บทที่ 263.4 เรือน้อยลอยล่อง เด็กหนุ่มรูปร่างสะโอดสะอง โดย ProjectZyphon
ผู้เฒ่าหยิบกระดาษรูปคนรูปม้าสีขาวหิมะที่ทับซ้อนกันเป็นปึกออกมาจากในถุงข้างฝ่าเท้า “หากเจอกับเจียวหลงว่ายผ่านมาใต้เรือ ขอแค่จับมาปึกหนึ่ง โยนลงไปใต้น้ำ พวกมันก็จะว่ายหนีไปอย่างรวดเร็ว ใช้ร้อยครั้งก็สำเร็จร้อยครั้ง ศักดิ์สิทธิ์มาก ช่วยไม่ได้ หากอ้อมผ่านร่องน้ำเจียวหลงไป เส้นทางเดินเรือสายนี้ของพวกเราก็จะมีระยะทางเพิ่มขึ้นมาอีกยี่สิบกว่าหมื่นลี้แต่ยังดีที่ถึงแม้ร่องน้ำเจียวหลงจะน่ากลัว ทำให้คนรู้สึกอกสั่นขวัญผวา แต่อันที่จริงหลายร้อยปีที่ผ่านมา เกาะกุ้ยฮวาของเรากับเจียวหลงพวกนั้นอยู่ร่วมกันเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ดังนั้นคุณชายไม่จำเป็นต้องกังวล”
คนพายเรือหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เห็นได้ชัดว่าเป็นบุรุษที่ซื่อตรงคนหนึ่ง “จะว่าไปแล้ว หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ นั่นก็เท่ากับหายนะที่ร้ายแรงมาก อย่าว่าแต่เรือเล็กของพวกเราลำนี้เลย เกรงว่าตลอดทั้งเกาะกุ้ยฮวาคงไม่ต้องหวังว่าจะรอดพ้นจากภัยพิบัติไปได้ เจียวหลงมากมายขนาดนั้น หากพวกมันจะสร้างคลื่นลมมรสุมขึ้นมา จะน่ากลัวถึงเพียงไหน? หากจะให้ข้าบอก เกรงว่าต่อให้เซียนกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดกล้าออกกระบี่ขัดขวางจริงๆ คงมีแต่จะทำให้เจียวหลงแว้งกลับมาโจมตี ยากจะหนีพ้นเคราะห์กรรมเช่นกัน”
สีหน้าของจินซู่ไม่สบอารมณ์ พูดบ่นอย่างไม่พอใจ “แขกนั่งอยู่บนเรือ แต่เจ้ากลับพูดจาอัปมงคลแบบนี้น่ะหรือ?”
ผู้เฒ่าพายเรือกล่าวอย่างอับอาย “ไม่พูดแล้วๆ คุณชายนั่งดีๆ พวกเราจะไปชมทัศนียภาพของร่องน้ำเจียวหลงเดี๋ยวนี้ รับรองว่าปลอดภัยแน่นอน…”
ร่องน้ำเจียวหลงคือร่องลึกแปลกประหลาดแห่งหนึ่งที่น้ำใสจนมองเห็นไปถึงก้นทะเล กว้างสิบกว่าลี้ ยาวหลายพันลี้ พวกเจียวหลงที่ขดตัวจำศีลอยู่ในก้นทะเลลึกมีสีสันแตกต่างหลากหลาย ลำตัวของพวกมันเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน บ้างก็เล็กเท่าอ่างน้ำ บ้างก็ใหญ่เท่าปากบ่อน้ำ เล่าลือกันว่าเจียวหลงที่ตัวใหญ่ที่สุด ลำพังเพียงแค่ดวงตาของมันก็ใหญ่เท่าโอ่งแล้ว พออยู่ใต้ผืนน้ำ เกล็ดของมันจะส่องประกายระยิบระยับแจ่มชัดสะดุดตาจนคนมองสยดสยองไม่กล้าปริปากเอ่ยคำใด ด้วยกังวลว่าหากเสียงดังจนเป็นการรบกวนเจียวหลงเหล่านั้นจะนำหายนะดับชีพมาสู่ตัว
จู่ๆ คนพายเรือเฒ่าก็ยื่นนิ้วชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งกลางอากาศ “คุณชาย ท่านดูนั่น นั่นคือเจียวตัวหนึ่งที่เหนื่อยล้าเพราะเพิ่งกลับมาจากโปรยฝนบนแผ่นดิน โอ้ ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อยด้วย มีความเป็นไปได้ว่าถูกผู้ฝึกลมปราณในนาตยทวีปใช้เป็นเป้าซ้อมมือกระมัง คงถูกไล่ล่ามาเป็นระยะทางที่ยาวนาน ไม่ใช่เจียวน้ำทุกตัวหรอกนะที่จะโชคดีรอดชีวิตกลับมาได้ ศพของเจียวหลงที่ตายไประหว่างทางกลับมักจะกลายมาเป็นผลเก็บเกี่ยวที่เหนือความคาดฝันของเรือข้ามทวีปเสมอ เพียงแต่ว่าเกาะกุ้ยฮวาของพวกเรามีคุณธรรม หากพบเจอศพของเจียวน้ำที่ลอยอยู่กลางทะเลจะไม่งมขึ้นฝั่ง แต่จะช่วยลากไปไว้ตรงโขดหินของเกาะกุ้ยฮวา พาไปส่งที่ร่องลึกเจียวหลง…”
เฉินผิงอันกับจินซู่มองตามมือที่ผู้เฒ่าชี้ไปก็เห็นว่ามีวัตถุขนาดมหึมาร่วงตกลงมาจากทะเลเมฆ กระแทกผิวน้ำจนสะเก็ดน้ำแตกกระจายดังสนั่น ก่อนจะหายไปในมหาสมุทรที่อยู่ห่างไปไกล โชคดีที่เจียวซึ่งเหนื่อยล้าจากการโปรยฝนหล่นห่างจากเกาะกุ้ยฮวาไปหลายสิบลี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเรือลำน้อย แค่ทำให้ระดับการเอนซ้ายโคลงขวาของเรือเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
เรือน้อยมุ่งไปด้านหน้าขนาบเกาะกุ้ยฮวา ออกห่างจากชายฝั่งของเกาะกุ้ยฮวามาไม่มากเท่าไหร่ อย่างมากสุดก็สองสามลี้ น้ำทะเลใสแจ๋ว เรือน้อยลำแล้วลำเล่าเหมือนกระบี่บินหลายเล่มที่ทะยานลมลอยไปกลางอากาศ และในจุดลึกใต้ทะเล คือเผ่าพันธุ์เจียวหลงจำนวนมากที่บ้างก็กำลังนอนหลับ บ้างก็กำลังเล่นสนุกสนาน ปานประหนึ่งกำลังขดตัวอยู่บนเทือกเขาที่สูงๆ ต่ำๆ ทำให้คนลืมไปเลยว่าตอนนี้กำลังอยู่บนทะเล
จู่ๆ เฉินผิงอันก็ขมวดคิ้วแน่น
เอื้อมมือไปจับกระบี่เล่มหนึ่งที่อยู่ในกล่องกระบี่ด้านหลัง ถามเสียงหนัก “เผ่าพันธุ์เจียวหลงพวกนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในภูตผีแห่งภูเขาและแม่น้ำหรือไม่?”
ผู้เฒ่าได้แต่เข้าใจว่าเด็กหนุ่มมีประสบการณ์ไม่มาก เวลานี้เรือน้อยลอยห่างจากเกาะกุ้ยฮวามาสองลี้กว่าแล้ว กำลังจะไปถึงจุดที่ลึกที่สุดของร่องน้ำเจียวหลง ก้มหน้าลงมองไปก็เห็นว่าลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง เด็กหนุ่มเลยเกิดความหวาดกลัว คนพายเรือจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากเป็นยุคบรรพกาล เผ่าพันธุ์เจียวหลงพวกนี้ถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ของฟ้าดินเชียวนะ แต่ว่าตอนนี้กาลเวลาแปรเปลี่ยน คุณชายพูดถูกแล้ว เจ้าพวกนี้ถือได้ว่าเป็นแค่หนึ่งในภูตประหลาดเท่านั้น”
คนพายเรือยังกล่าวด้วยรอยยิ้มต่อไปว่า “คุณชายไม่ต้องกลัว เกาะกุ้ยฮวาคือแขกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีสำหรับสถานที่แห่งนี้ ตามบันทึกวงศ์ตระกูลของตระกูลฟ่าน บรรพบุรุษยังเคยเห็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตก่อกำเนิดสองคนต่อสู้กันอยู่ที่นี่ด้วยตาตัวเอง แม้ว่าพวกเจียวหลงที่อยู่ในร่องน้ำเจียวหลงใต้ฝ่าเท้าของเทพเซียนทั้งสองท่านจะอยากลงมือเต็มแก่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีเจียวน้ำสักตัวพุ่งออกมาจากผิวน้ำ ดังนั้นกฎเกณฑ์ที่บอกว่าห้ามส่งเสียงดังนั้น พวกเราก็แค่จงใจขู่ให้ผู้โดยสารกลัวเท่านั้น ในเมื่อคุณชายแขวนป้ายแขกกุ้ย ข้าผู้อาวุโสก็จะไม่หลอกลวงคุณชายแล้ว…”
จินซู่หันไปถลึงตาใส่คนพายเรืออย่างขุ่นเคือง เรื่องวงในของตระกูลฟ่านพวกนี้เอามาเปิดเผยกันง่ายๆ ได้อย่างไร
ผู้เฒ่าทำคอย่น ยกไม้พายทำหน้าที่พายเรือของตัวเองต่ออีกครั้ง และคอยโยนกระดาษเงินสีขาวหิมะลงไปในทะเลเป็นพักๆ นอกจากกระดาษรูปคนกระดาษรูปม้าแล้ว ยังมีกระดาษรูปหอสูงและกระดาษรูปรถที่พับอย่างประณีตแทรกอยู่ด้วย
แต่แล้วจู่ๆ ผู้เฒ่าก็เบิกตากว้าง มองไปยังทิศทางหนึ่ง “แย่แล้ว! มีคนจงใจเล่นงานเกาะกุ้ยฮวาของพวกเรา!”
แทบจะเวลาเดียวกันนั้นน้ากุ้ยก็ออกจากกุ้ยกงบนยอดเขา ทะยานตัวมาถึงเรือเล็กลำนี้ มองไปยังเรือเล็กลำที่อยู่ด้านหน้าสุดพร้อมๆ กับผู้เฒ่า กล่าวด้วยสีหน้าเดือดดาล “มีคนเอาข้องราชามังกรออกมาจับเจียวน้ำตัวน้อยที่ขึ้นมาเล่นบนผิวน้ำ!”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน “เป็นเจียงเป่ยไห่ที่จงใจแก้แค้นหรือไม่? ตอนนั้นพวกเขาเลือกลงเรือไปกลางทาง พวกเราให้หม่าจื้อแอบติดตามไปประมาณสิบวันกลับไม่พบอะไรผิดปกติ หรือว่าเป็นฝีมือของคนตระกูลติง? แต่ตระกูลติงไม่น่าจะมีข้องราชามังกรถึงจะถูก หรือตระกูลฝู? ตระกูลฝูมีอยู่ใบหนึ่ง ทว่าพวกเขาไม่มีเหตุผลให้เล่นงานพวกเรานี่นา…”
น้ากุ้ยส่ายหน้า “ตอนนี้ยังบอกได้ไม่ชัดเจน เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำคือปลอบประโลมพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่อยู่ในร่องน้ำ เพราะหากทำให้พวกมันโกรธแค้นขึ้นมา ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนยินดีให้ความช่วยเหลือก็ยังจนปัญญาจะรับมือ มีใจแต่ไร้กำลัง! หลายพันชีวิตที่อยู่บนเกาะกุ้ยฮวา…เฮ้อ แบบนี้จะทำอย่างไรกันดี? แย่จริง ทุกคนล้วนถูกจับตามองหมดแล้ว! เวลานี้ใครยังจะกล้าทะยานลมไปกลางอากาศ…”
ผู้เฒ่าสีหน้าเคร่งเครียด ตะโกนออกไปทันทีว่า “เรือเล็กทุกลำกลับเข้าฝั่งเดี๋ยวนี้ ผู้ฝึกลมปราณทุกคนบนเกาะกุ้ยฮวาห้ามบินขึ้นกลางอากาศโดยพลการเด็ดขาด หาไม่แล้วจะถูกพวกที่อยู่ในร่องน้ำเจียวหลงมองเป็นการท้าทาย หม่าจื้อ รบกวนเจ้าแสดงฝีมือสักหน่อย พวกผู้โดยสารจะได้ไม่คิดว่าพวกเราเจตนาพูดข่มขวัญ!”
หม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองดึงกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาแล้วขว้างขึ้นไปกลางอากาศสูงอย่างรวดเร็ว ความเร็วนั้นแทบไม่ต่างจากสายฟ้าแลบ เร็วยิ่งกว่าการทะยานลมของขอบเขตโอสถทองคนไหนๆ ทว่ากระบี่บินเล่มนี้เพิ่งทะยานไปได้ครึ่งทาง ออกห่างจากเกาะกุ้ยฮวาไปได้แค่ไม่กี่ลี้ก็ถูกกรงเล็บมายาข้างหนึ่งยื่นลงจากทะเลเมฆมากดไว้หนักๆ กระบี่บินพลันระเบิดแตกกลางอากาศในชั่วพริบตา
หลังจากนั้นกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งก็ถูกโยนออกไป แต่กลับมีจุดจบไม่ต่างไปจากเดิม
น้ากุ้ยหันหน้ามามองจินซู่กับเฉินผิงอันพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเจ้าสองคนกลับเรือนเล็กกุยม่ายไปก่อน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น จำไว้ว่าต้องจับรากของต้นกุ้ยฮวาให้แน่นถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต”
จินซู่ดีดปลายเท้าออกห่างไปจากเรือลำเล็ก พอพลิ้วร่างลงบนท่าเรือชายฝั่งถึงหันหน้ากลับมามอง
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนั้นยังอยู่ในเรือลำเล็ก และสุดท้ายตอนกลับมาในมือเขายังมีไม้พายเพิ่มมาด้วยอันหนึ่ง
จินซู่ถาม “นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เฉินผิงอันตอบ “ไม้พายตีมังกร ไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์จริงๆ”
จินซู่ชำเลืองตามองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าเหมือนมองคนปัญญาอ่อน ก่อนจะหมุนตัวพุ่งทะยานไปยังยอดเขา
พริบตานั้นก็เหมือนภูเขาพังถล่มแผ่นดินแตกแยก เกาะกุ้ยฮวาทั้งเกาะยุบยวบลงไปตามน้ำทะเลหนึ่งร้อยจั้งกว่า
น้ำทะเลในรัศมีหลายลี้รอบเกาะกุ้ยฮวาที่เป็นจุดศูนย์กลางล้วนยุบตัวลงไปพร้อมกันอย่างน่าประหลาดใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ รอบด้านที่เดิมทีคือร่องน้ำเจียวหลงซึ่งอยู่เบื้องใต้เกาะกุ้ยฮวาและเรือเล็กพลันเปลี่ยนจากทัศนียภาพใต้ทะเลมาเป็นเทือกเขาสูงใหญ่ที่จมอยู่ใต้น้ำ
สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เจียวหลงทั้งหมดพากันหันมาจับจ้องมองเกาะกุ้ยฮวา นี่ต่างหากถึงเรียกว่าคลื่นใต้น้ำที่แท้จริง
น้ากุ้ยบินทะยานไปด้านหน้า สุดท้ายลอยตัวอยู่กลางอากาศ พูดภาษาโบราณอะไรบางอย่างที่ทุกคนฟังไม่เข้าใจกับเจียวน้ำเกล็ดสีทองตัวหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล ทว่าฝ่ายหลังกลับมีสีหน้าเย็นชา
‘กำจัดปีศาจ’ กระบี่เล่มที่อริยะหร่วนฉงเป็นคนหลอมซึ่งอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันสั่นระรัวอยู่ในฝักกระบี่ไม่หยุด
หากเป็นไปตามคำเตือนของหร่วนฉงก่อนหน้านี้ เมื่อพบกับปีศาจใหญ่ระดับนี้ เฉินผิงอันหนีไปได้ไกลเท่าไหร่ก็ควรหนีไปให้ไกลเท่านั้น แต่คราวนี้เฉินผิงอันจะหนีไปไหนได้?
เขาทั้งไม่ได้หนีไปหลบในเรือนเล็กกุยม่ายบนยอดเขา แล้วก็ไม่ได้ยืนรอความตายอยู่ที่เดิม
เฉินผิงอันมองไม้พายไม้ไผ่ที่ยังคงรักษาสีเขียวสดในมือแวบหนึ่ง ครุ่นคิดแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ วางไม้พายสีเขียวไว้บนเข่า ใช้มือลูบไปบนตัวอักขระของ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ จากนั้นเฉินผิงอันก็ควักเอาพู่กันเหล็กหมาดหิมะที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ออกมา เป่าลมให้ปลายพู่กันชุ่มชื้น จนกระทั่งปลายพู่กันเป็นสีชาดเหมือนเพิ่งจุ่มหมึกเข้มข้น เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม วางไม้พายลงบนพื้นฝั่งซ้ายมือ เด็กหนุ่มที่ใช้มือซ้ายจนเคยชินกลั้นลมหายใจ มือข้างที่ลอยอยู่กลางอากาศถือพู่กันที่สลักคำว่า ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ อาศัยความทรงจำของตัวเองเริ่มเขียน ‘ยันต์ตัดโซ่’ ที่บันทึกไว้บน ‘ตำราที่แท้จริง’ ลงไปบนไม้พายไม้ไผ่ทีละขีดตัวอักษร
นี่เรียกว่ารักษาม้าตายเหมือนม้าเป็น
หากไม่ได้จริงๆ ก็คงได้แต่ชักกระบี่ที่อริยะเป็นคนหลอมออกมาจากด้านหลัง สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่เลียนแบบเซียนกระบี่บรรพกาลที่เจอเจียวหลงก็สังหารเจียวหลงแล้ว
เมื่อเขียนยันต์เสร็จ บนไม้พายสีเขียวมรกตก็มีรอยเลือดผุดขึ้นมาจริงๆ
เฉินผิงอันสงบใจลงได้บ้างเล็กน้อย ในมือถือไม้พาย สะกิดปลายเท้ากระโดดขึ้นไปบนเรือที่ลอยตัวอยู่กลางน้ำ ไม่ได้ผูกติดกับท่าเรือ ยืนอยู่กลางเรือเพียงลำพัง ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยื่นฝ่ามือไปตบลงบนผิวน้ำสองข้างของเรือเล็กฝั่งละที เรือเล็กก็เหมือนลูกธนูที่แล่นฉิวออกไป
ไหล่ข้างหนึ่งของเฉินผิงอันแบกไม้พาย มือข้างหนึ่งปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา แหงนหน้าดื่มสุรา พึมพำในใจตัวเองว่า “ยันต์ตัดโซ่ ตัดอะไร โซ่อะไร ทางที่ดีที่สุดควรเป็นดั่งเซียนกระบี่บรรพกาลที่ตัดหัวมังกร เหมือนโซ่ตรวนพันธนาการมังกรของบ่อโซ่เหล็กที่บ้านเกิด จะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่การกระทำในครั้งนี้แล้ว”
กลางมหาสมุทรใหญ่มีเจียวหลงโอบล้อมอยู่รอบด้าน เห็นได้ชัดว่าหายนะใหญ่มาเยือนแล้ว แม้แต่เทพเซียนก็ยากที่จะหลบหนีไปได้
ทว่าเมื่อภาพเหตุการณ์นี้ปรากฏอยู่ในสายตาของทุกคนบนเกาะกุ้ยฮวากลับเป็นภาพที่สง่างามอย่างถึงที่สุด
เรือน้อยลำหนึ่งพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แบกไม้พายไว้บนไหล่กำลังร่ำสุรา
—–