“เจ้าสาวเข้าห้องหอแล้ว”
บางคนหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ผลักข้างหลังจิ่งเหิงปัว นางพุ่งพรวดเข้าไปในห้อง ม่านข้างหลังปิดดังพึ่บ ประตูปิดดังพลั่ก ซ้ำยังได้ยินเสียงกุญแจเหล็กกระทบกันรำไร ลั่นกุญแจเสียเลย
ฉากแบบนี้ ทำเหมือนนางเป็นลูกสะใภ้ที่ถูกลักพาตัวไปขาย
ในห้องมืดมาก จุดแค่เทียนสีแดงหนึ่งคู่อยู่บนโต๊ะ ขนมหลายจานวางอยู่ใต้เทียนสีแดง หน้าต่างบานน้อยๆ ทำให้แสงของท้องฟ้ายามรุ่งอรุณลอดผ่านไม่ได้
ในห้องตกแต่งเรียบง่ายเป็นอย่างมาก อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นถิ่นทุรกันดาร หากจะกล่าวว่าฐานะค่อนข้างดี ก็แค่เครื่องเรือนยังนับว่าครบครัน สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือเตียงแกะสลักขนาดใหญ่ ห้อยม่านกระโจมแดงเข้ม บนม่านกระโจมปักภาพการเฉลิมฉลองที่ไร้รสนิยม สีแดงก่ำจนปวดตา
ม่านเตียงสยายลงมาบังชายผ้าสีแดงเข้มไว้ครึ่งหนึ่ง เจ้าบ่าวนั่งอยู่บนเตียง
จิ่งเหิงปัวหันหลังพิงประตู อยากจะหัวเราะออกมา
นี่มันเรื่องอะไรกัน เจ้าสาวต้อนรับแขกแล้วเข้าห้องหอ เจ้าบ่าวรอเลิกผ้าคลุมหน้าอยู่ในห้อง?
จิ่งเหิงปัวขยับนิ้ว กริชเย็นเฉียบก็อยู่ในฝ่ามือของนางที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เปียกลื่นจนแทบกุมไว้ไม่ได้
นางจ้องเจ้าบ่าวผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงบางๆ รูปร่างของเขาซ่อนอยู่หลังม่านเตียง มองไม่เห็นลักษณะ ไม่เปล่งเสียงออกมาเลย ไม่รู้สึกถึงไอสังหาร
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยเหมือนคนของนิกายสวรรค์พวกนั้น คนของนิกายสวรรค์ทระนงตนเกินไป ความภูมิใจในตนเองสูงเกินไป ไม่น่าจะเปลี่ยนมาใส่ชุดสีแดงที่ไร้รสนิยมของเจ้าบ่าวชนบทชุดนี้
แต่นางก็รู้สึกว่าเจ้าบ่าวคนนี้ยิ่งไม่เหมือนเจ้าบ่าวตัวจริง แม้จะเห็นไม่ชัด แต่คนนั้นนั่งนิ่งอยู่ในกระโจมแดง มุมของนาง เห็นผมดำดั่งสายธารของเขาได้รำไร รู้สึกได้ถึงรูปร่างกระชับสูงโปร่งของเขา ท่ามกลางแสงสีแดงมัวสลัว คนนั้นคล้ายกำจายกลิ่นอายลึกลับและยั่วยวน ชักนำให้คนสืบเสาะและเข้าใกล้โดยธรรมชาติ
คุณสมบัติโดยกำเนิด ถ้าชายหนุ่มชนบทสักคนก็มีคุณสมบัติแบบนี้ แม่นางนั่นก็ไม่ต้องหนีการแต่งงานแล้ว
นางกำลังพิจารณาความอันตราย จะได้ตัดสินใจว่าจะหนีไปหรือว่าลงมือ คนบนเตียงนั่นพลันกวักมือเรียกนาง
จิ่งเหิงปัวชะงัก
จากนั้นนางยิ้มแย้ม เดินเข้าไปช้าๆ…เจ้าสาวกวักมือเรียกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าบ่าวก็ต้องเลิกผ้าคลุมหน้าใช่ไหม
กริชเลื่อนแนบตรงข้อมือ สั่นครั้งเดียวก็แทงออกไปได้
นางเดินไปหน้าเตียง ยื่นมือออกไปเลิกกระโจมแดง
เหงื่อเย็นซึมออกมาทั่วตัว นางอ่อนแรงจนนิ้วสั่น สายตาก็เห็นรางๆ นางกัดฟันยืนหยัด
คนที่อยู่ในม่านเตียงพลันยกมือ สิ่งที่บางยาวในมือพุ่งแตะหน้าผากของนาง!
จิ่งเหิงปัวสะบัดกริชออกไปทันที พุ่งแทงคอหอยเขา!
เคร้ง! แสงหนาวกะพริบวูบ กริชลอยออกไป
สิ่งที่บางยาวนั่นถูกตัดร่วง ยังขยับมาข้างหน้า สะบัดเพียงครั้ง
ผ้าคลุมหน้าร่วงลงพื้น นางชะงักไปเล็กน้อย คราวนี้เพิ่งเห็นชัดว่าตรงหน้าคือคันชั่งครึ่งท่อน…ใช้สำหรับเลิกผ้าคลุมหน้าอะไรแบบนั้น
ชั่วพริบตานางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก…หรือว่านี่จะเป็นเจ้าบ่าวตัวจริง ฉะนั้นจึงนึกแต่จะเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว
ก้มหน้าลงจนสามารถเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน นางชะงักเล็กน้อย กระซิบขึ้นว่า “มู่…”
เขากลับยื่นนิ้วออกมากดริมฝีปากของนางไว้อย่างรวดเร็ว
จิ่งเหิงปัวกลอกตามองเขา ไม่นึกว่าเจ้าคนนี้ไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำแต่ก็วิ่งมาที่นี่ เหมือนใจตรงกันกับนาง คนหนึ่งแต่งเป็นเจ้าสาว คนหนึ่งแต่งเป็นเจ้าบ่าว รวมหัวอยู่ด้วยกัน เพียงแต่เขากังวลหนักขนาดนี้เพื่ออะไร
จากนั้นนางได้ยินเสียงลมที่เหนือศีรษะ
มีคน!
รู้สึกถึงการเกร็งของนาง เขายิ้มแย้มปล่อยนิ้วออก แต่ก็อดจะจ้องริมฝีปากแดงของนางเล็กน้อยไม่ได้
ยังคงอิ่มเอิบอ่อนนุ่มชุ่มชื่นเช่นนี้ คล้ายกลีบดอกไม้แรกแย้มในเช้าตรู่ต้นฤดูใบไม้ผลิ…
“เจ้า…” จิ่งเหิงปัวอยากกล่าวต่อไป
เสียงลมเหนือศีรษะหนาแน่น
เขาพลันกอดนางไว้ พลิกตัวล้มทับนาง
หลังนางกระแทกฟูกนอน เตียงทั้งหลังส่งเสียง เอี๊ยด อย่างน่าตกใจ
ข้างล่างหน้าต่างคล้ายมีคนกำลังฟังมุมกำแพง เปล่งเสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ นอกประตูห้องคล้ายก็มีคนกำลังแอบฟัง มีเสียงถอนหายใจยาวรำไร
คนที่อยู่ข้างล่างหน้าต่างคือชาวบ้าน ฟังมุมกำแพงบ่าวสาวเพื่อความสนุกสนาน คนที่อยู่ข้างนอกห้องคือคนในครอบครัวเจ้าบ่าว กลัวเจ้าบ่าวไม่รู้เรื่อง บัดนี้วางใจแล้ว
เหนือศีรษะคือผู้ใด
จิ่งเหิงปัวถูกเขาทับเอาไว้ เรี่ยวแรงน้อยนิดที่รวบรวมมาอย่างยากลำบากก็หายไปหมด นางหอบหายใจสองเฮือก ดิ้นรนสองครั้ง คล้ายอึดอัดมากและอยากปริปาก เขายื่นนิ้วกดริมฝีปากของนางไว้อีกครั้ง
นางถลึงตามองนิ้วของเขา…จะให้นางพูดไหมเนี่ย!
เขาไม่เกรงใจกว่าที่นางคิดเอาไว้ กดริมฝีปากนางไว้พลางสะบัดมือ กระโปรงเจ้าสาวของนางก็หลุดจากร่าง ลอยออกนอกม่านเตียงทันที
ข้างล่างหน้าต่างแว่วเสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ แผ่วเบาอีกระลอก
แน่นอนว่าบนร่างของจิ่งเหิงปัวยังมีเสื้อผ้าของตัวเองอยู่ แต่ถูกคนทับไว้ถอดเสื้อผ้าขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าสบายใจ อยากคัดค้าน แต่ปากก็ยังถูกกดไว้ เขาคล้ายทับไว้จนเพลิน ดวงตามองข้างนอกตั้งแต่แรก
เนื่องด้วยความกลัดกลุ้ม นางอยากกัดนิ้วนี้ให้ขาดมาก ขณะที่คิดแบบนี้ก็อ้าปากขึ้น เขากำลังเงยหน้ามองหลังคาบ้าน โดยที่ไม่ทันได้ระวัง นิ้วก็ไถลลื่นเข้าไปในปากนาง
สองคนต่างชะงักไป
จิ่งเหิงปัวรีบคายนิ้วเขาออกมา คายไปด้วยถลึงตาใส่เขาไปด้วย…เชื้อโรคอย่างเยอะ!
เขากลับใจลอยเล็กน้อย ชักนิ้วออกมาแล้วยังยกมือขึ้นมามอง บนนิ้วมือมีของเหลวเปล่งประกายแวววาว เขาก็ไม่รู้จักเช็ด
จิ่งเหิงปัวกลับหน้าแดงขึ้นมา รีบคว้ามือของเขามาเช็ดกับฟูกนอนอย่างแรง
เขานั่งนิ่งให้นางเช็ด นางเห็นเขาหันหน้า เนินคิ้วงดงามก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยใต้แสงสีแดง นางไม่เคยนึกเลยว่าคำว่าหล่อเหลากับยั่วยวนที่ไม่เข้ากันสองคำนี้จะรวมอยู่ในร่างคนคนเดียวได้
ด้านบนพลันมีเสียงดังเล็กน้อย เขายกมือขว้างรองเท้าออกไป ตึก เทียนสีแดงบนโต๊ะโดนขว้างล้มลง
เสียงกระซิบของคนที่ฟังมุมกำแพงข้างล่างหน้าต่างก็ดังขึ้น ซ้ำยังได้ยินเสียงสนทนาแผ่วเบา
“ไปเถิดๆ ขืนอยู่ต่อไป นายท่านรองจะด่าแล้ว”
“อยู่ต่ออีกหน่อย ห้องหอของเจ้าโง่น่าสนุกนักเชียว เจ้าฟังสิ เงียบกริบเลย แต่ขว้างของตูมตามโครมคราม คิกๆ เจ้าสาวคงไม่ตีเจ้าโง่อยู่กระมัง”
…
ดวงตาสองคู่จ้องมองกันท่ามกลางความมืดมิด แววตาต่างคนต่างเคลื่อนไหว สะท้อนหน้าตาอ่อนโยนของอีกฝ่าย
จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้ว ดิ้นรนเล็กน้อย เขายื่นมือมากดไว้ จิ่งเหิงปัวเข้าใจเจตนาของเขาได้รำไร ชันเข่าค้ำยันเขาไว้ เขาถอยหลบ จิ่งเหิงปัวจึงล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากใต้ร่างกาย ขว้างใส่ใบหน้าของเขา
เขาชะงัก ยื่นมือออกมาคว้าไว้ เพิ่งพบว่านี่คือถั่วลิสงที่ถูกทับจนแบนแล้ว
การคว้าครั้งนี้บังเอิญแตะโดนตรงท้องของนาง ให้สัมผัสอบอุ่นอ่อนนุ่ม เขาใจลอยอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวฉวยโอกาสที่เขาใจลอยนี้ หยิกแขนของเขาอย่างแรง
เสียดายว่านางกำลังป่วยไข้ ไม่มีเรี่ยวแรงอะไร เคลื่อนไหวไม่กี่ครั้งก็วิงเวียนจนตาพร่าแล้ว ได้แต่ใช้แผนลุกขึ้นสู้ แบะปากออก พยายามชี้ใต้ร่างกายให้เขาเห็นอย่างน่าสงสาร
ครานี้เขาถึงเข้าใจ ในเครื่องนอนซ่อนเม็ดแตง ถั่วลิสง และลูกกวาดไว้มากมาย แฝงความหมายว่าลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง บัดนี้กำลังทิ่มจิ่งเหิงปัวจนนางเจ็บไปทั้งตัว
น่าสงสารนางจะกล่าวตั้งหลายครั้ง กลับโดนนิ้วแนบริมฝีปากเรื่อยไป กลัดกลุ้มจนต้องระเบิดออกมา
เขาคิดอยู่ชั่วครู่ ขยับนางไปข้างใน จิ่งเหิงปัวแทบอยากหยิกเขาให้ตาย…มีความรู้ทั่วไปบ้างไหม ถั่วลิสงกับเม็ดแตงที่อยู่ข้างในจะน้อยกว่าเหรอ ไม่ว่าอย่างไรที่อยู่ข้างนอกก็แบนหมดแล้ว ไม่ได้ทิ่มคนขนาดนั้นแล้ว ขยับนางไปข้างในจะได้กะเทาะเปลือกถั่วลิสงกับเม็ดแตงอีกรอบเหรอ เครื่องกะเทาะเปลือกเนื้อมนุษย์ทำงานเสร็จแล้ว เขาก็จะได้เก็บเมล็ดขึ้นมากินเรื่อยเปื่อยใช่ไหม
เจ้าคนนี้หน้าตาฉลาดเฉลียว ทำไมพอขึ้นเตียงก็ไอคิวต่ำกว่ามาตรฐานล่ะ!
เขาโดนสายตาของนางจ้องจนได้สติ รีบอุ้มนางออกมาอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวเกลียดตัวเองที่ป่วยไข้ไม่มีแรง มิฉะนั้นจะใช้เท้าถีบเขาให้กระเด็นไปตั้งนานแล้ว
แขนของเขากลับสั่นเทาเล็กน้อย…นางเหงื่อออก ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ปวกเปียกอยู่บนแขนเขา คล้ายประคองธารวสันต์
กลิ่นหอมที่คล้ายกร่อนกระดูกได้นั้น…
แขนก็พลันคล้ายสูญสิ้นเรี่ยวแรงจนต้องวางนางลง เขาได้แต่คุกเข่าอยู่บนเตียง ยื่นมือล้วงถั่วลิสงกับเม็ดแตงในผ้าห่มโยนไปมุมเตียง ถั่วลิสงกับลูกกวาดมากมายอยู่ในเครื่องนอนใต้ร่างนาง เขายื่นมือล้วงไปใต้ร่างนางอีกครั้ง แม้กั้นด้วยผ้าห่ม แต่ยังรู้สึกถึงความร้อนและความนิ่มของร่างนาง ทรวดทรงโค้งเว้าปานนั้น ความหอมของผิวกายอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ กลิ่นหอมเข้มแต่ไม่ฉูดฉาดของนางเติมเต็มลมหายใจเคร่งเครียดเล็กน้อยในขณะนี้
นางก็เคร่งเครียดเล็กน้อย แม้นางอ่อนเพลียมาก เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย แต่มือข้างที่ลูบคลำอยู่ใต้ร่างนั้นทำให้นางต้องกังวล ต้องตื่นตัว ต้องเกร็งร่าง นางรู้สึกได้ว่ามือคู่นั้นคล่องแคล่วมาก กวาดถั่วลิสง ลูกกวาด เหรียญทองแดง และของแข็งซ่อนอยู่ในผ้าห่มพวกนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังคันยุบยิบ ผิวกายและรูขุมขนคล้ายสั่นระริกด้วยเหตุนี้ รู้สึกถึงทรวดทรงที่ต่างออกไป บางครั้งการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจของเขาทำให้นางคิดเพียงจะหนีไป แต่เพราะเงามืดที่วนเวียนเหนือศีรษะนั้น ได้แต่เลือกเบี่ยงตัวเล็กน้อย นางพลิกตัว รูปร่างกระเพื่อมทรวดทรงโค้งเว้า เขากึ่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังนาง กำเม็ดแตงกับถั่วลิสงที่แหลกละเอียดไว้ เหม่อลอยลืมเคลื่อนไหวขั้นต่อไป
สนิทสนมปานนี้ ราวกับยามแรก…ทว่าไม่ใช่ยามแรก…