดีๆ อย่าตกลงมา”

 

 

“ต้าฟู่ไม่ต้องหวดแส้ ม้าเดินเองได้ ม้ายืมเขามา หวดม้าเจ็บต้องจ่ายเงิน”

 

 

 

 

ชายชราผู้หนึ่งเดินไปดูแลไปตลอดทาง ท่วงท่าดั่งปฏิบัติต่อเด็กน้อย บุรุษบนหลังม้าที่ดูท่าทางสามสิบกว่าแล้วก็หัวเราะเหอะๆ ดั่งเด็กน้อย

 

 

สีหน้าของทุกคนทั้งเวทนาทั้งอิจฉาหลายส่วน…คนโง่และอัปลักษณ์ แต่มีวาสนาเรื่องรัก ได้ยินว่าเอ้อร์ยาจากหมู่บ้านข้างๆ เป็นโฉมงามเชียวล่ะ

 

 

แน่นอน ทั้งหมดนี้ด้วยเพราะต้าฟู่ก็มีน้องสาวที่ไม่เลว ทั้งงามทั้งเก่ง ไม่นานก็จะสมรสกับพี่ชายของเอ้อร์ยาแล้ว

 

 

ชนบทยากจน การแลกสะใภ้เป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก ทุกคนอิจฉาวาสนาเรื่องรักของชายทั้งสอง ไม่มีคนนึกถึงชะตากรรมของสาวน้อยทั้งสองว่านับแต่นี้จะตกอยู่ในสภาพน่าสงสาร

 

 

ขบวนแห่รับเจ้าสาวเข้าหมู่บ้านแล้ว น่ามู่เอ่อร์ที่อยู่บนยอดไม้มองอยู่ไกลๆ ในแววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

 

 

“คนเช่นนี้ยังคู่ควรสมรสด้วย” เขาเอ่ยกับผู้ติดตามข้างกายว่า “ข้าเห็นแล้วยังไม่อยากมองซ้ำเลย เสียดายสตรีนั้นเมื่อครู่”

 

 

“สตรีนั้นนับว่าไม่เลว” คนข้างกายเอ่ยเอาใจว่า “ยกให้ท่านนับว่าพอใช้ได้”

 

 

“เหลวไหล!” น่ามู่เอ่อร์โมโหแทนดีใจ ตำหนิว่า “สตรีธรรมดาสามัญเช่นนี้ เพียงหน้าตาพอได้ จะคู่ควรกับข้าได้อย่างไร?”

 

 

“ขอรับๆ ข้าเอ่ยผิดไปแล้ว ท่านอย่าได้ตำหนิ” คนนั้นรีบขอโทษ “สตรีเช่นนี้ ก็คู่ควรเพียงยกชาเทน้ำให้ท่าน อุ่นเตียงปรนนิบัติท่านเท่านั้น จะคู่ควรกับลูกศิษย์นอกสำนักที่สูงส่งแห่งนิกายสวรรค์ได้อย่างไรเล่า”

 

 

ครานี้น่ามู่เอ่อร์ถึงร้องอืมออกมา แล้วเอ่ยว่า “จะว่าไปแล้ว หลายเรื่องข้างนอกแตกต่างจากที่พวกเราคิดไว้ ยามนั้นที่พวกเราเข้าสำนักเริ่มสัมพันธ์ครั้งแรก เหล่าผู้อาวุโสเอ่ยว่า สตรีที่หามาให้พวกเรา ต่างเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในโลกหล้า สตรีโลกมนุษย์ไม่มีผู้ใดงดงามดั่งเทพธิดาปานนี้ ยามนั้นก็รู้สึกว่างดงามโดยแท้ บัดนี้เพิ่งมายังโลกมนุษย์ แต่ได้เห็นสตรีที่โดดเด่นหลายนางแล้ว เช่น สตรีนั้นในคืนนี้ อีกทั้งสตรีทั่วไปในหมู่บ้านชนบทเล็กๆ แห่งนี้ ไม่นึกว่าจะมีรูปโฉมถึงขั้นนี้ ทำให้รู้สึกแปลกใจเสียจริง”

 

 

“เพียงบังเอิญเท่านั้น” ผู้ติดตามยิ้มเอ่ยว่า “สตรีที่ผู้อาวุโสในสำนักประทานให้ ไม่ว่าอย่างไร แต่ละนางบริสุทธิ์ผุดผ่อง ซ้ำยังผ่านการอบรมสั่งสอนจากสำนัก ไม่ใช่สตรีที่สตรีชนบทเหล่านี้จะเทียบได้ อีกทั้งนี่ก็เป็นความเมตตาของเหล่าผู้อาวุโส ได้รับไว้ก็เป็นวาสนา พวกเรายังไม่มีวาสนาเช่นนี้เลย”

 

 

น่ามู่เอ่อร์เลิกคิ้วขึ้น เขาฟังความนัยเตือนสติของวาจานี้ออก หากเป็นยามปกติ เขาก็ควรสำนึกตน…ความเมตตาของเหล่าผู้อาวุโส ไม่ควรวิจารณ์ลับหลัง เล่าต่อกันไปก็เป็นจุดอ่อน

 

 

เมื่อลูกศิษย์ทุกคนเข้าสู่นอกสำนักแล้ว นิกายสวรรค์ก็จะมี ‘พิธีก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่’ ที่มีลักษณะปลอบโยน จัดหา ‘หญิงศักดิ์สิทธิ์’ ให้เหล่าลูกศิษย์เริ่มสัมพันธ์เป็นครั้งแรก เล่ากันว่านี่ก็เป็นความต้องการพื้นฐานของวรยุทธ์บางอย่าง ลูกศิษย์บางคนที่ถูกตัดสินว่าเข้าสู่ในสำนักไม่ได้ จากนี้จะเลือกวิธีฝึกฝนทั้งสองทางโดยตรง เพียงแต่เมื่อถูกเลือกเข้าในสำนัก ฝึกฝนวรยุทธ์ลึกล้ำยิ่งขึ้น ก็ต้องข่มใจไร้ความรู้สึกแล้ว

 

 

เพียงแต่คืนนี้น่ามู่เอ่อร์อารมณ์เสีย ไม่รับน้ำใจ ส่งเสียงฮึดฮัดเอ่ยออกมาว่า “เจตนาดีของเหล่าผู้อาวุโส พวกเราย่อมได้แต่ซาบซึ้ง จะว่าไปแล้ว เจ้ายังไม่เคยเห็นคนที่ไม่รู้ชั่วดีอย่างแท้จริง นึกถึงยามนั้น มีคนฆ่าหญิงศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้อาวุโสประทานให้เสียเลย หญิงศักดิ์สิทธิ์นั้นของเขางดงามกว่าพวกเรามากนักเชียว ไม่นึกว่าเขาจะลงมือได้!”

 

 

“ฆ่าหญิงศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้อาวุโสประทานให้?” เหล่าผู้ติดตามคล้ายได้ยินเรื่องที่เหลือเชื่อที่สุดในโลกนี้ ทยอยเปล่งเสียงอุทานออกมา

 

 

น่ามู่เอ่อร์ส่งเสียงฮึดฮัดอีกครั้ง ในใจยิ่งรู้สึกว้าวุ่น ต้าฮวงแห่งนี้น่าเกลียดชังยิ่งกว่าที่คิดไว้ คนที่ตนเองรู้ตัวว่าตนเองเทียบไม่ได้ ยิ่งเกลียดชังเข้าไปใหญ่

 

 

เหล่าผู้ติดตามยังไม่หายจากอาการแปลกใจ ทยอยแสดงความคิดเห็น

 

 

“ฆ่าหญิงศักดิ์สิทธิ์? เป็นไปได้อย่างไร กล้าได้อย่างไร! ภายหลังเขาได้รับโทษอะไร?”

 

 

“ตายแล้วกระมัง จะเป็นอย่างไรได้อีก อย่าว่าแต่ฝ่าฝืนความเมตตาของเหล่าผู้อาวุโส ต่อให้ฝ่าฝืนกฎสำนักเล็กน้อย เช่นนั้นจุดจบก็คือความตาย แล้วเรื่องเช่นนี้เล่า!”

 

 

“แน่นอนว่าตายแล้ว! ต้องตายอย่างอนาถแน่!”