เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1172 ไม่สามารถแก้ไข

แปลโดย iPAT

ค่ายกลวิญาณรูปแบบการต่อสู้โบราณยักษ์เขียวถูกทำลาย ผู้อมตะเผ่าไป่ซูได้รับผลกระทบย้อนกลับที่รุนแรง

“ท่านเหว่ย!” บางคนกรีดร้อง

ไป่ซูเหว่ยเป็นบุคคลสำคัญในการควบคุมยักษ์เขียว ดังนั้นเขาจึงได้รับผลกระทบมากที่สุดและเสียชีวิตในจุดเกิดเหตุ

ไป่ซูเหว่ยเป็นตัวตนอันดับหนึ่งรองจากจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู เขาเป็นผู้อมตะคนสำคัญของเผ่า

แต่ผู้ใดจะคิดว่าเมื่อเผ่าไป่ซูกำลังจะก้าวเข้าสู่ความรุ่งโรจน์ เขากลับมาเสียชีวิตในฐานทัพของตนเอง

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงทำให้ผู้อมตะเผ่าไป่ซูตกใจและโศกเศร้า แต่ฟางหยวนกับคนอื่นๆก็แสดงออกด้วยความเคร่งเครียดเช่นกัน

สมาชิกเผ่าไป่ซูเสียชีวิต!

นี่เป็นปัญหาใหญ่มาก

หัวใจของฟางหยวนจมดิ่งลง

ใบหน้าของหลี่ซื่อจุนกลายเป็นซีดเผือด เขาถามด้วยความกระวนกระวาย “ทำอย่างไร? พวกเราควรทำอย่างไร?”

ห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋รู้สึกแย่มาก

“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ยักษ์เขียวมีพลังการต่อสู้ระดับแปด เสียงคำรามของวายุสายฟ้าไม่ใช่ภัยคุกคามของมัน” เชาเหล่าอู๋รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

‘พวกเขาไม่คุ้นเคยกับค่ายกลวิญญาณนี้มากพอ…’ ฟางหยวนคิด

ค่ายกลวิญญาณรูปแบบการต่อสู้โบราณยักษ์เขียวทรงพลังแต่มันไม่ง่ายที่จะควบคุม

ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ของเผ่าไห่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ดีเพราะพวกเขาฝึกฝนมาอย่างยาวนาน

แต่ผู้อมตะเผ่าไป่ซูฝึกใช้ยักษ์เขียวเพียงช่วงเวลาสั้นๆ

และนี่เป็นการต่อสู้จริงครั้งแรกของพวกเขา เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะทำบางสิ่งผิดพลาด

“นี่เป็นเรื่องใหญ่ พวกเราต้องคุยกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป” ห่าวเจิ้นเรียกร้อง

“หือ พวกเจ้าทั้งสองเป็นคนฆ่าเขา นี่เกี่ยวสิ่งใดกับข้า?” ฟางหยวนหัวเราะและบินจากไป

“เจ้า!” ห่าวเจิ้นโกรธมาก

เชาเหลาอู๋เร่งกล่าว “หลิวกวนซื่อ พวกเราอยู่บนเรือลำเดียวกัน เจ้าคิดว่าจักรพรรดิสวรรค์จะปล่อยเจ้าไปงั้นหรือ?”

แต่ฟางหยวนไม่สนใจ เขาบินเข้าไปในกลุ่มเมฆและหายไปจากวิสัยทัศน์ของทุกคน

ผู้อมตะคนอื่นๆบินต่อแต่ไม่มีผู้ใดเปิดปากกล่าว

ห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋รู้สึกตื่นตระหนกและกระวนกระวายใจมาก

เชาเหลาอู๋พยายามสงบจิตใจ “หลิวกวนซื่อผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์นัก…”

ก่อนที่เขาจะกล่าวจบประโยค หวังอู๋หมิงขัดจังหวะ “อา…ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าต้องรีบรักษาตัว ลาก่อน”

เขาเปลี่ยนทิศทางและจากไปอย่างรวดเร็ว

หลี่ซื่อจุนเห็นสิ่งนี้และเผยรอยยิ้ม “ข้ามีทักษะในการรักษา หวังอู๋หมิง รอข้าด้วย ข้าจะช่วยท่าน”

หลังกล่าวจบคำ เขาเร่งติดตามหวังอู๋หมิงไปทันที

เชาเหลาอู๋มองห่าวเจิ้นและรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้อยู่คนเดียว

นอกจากนั้นห่าวเจิ้นก็ร่วมโจมตีพร้อมกันกับเขา

เชาเหลาอู๋และห่าวเจิ้นเป็นสหายที่ดี อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์นี้ไม่ได้ช่วยสิ่งใด

ทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่ห่าวเจิ้นจะเปิดปากกล่าว “เรื่องเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่พวกเราสามารถทำได้ ตอนนี้พวกเราต้องพึ่งชูตู๋เท่านั้น”

ดวงตาของเชาเหลาอู๋ส่องประกายขึ้น “ถูกต้อง ชูตู๋ขอความช่วยเหลือจากพวกเรา เขาย่อมไม่ละทิ้งพวกเรา ไปหาเขากันเถอะ!”

ด้านฟางหยวน เขากลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาทันที

‘สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน’ เขาขมวดคิ้วและวิเคราะห์สถานการณ์

เดิมทีการบุกแดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็กดำเนินไปได้อย่างราบรื่น มันถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จ

ฟางหยวนและคนอื่นๆทำลายและปล้นสะดมทรัพยากรจำนวนมาก นี่จะทำให้จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูต้องล่าถอยกลับมาปกป้องฐานทัพของเขา

จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูทุ่มเทความพยายามเพื่อสร้างรอยแตกร้าวระหว่างสมาชิกตระกูลฮวงจินและจ่ายด้วยราคามหาศาลเพื่อสร้างเผ่าของตน

หากจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูยังดื้นรั้นที่จะโจมตีถ้ำสวรรค์ไห่ฟาน สถานการณ์ของเผ่าไป่ซูอาจเลวร้ายลง

ชื่อเสียงของเผ่าไป่ซูจะถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ กองกำลังอื่นจะรวมตัวกันบุกโจมตีเผ่าไป่ซูราวกับหมาป่าที่หิวโหยเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับเผ่าไห่มาแล้ว

เมื่อสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูก็ต้องพบกับความยากลำบาก

เพราะเขาไม่ใช่ผู้อมตะระดับแปดเพียงผู้เดียวของภาคเหนือ

เพื่อปกป้องผลประโยชน์ จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูต้องรีบยึดครองถ้ำสวรรค์ไห่ฟานหรือยอมแพ้อย่างชาญฉลาดและกลับมาสร้างเสถียรภาพให้กับกองกำลังของเขา

แต่จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูไม่สามารถยึดครองถ้ำสวรรค์ไห่ฟานได้ในเวลาอันรวดเร็ว หากเขาทำได้ ตอนนี้เขาคงประสบความสำเร็จไปแล้ว

ชูตู๋สังเกตเห็นสิ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงวางแผนโจมตีจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม

แต่น่าเสียดายที่สิ่งต่างๆมักไม่เป็นไปตามความคาดหมายของมนุษย์

ในช่วงเวลาสำคัญอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับผู้อมตะระดับเจ็ดของเผ่าไป่ซูและทำให้เขาเสียชีวิต

ฟางหยวนรู้ว่าห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋ช่วยชีวิตหวังอู๋หมิงเพราะต้องการสิ่งตอบแทน เมื่อพวกเขาสามารถช่วยหวังอู๋หมิงจากยักษ์เขียว หวังอู๋หมิงจะไม่ตอบแทนพวกเขาได้อย่างไร?

‘พวกเขาเป็นสองคนสุดท้ายที่เข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็ก พวกเขาไม่สามารถต่อต้านความหิวโหยของตน นี่คือเหตุผลที่พวกเขาต้องการโชคลาภจากหวังอู๋หมิง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาประเมินไป่ซูเหว่ยสูงเกินไปและทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายนี้’ ฟางหยวนส่ายศีรษะและถอนหายใจ

จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูต้องแก้แค้นเรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

หากเขาไม่ทำ ชื่อเสียงของเขาจะถูกทำลาย ผู้อมตะระดับแปดไม่สามารถปกป้องคนของตน ในกรณีนี้มันหมายความว่าตัวเขาเองก็สามารถตายได้เช่นกัน

นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถอภัยยิ่งกว่าการที่แดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็กถูกทำลายอย่างสมบูรณ์

โดยไม่ต้องกล่าวถึงการสร้างความรุ่งโรจน์ให้แก่เผ่าไป่ซู กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูก็จะสูญเสียชื่อเสียงทั้งหมดของเขา

‘นั่นหมายความว่าตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างชูตู่กับจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไปขณะที่ข้าเป็นหนึ่งในพันธมิตรของชูตู๋และร่วมบุกแดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็ก’

ฟางหยวนถูกลากเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นี้แม้สถานการณ์ของเขาจะดีกว่าเชาเหลาอู๋และห่าวเจิ้นก็ตาม

‘ข้าควรทำอย่างไร?’ ฟางหยวนเดินไปรอบๆห้องลับและคิดอย่างหนัก

ข้อตกลงพันธมิตรทำให้ฟางหยวนต้องการมรดกบนเส้นทางแห่งข้อมูลมากขึ้น

‘ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดข้าต้องรับชูตู๋เข้าสู่นิกายหลางหยา นิกายหลางหยาเป็นสมาชิกกองกำลังพันธมิตรสี่เผ่าพันธุ์ เมื่อถึงเวลานั้นเราสามารถใช้มังกรหินแรกกำเนิดต่อต้านจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู’

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ฟางหยวนประเมินความเป็นไปได้ที่ชูตู๋จะเข้าร่วมกับนิกายหลางหยา

แต่จักรพรรดิอมตะชูตู๋มีความภาคภูมิใจในฐานะผู้อมตะเผ่ามนุษย์ แล้วเขาจะก้มศีรษะให้กับกองกำลังเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ได้อย่างไร?

‘หรือบางทีชูตู๋อาจมีไพ่ตายเหลืออยู่?’ ฟางหยวนคิดถึงความเป็นไปได้อื่น

แน่นอนว่าฟางหยวนยังมีอีกวิธีหนึ่ง นั่นคือการออกจากภาคเหนือ

เขามีร่างทารกอมตะ เขาสามารถอยู่ได้ทุกภูมิภาค เขาแตกต่างจากผู้อมตะคนอื่นๆ ตัวอย่างเช่นผู้อมตะภาคเหนือที่ออกจากภาคเหนือ หากมิติช่องว่างของพวกเขาดูดซับปราณสวรรค์พิภพของภูมิภาคอื่น มันจะไม่เสถียรและอาจระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สำหรับการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่ต่างแดน มันคือการรนหาที่ตายเท่านั้น

‘หากข้าไม่สามารถต่อสู้ ข้าก็จะหลบหนี’ ฟางหยวนคิด ชื่อเสียงและความภาคภูมิใจไม่ใช่อุปสรรคของเขา

แน่นอนว่าหากฟางหยวนมีทางเลือก เขาจะไม่ออกจากภาคเหนือ

ที่นี่เขาสามารถหยิบยืนพลังอำนาจของนิกายหลางหยาและมีชีวิตที่ดี หากเขาจากไป เขาจะไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะมิติภัยพิบัติ ไม่สามารถใช้หุบเขาเหล่าโป และยังมีปัญหาอีกมากมายรออยู่

…..

ภาคใต้

เช้ามืด

หมอกบนภูเขาหลอมรวมกับกลิ่นอายของพรรษาพันธุ์ทำให้บรรยากาศเย็นสบาย

สองร่างบินลงมาจากชั้นเมฆ

หนึ่งเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด อีกหนึ่งเป็นผู้อมตะระดับหก พวกเขาสวมเสื้อแขนสั้นสีเขียวเข้มและกางเกงขายาวสีดำ

“พี่ใหญ่ พวกเขาบอกว่าผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามเสียสติไปแล้วงั้นหรือ?” ผู้อมตะระดับหกถาม

ผู้อมตะระดับเจ็ดถอนหายใจตอบ “ตั้งแต่พวกเราฝ่ายธรรมะเริ่มสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน ผู้อมตะสองคนหมดสติและอีกหนึ่งจิตวิญญาณถูกทำลาย ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามเสียสติ…ข้าเกรงว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”

“อา…” ผู้อมตะระดับหกอ้าปากค้าง “ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามมีการบ่มเพาะระดับเจ็ด เขาผ่านภัยพิบัติใหญ่มาแล้วสองคร้ง แล้วเขาจะเสียสติได้อย่างไร?”

ผู้อมตะระดับเจ็ดส่ายศีรษะ “การสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันไม่เกี่ยวกับระดับการบ่มเพาะ จนกว่าผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามจะกลับมา พวกเราต้องทำหน้าที่แทนเขา น้องชายของข้า เจ้าต้องระวังตัว เขาเป็นตัวอย่างที่ดี อย่าประมาทอาณาจักรแห่งความฝัน”

“พี่ใหญ่อย่ากังวล! ข้ารู้ขีดจำกัดของตนเอง ข้าจะรนหาที่ตายเพื่อสิ่งใด?” ผู้อมตะระดับหกกล่าวด้วยความหวาดกลัว

ผู้อมตะทั้งสองพูดคุยกันระหว่างเดินทางผ่านยอดเขาไร้นามแห่งหนึ่งก่อนจะหายไปบนท้องฟ้า

“พวกเขาไปแล้ว” ไห่ลั่วหลันกล่าว

ปัจจุบันนอกจากนางยังมีอิงอู๋เซี่ย ซื่อหนิว ไท่เป่ยหยุนเฉิง และไป่หนิงปิง

“ค่ายกลวิญญาณนี้ถูกสร้างขึ้นโดยจื่อฉูโหย่ว เขาใช้วิญญาณอมตะจำนวนมากของฝ่ายธรรมะ นั่นทำให้การป้องกันของมันแข็งแกร่งมาก” ซื่อหนิวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด

ด้วยค่ายกลวิญญาณที่ทรงพลังนี้ ฝ่ายธรรมะของภาคใต้จึงสามารถปกป้องอาณาจักรแห่งความฝันจากผู้บุกรุก กระทั่งกลุ่มของอิงอู๋เซี่ยก็ไม่สามารถบุกทะลวงเข้าไป

อย่างไรก็ตามอิงอู๋เซี่ยยังเผยรอยยิ้มบาง “ค่ายกลวิญญาณนี้ไม่ใช่ปัญหา อาณาจักรแห่งความฝันยังขยายตัวขึ้นตลอดเวลา ทุกช่วงเวลาหนึ่งผู้อมตะฝ่ายธรรมะต้องจัดการมัน พวกเขาต้องสำรองพลังงานเอาไว้ เมื่อเวลานั้นมาถึง อุปสรรคที่แท้จริงของพวกเราจะมีเพียงอาณาจักรแห่งความฝันเท่านั้น”

เขาหยุดถอนหายใจก่อนกล่าวต่อ “ข้าสามารถนำวิญญาณเข้าสู่ความฝันแต่ข้าไม่มีวิธีคลี่คลายความฝัน”

“ฟางหยวนมี” ไห่ลั่วหลันถ่ายทอดเสียง

“เขา!?” หัวใจของอิงอู๋เซี่ยสั่นสะท้านขึ้น สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน