ตอนที่ 242 มีความคิดเป็นของตัวเอง

ลัวย่าวหัวลูบผ้าไหมเฉิงสุ่ยโป๋ “ปัดโถ่เอ้ย! ทำไมนายไม่พูดให้เร็วกว่านี้เนี่ย นี่ถ้านายบอกแต่แรกฉันจะรีบแย่งอีกผืนมาเลย!”

หยางโปหัวเราะออกมา “ฉันก็อยากจะบอกนายเหมือนกันแหละแต่นายไม่เห็นสีหน้าของฉินโถวตอนนั้นเหรอ? ตอนที่เขาเห็นฉันเอามาถือไว้เขาก็แทบจะเข้ามาแย่งแล้ว นายคิดว่าฉันจะเอาเวลาไหนไปบอกนาย?”

ลัวย่าวหัวยังคงพูด “เสียดายชะมัดเลย นี่ถ้าฉันไหวตัวเร็วกว่านี้ก็น่าจะดี”

หยางโปส่ายหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร

 

เจ้าอ้วนหลิวยังคงมองผ้าตรงหน้าพร้อมกับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความเย็น “นี่ถ้ายาวกว่านี้คงจะเอามาวางข้างเตียงได้เลยนะ แค่เอาไปชุบน้ำก็น่าจะสบายกว่าเปิดแอร์อีก”

“แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ได้นานขนาดไหนน่ะสิ” หลูตงซิ่งพูด “นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว พวกนายคุยกันตามสบายนะ ฉันต้องขอตัวไปสนามบินแล้ว”

“โอเคครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ” ลัวย่าวหัวพูด

หลูตงซิ่งหัวเราะก่อนที่จะเดินออกไป

หลังจากที่เขาเดินออกจากห้องไปแล้วทั้งสามคนก็นั่งชื่นชมของตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปนอน

 

หยางโปไม่อยากกลับจินหลิงแถมเขาก็ไม่ยอมเปิดโทรศัพท์เพื่อรับรู้เรื่องภายนอกด้วย ตอนนี้เขาว่างแล้วเขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทันทีที่เปิดเครื่องก็พบว่ามีข้อความถูกส่งมานับไม่ถ้วน

หยางหลางโทรมาหาเขาหลายสายมาก และดูจากเวลาแล้วคิดว่าเขาคงจะโทรมาทุกวันซึ่งความถี่ในการโทรของอีกฝ่ายทำให้หยางโปรู้สึกแปลกใจมาก แต่เขาก็ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่ได้ตอบกลับไป

แม่ของเขาโทรมาหาเขาสองสาย แต่หลังจากที่คิดไปคิดมาเขาก็เลือกที่จะไม่โทรกลับไปเช่นกัน

หลังจากนั้นหยางโปก็เห็นว่าหงอวี้โทรมาหาเขาหลายสิบสาย ซึ่งมันทำให้เขาประหลาดใจมาก ภายในใจก็แอบเดาว่าคงจะไม่ใช่ว่าโรคเก่ากำเริบนะ หยางโปจึงรีบโทรกลับไปหาอีกฝ่ายทันที

 

ในเวลาอันรวดเร็วโทรศัพท์ก็ถูกกดรับ

“หยางโปหายไปไหนมาตั้งหลายวันเนี่ย?” หงอวี้รับสายก็รีบถามทันที

หยางโปได้ยินเสียงของเขาก็รู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปอีก “มีอะไรเหรอ? พอดีโทรศัพท์ตกน้ำน่ะ เพิ่งซ่อมเสร็จ”

“จริงๆเล้ย! นายไม่มีปัญญาซื้อเครื่องใหม่รึไงเนี่ย?” หงอวี้พูด

“เอ่อ…ลืมคิดไปน่ะ” หยางโปชะงักไปทันทีที่เขานึกขึ้นได้ว่าคำแก้ตัวของเขายังไม่ฉลาดพอในช่วงเวลาที่เร่งรีบและกระชั้นชิดแบบนี้ แต่ใครมันจะไปคิดทันละเนี่ย?

“เออนี่ ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนน่ะ?” หงอวี้ถาม

 

“ฉางอาน”

“ฉางอานเหรอ นายพอจะมีเวลามาที่จินหลิงไหม?”

หยางโปเริ่มเกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีก “ทำไมเหรอ? อย่าบอกนะว่าอาการกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว?”

“เปล่าๆๆ” หงอวี้รีบตอบ “คือฉันอยากจะเลี้ยงข้าวนายเพื่อเป็นการขอบคุณน่ะ”

“ก็กินข้าวกันไปตั้งหลายครั้งแล้ว นายไม่ต้องเกรงใจฉันขนาดนั้นหรอก” หยางโปพอจะเดาได้ว่ามันคงไม่ได้เป็นเพราะต้องการเลี้ยงข้าวอย่างเดียวแน่ๆ เขาจึงปฏิเสธกลับไป

หงอวี้ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆออกมา “อันที่จริงก็ยังมีเรื่องอยากให้นายช่วยนิดหน่อยด้วยน่ะ”

 

“ช่วยอะไร?”

“คือฉันอยากให้นายไปช่วยประเมินเครื่องพอร์ชเลนให้ฉันหน่อย ฉันเรียกผู้เชี่ยวชาญมาหลายคนมากเลยนะแต่พวกเขาบอกว่ามันเป็นจานหรู่เหยา แต่ฉันไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ก็เลยอยากจะเชิญให้นายช่วยมาดูให้หน่อยน่ะ”

หยางโปชะงักไปในทันที เพราะถึงจะเป็นคนมีเงินทองมากมายก็ไม่สู้จานหรู่เหยาหนึ่งใบ เพาะมันเป็นหนึ่งในห้าเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์ซ่ง แถมมันยังมีมูลค่ามหาศาลมากอีกด้วย “ได้! ฉันยังต้องอยู่จัดการเรื่องที่นี่อีกสองวัน ถ้าฉันเสร็จธุระเมื่อไหร่จะรีบไปปักกิ่งเลย”

 

หงอวี้ได้ยินแบบนั้นก็หันมามองชุยอี้ผิงที่นั่งอยู่ตรงข้าม ตอนแรกที่เขาได้ยินคำว่า ‘ได้’ จากปากของหยางโป เขาก็เผลอคิดไปว่าหยางโปจะรีบมาทันที แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขายังต้องรออีก 2 วัน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ตอบกลับไปว่า “ได้ๆ ขอบใจนายมากนะ”

“อื้อด้วยความยินดี”

หลังจากวางสายไปแล้วชุยอี้ผิงก็รีบถาม “ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? จะมาเมื่อไหร่เหรอ?”

“อยู่ที่ฉางอานน่ะ เห็นว่าอีกสองวันจะมาที่นี่”

ชุยอี้ผิงเริ่มร้อนใจ “ไม่รู้ถึงเวลาเลยสักนิด ทำไมต้องรออีกสองวันด้วย? เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องรีบร้อนอย่างนั้นสิ?”

 

หงอวี้ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ก็เขาไม่รู้เรื่องจริงนิ ฉันเองก็ไม่กล้าบอกเขาไปตรงๆ ถ้าเขารู้แล้วไม่ยอมมาที่นี่จะทำยังไงล่ะ?”

ชุยอี้ผิงส่ายหน้า “ช่างเถอะๆ เรื่องนี้ปล่อยให้คุณลุงร้อนใจไปก็แล้วกัน งั้นเดี๋ยวฉันจะโทรไปบอกเขาก่อน”

ชุยซื่อหยวนนั่งอยู่ที่นั่งประธานโดยมีหลีหมิ่นนั่งอยู่ทางซ้ายมือส่วนด้านขวามือของเขาเป็นเด็กหนุ่ม ซึ่งตอนนี้เป็นเวลามื้อค่ำของพวกเขา หลีหมิ่นตักอาหารให้เขาก่อนที่จะพูดว่า “ห้าวซวน กินเยอะๆนะ”

ซ่งห้าวซวนมองถ้วยตรงหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยเนื้อวัว เขายิ้มพร้อมกับพูด “คุณป้าพอก่อนเถอะครับ แค่นี้ผมก็กินไม่หมดแล้ว”

 

“กินเยอะๆหน่อยสิลูก ร่างกายจะได้แข็งแร่งนะ หลังจากนี้ป้าต้องพึ่งพาลูกอีกนะ” หลีหมิ่นหันมาพูดกับห้าวซวนด้วยความรัก

ชุยซื่อหยวนขมวดคิ้วเข้าหากันในมือของเขาถือถ้วยแต่สายตาก็ยังมองไปที่ภรรยาของเขา ก่อนหน้านี้ภรรยารักหลานชายคนนี้และดูแลเขาอย่างดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามาถึงตอนนี้เธอจะต้องการให้หลานชายของเธอเลี้ยงดูเธอในตอนแก่เพื่อเป็นการตอบแทน

ซ่งห้าวซวนเองก็ดูเหมือนว่าจะเข้ากันได้ดีกับอีกฝ่ายแถมยังเอออออย่างว่าง่าย “คุณป้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ หลังจากนี้ผมจะดูแลคุณป้า และจะมาหาทุกวันเลยครับ”

 

หลีหมิ่นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาก่อนที่จะกอดอีกฝ่ายราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป

ชุยซื่อหยวนเห็นแบบนั้นก็เริ่มรู้สึกขัดใจขึ้นมา เขาวางถ้วยในมือก่อนที่จะพูดว่า “กินกันไปนะ ฉันไปห้องสมุดก่อน”

พูดจบเขาก็เดินปลีกตัวออกไปทันที

หลีหมิ่นหันไปมองอีกฝ่ายก่อนที่จะมองถ้วยข้าวของเขาที่ยังเหลืออีกครึ่งถ้วย “กินให้เสร็จก่อนสิคุณ”

“ไม่กินแล้ว ตอนเที่ยงกินไปเยอะแล้ว ตอนบ่ายก็เพิ่งไปคุยงานมากินขนมไปตั้งหลายชิ้น ตอนนี้ไม่หิวแล้ว”

ชุยซื่อหยวนอธิบาย

 

ในเวลานั้นเองโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เขาหยิบออกมาดูเบอร์ที่โทรเข้ามา หลังจากที่เห็นเบอร์ที่แสดงขึ้นบนหน้าจอเขาก็เดินเข้าไปในห้องหนังสืออย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ได้กดรับสาย

หลีหมิ่นมองอีกฝ่ายพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน เธอรู้สึกได้ว่าช่วงนี้สามีของเธอเริ่มแปลกไปแถมยังทำตัวลับๆล่อๆดูมีพิรุธ เธอเงยหน้ามองห้าวซวน “ลูกดูลุงของลูกสิ ทำตัวห่างเหินไม่ต่างอะไรกับคนนอกเลย”

ห้าวซวนเงยหน้าพร้อมกับยิ้มด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “คุณป้าอย่าคิดมากสิครับ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ”

หลีหมิ่นมองไปที่ห้องหนังสือของอีกฝ่ายก่อนที่จะถอนหายใจออกมา ตอนนี้อายุก็มากแล้วแถมการที่พวกเขาไม่มีลูกก็แสดงให้เห็นถึงข้อเสียที่เกิดขึ้น แต่ละวันสองสามีภรรยาก็ไม่มีเรื่องที่จะคุยกัน เป็นเพราะแบบนี้บางครั้งเขาจึงเรียกให้หลานชายมาที่นี่ แต่ดูท่าทางสามีของเขาแล้วตอนแรกๆเธอก็พอจะรับได้ แต่หลังจากที่เธอเริ่มถามและพูดเพื่อที่จะให้ซ่งห้าวซวนรับช่วงต่อกิจการของพวกเขา สีหน้าของสามีของเธอก็เปลี่ยนไป

 

ในเวลานี้หลีหมิ่นไม่รู้เลยว่าเธอควรจะทำอย่างไรดี

ห้าวซวนมองป้าของเขาพร้อมกับยิ้ม “คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงคุณลุงหรอกครับ คุณลุงเป็นไอดอลของผมตั้งแต่ผมยังเด็กๆ คุณลุงอายุแค่สี่สิบห้าก็สามารถเป็นรองผู้อาวุโสได้แล้วแถมยังเป็นตำแหน่งที่ยากมากๆด้วย อนาคตยังอีกยาวไกลเลยล่ะครับ”

หลีหมิ่นส่ายหน้า “เขาอายุแค่สี่สิบห้าแต่ตอนนี้เขาดูเหมือนคนอายุห้าสิบกว่าแล้ว เฮ้อ…ป้าอยากให้เขาได้ผ่อนคลายและพักผ่อนบ้างน่ะ”

ห้าวซวนยิ้มด้วยรอยยิ้มที่สดใส เขารู้ดีว่าป้าของเขาต้องการจะพูดอะไร แล้วเขาเองก็คิดมาตลอดว่าถ้าหากเขาสามารถอยู่ตำแหน่งสูงๆแบบลุงของเขาได้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรทุกอย่างก็จะราบรื่นและไร้ซึ่งปัญหาอย่างแน่นอน