“พูดให้ชัดหน่อย!” กู่ถิงทั้งร้อนรนทั้งเจ็บปวด ข้อมือเริ่มสั่นขึ้นมาแล้ว
ศิษย์ผู้นั้นหอบหายใจอยู่นาน แล้วจึงจัดลำดับความคิดใหม่ “หลายวันก่อนไม่ใช่ว่ามีข่าวมาว่าพลังมืดจู๋อินในทะเลหลีเฮิ่นน้อยลงไปกว่าครึ่งหรือ ที่แท้ก็เป็นฝีมือเสวียนอี่ พักนี้กำลังเจรจาประนีประนอมกับเหล่าแม่ทัพผู้คุมต่างๆ จะต้องสอบถามเหตุผลให้ชัดเจนเสียก่อนถึงค่อยพูดว่าจะไปฆ่านางไม่ใช่หรือ แต่ชื่อเสียงของตระกูลจู๋อินไม่ดีมาตลอด เสวียนอี่อยู่ที่โลกเบื้องล่างก็ไม่ได้มีผลงานอะไร สถานการณ์น่ากลัวว่าจะไม่ค่อยสู้ดีนัก มหาเทพจูเซวียนเอาลูกศรโฮ่วอี้ส่งไปยังโลกเบื้องล่างแล้ว เหมือนจะบอกว่าสิ่งนั้นสามารถทำลายเกล็ดของตระกูลจู๋อินได้ จะฆ่าเสวียนอี่จริงๆ? ! แล้วมหาเทพจงซานกับองค์ชายน้อยจะยอมหรือ หรือว่าพวกเราจะต้องไปสู้กับตระกูลจู๋อินกันทั้งตระกูล?!”
ตระกูลนี้ทั้งตระกูลยังจัดการยากกว่าราชาเผ่ามารอะไรอีก แค่พลังมืดจู๋อินกับหิมะจู๋อินก็สามารถทำให้ล้มไปได้เป็นแถบแล้ว เป็นเทพดีๆ ไม่ชอบ ไปเป็นเผ่ามารทำไมกัน หรือว่าจะมีราชาก้งกงอีกตน รวมมหาเทพจงซานกับองค์ชายน้อยด้วยแล้ว หากว่าพวกเขาทั้งสองคนเองก็เสื่อมจากเทพกลายเป็นเผ่ามารด้วยแล้ว นั่นเรียกว่าน่ากลัวเสียยิ่งกว่าราชาก้งกงสามตนเสียอีก
เหยียนสยากล่าวอย่างร้อนรน “ศิษย์น้องหญิงจะยินดีกลายไปเป็นเผ่ามารได้อย่างไร จะต้องมีอะไรผิดพลาดแน่!”
จากที่นางเข้าใจเสวียนอี่ไม่มากนัก นางก็ยังรู้ว่าองค์หญิงน้อยทั้งเย่อหยิ่งและเกียจคร้าน การทิ้งตำแหน่งสบายๆ อย่างวั่งซูแล้วไปเป็นราชาเผ่ามาร เกรงว่านี่คงจะไม่ใช่วิสัยนาง
กู่ถิงสูดลมหายใจเข้าแล้วพลันนึกอะไรได้ทันที “ฝูชางเล่า? !”
ศิษย์คนนั้นส่ายหัว “ไม่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเทพฝูชางเลย แต่ว่าเหมือนตอนที่จัดการกับราชาปาเสอก่อนหน้านี้ มีข่าวมาว่าเขาใช้ปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรโจมตีเสวียนอี่ ข้าว่า จากนิสัยของตระกูลหวาซวี เขาจะต้องเห็นแก่แผ่นดินไม่สนใจนางแน่!”
เห็นแก่แผ่นดินอะไรกันเล่า! กระทั่งศิษย์อย่างพวกเขายังทำไม่ได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับฝูชาง หากว่าเสวียนอี่เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ฝูชางคงได้คลั่งแน่ นางทำให้เขาหลงใหลจนความคิดเลอะเลือนแล้ว จากนิสัยของเขา แปดเก้าในสิบคิดว่าอาจจะปะทะกับเหล่านักรบเสียมากกว่า นั่นต่างหากที่เรียกว่าแย่ถึงขีดสุด
กู่ถิงยันเตียงคิดจะลงมา เขาต้องลงไปโลกเบื้องล่าง เขาต้องรู้สถานการณ์ให้ชัดเจน แม้ว่าเขาจะชอบล้อเล่นเรียกเสวียนอี่ว่า “มารตัวน้อย” แต่ว่าก็ไม่เคยหวังว่าจะมีวันใดวันหนึ่งที่นางจะกลายเป็นมารไปจริงๆ เรื่องนี้ต้องมีสาเหตุแน่
แต่ว่าอาการบาดเจ็บของเขาหนักเกินไป ไอขุ่นมัวยังขจัดไม่หมด ไม่สามารถใช้เวทฟื้นสภาพได้ แค่ยันก็ทำให้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อแล้ว เหยียนสยารีบไปประคองเขาเอาไว้แล้วกระทืบเท้าติดกัน “อย่าขยับ! ท่านก็ไม่รู้สักหน่อยว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน!”
ไท่เหยาเองก็กดเขาเอาไว้ สีหน้าเคร่งเครียด “เจ้ารักษาตัวให้ดี รอให้ไอขุ่นมัวขจัดหมดแล้วค่อยว่ากัน เรื่องนี้ให้ข้าจัดการ”
กู่ถิงกล่าวเสียงสั่น “พูด พูดกับอาจารย์ว่า…ไม่ว่าอย่างไรก็ให้เขาถ่วงเวลา…ไอขุ่นมัวบนร่างของข้ายังต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะขจัดหมด…”
ไท่เหยาตบไหล่เขาอย่างปลอบใจ หันกลับไปถามศิษย์คนนั้นว่า “แล้วที่จื่อซีถูกจับเข้าไปในคุกสวรรค์นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ศิษย์คนนั้นส่ายหน้าอีก “เรื่องนี้ไม่รู้ชัดจริงๆ ได้ยินว่านางรู้ข่าวแต่ไม่ยอมแจ้ง คิดจะปิดบัง”
ไท่เหยานิ่งไปแล้วมองไปที่เหยียนสยา “ข้าน่าจะเข้าไปในคุกสวรรค์ได้ ข้าไปถามสถานการณ์จากจื่อซีก่อน เจ้าไปหาอาจารย์ ไม่ว่าอย่างไรต้องขอให้เขาถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน ต้องรู้สถานการณ์ให้แน่ชัดเสียก่อนถึงจะเคลื่อนไหว”
“ได้!” เหยียนสยาหมุนตัวแล้วพุ่งออกไปทันที
…
เสวียนอี่หลับไปครั้งนี้หลับไปนานมาก ทั้งยังหลับลึกมาก นับตั้งแต่รู้ว่าร่างกายผิดปกตินั้น นี่คือครั้งแรกที่นางไม่ต้องตกใจตื่นขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ อีก
ความเจ็บปวดจากเกล็ดมังกรร่วงหล่นที่ก่อนหน้านี้ทรมานนางตลอดก็ไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ไอบริสุทธิ์ห้อมล้อมร่างนางไว้ กลิ่นนี้ทำให้ใจนางสงบและสบาย
นางพลิกตัว ดูเหมือนว่าแผลที่ท้องและหลังจะไม่เจ็บแล้ว จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แต่ว่ากลับเกือบจะถูกแสงสว่างจ้าสีทองประกายทำให้ตาบอดเอา นางรีบใช้แขนเสื้อปิดใบหน้าเอาไว้ ราวกับรู้ว่านางตื่นแล้ว ข้างหูพลันมีเสียงลมผ่านมา ร่างของนางเข้าไปในอ้อมแขนคู่หนึ่ง
“เจ้านอนหลับไปครึ่งเดือนของเวลาโลกมนุษย์” ฝูชางประคองนางเอาไว้ แหวกแขนเสื้อแล้วก้มหน้าลงไปพิจารณาสีหน้านาง ในที่สุดสีหน้าของนางก็ไม่ได้ขาวซีดราวกับจะสลายไปอีกแล้ว สีปากเองก็กลับมาเป็นสีชมพูอ่อนเช่นเคยแล้ว
เสวียนอี่ปล่อยแขนเสื้อลง ใครจะรู้ว่าแสงพระอาทิตย์ของโลกเบื้องล่างที่นางรู้สึกไม่จ้าเท่าไหร่นั้นกลับเริ่มบาดตานางจนเจ็บแล้ว แปลกจริง หรือว่าพอเป็นเผ่ามารกระทั่งดวงตายังอ่อนแอไปด้วยเลย นางหรี่ตาลงอย่างไม่สบายตัว ใบไม้ราวกับม่านน้ำตกเหนือศีรษะก็รีบแผ่ออกไปทันที บดบังแสงสว่างทั้งหมดเอาไว้
“รู้สึกอย่างไรบ้าง” ฝูชางถามเสียงต่ำ
ใครจะรู้ว่าองค์หญิงที่รักสวยรักงามคนนี้กลับใช้หิมะจู๋อินสีดำปั้นเป็นกระจกขึ้นมาทันที ส่องมองซ้ายขวากลับไปกลับมา พลางตัดพ้อเสียงอ่อนว่า “ตายจริง กลายเป็นน่าเกลียดแล้ว”
…ทั้งๆ ที่เหมือนกับแต่ก่อนชัดๆ กระทั่งนิสัยว่องไวยังเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน
ฝูชางไม่รู้ว่าควรจะถอนหายใจ หรือว่าอยากจะหัวเราะ หรือว่าจะแสดงความอ่อนแอไม่สงบที่กดลงไปในส่วนลึกช่วงหลายวันมานี้ออกมาดี เขากางแขนทั้งสองออกแล้วกอดนางเอาไว้แน่น แนบใบหน้ากับผมสยายของนาง กระทั่งกลิ่นอายบนร่างก็ยังไม่เปลี่ยนไป ทั้งเยือกเย็นและงดงามอ่อนหวาน กลิ่นอายที่เป็นขององค์หญิงมังกรแต่เพียงผู้เดียว
โชคดีที่นางไม่เป็นไร
นางตัวอ่อนราวกับไร้กระดูกอยู่ในอ้อมอกเขา ผ่านไปนานจึงกล่าวเสียงเบาออกมาว่า “กระดูกจะแตกแล้ว”
เกล็ดมังกรของนางร่วงหมดแล้ว ไม่มีสิ่งที่ใช้ปกป้องร่างกายตนเองอีกแล้ว กระทั่งพลังเทพคืนชีวิต ที่เจ็บปวดก็ยังเจ็บปวด อีกหน่อยหากว่าเขาอยากจะตีนาง เรียกว่าตีไปโดนได้อย่างแม่นยำได้เลยจริงๆ
ฝูชางคลายแรงมือออก แล้วก้มหน้าลงจูบซับที่เรือนผมนาง ฝ่ามือทาบบนใบหน้าเยือกเย็นของนาง ปลายนิ้วก็ลูบคลำเบาๆ ทันใดนั้นก็พลันเคาะศีรษะของนางเบาๆ ครั้งหนึ่ง มันเจ็บเสียจนนางต้องร้องสูดปากออกมาเลย
“ต่อไปอยู่แต่ในกระบี่ไม้นี่พอ” เสียงของเขาแฝงด้วยความเยือกเย็น “จะไม่ปล่อยเจ้าออกไปอีกแล้ว”
สิ่งที่เสวียนอี่จับประเด็นได้เบนไปทันที “กระบี่ไม้หรือ ไม่ใช่ฉุนจวินหรือ”
เมื่อครู่นางพบว่าที่เอวเขาแขวนกระบี่ไว้สองเล่ม เล่มหนึ่งคือฉุนจวิน อีกเล่มคือกระบี่ไม้ธรรมดามากเล่มหนึ่ง ดูแล้วคล้ายกับกระบี่ไม้เล่มที่เขาใช้สอนนางตอนอยู่ที่ตำหนักอวี้หวา
เสียงของฝูชางยังคงเยือกเย็นและราบเรียบ “ขังเจ้าในกระบี่ไม้ก็พอแล้ว”
เสวียนอี่หัวเราะพรืดออกมา น้ำเสียงอ่อนหวานเย้ายวน “ท่านดูถูกราชาจู๋อินอย่างนี้เชียว”
ราชาจู๋อินหรือ? ฝูชางไม่รู้ว่าควรจะเศร้าดีหรือว่าควรจะหัวเราะออกมาดี เขาลูบศีรษะนางแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ราชาปลาดุกอุยแล้วกัน”
นางขดตัวอยู่ตรงแผงอกเขา ยกมือขึ้นแล้วปัดใบไม้ที่บ่าของเขาออกไป เขากลับนั่งนิ่งอยู่ที่โลกเบื้องล่างนี้ไม่ขยับมาครึ่งเดือนเลยหรือ ฝุ่นกองท่วมหมดแล้ว
มือของฝูชางพลันยื่นผ่านชุดคลุมนอกและชุดนักรบเข้าไปลูบแผลที่เดิมอยู่ด้านหลังของนางครั้งหนึ่ง สัมผัสที่ได้คือความเรียบลื่นเกลี้ยงเกลาดังเดิม ดูท่าแล้วแผลด้านนอกคงจะสมานกันดีหมดแล้วด้วยพลังเทพคืนชีวิตเหล่านั้น เขาลูบมาที่ด้านหน้า แล้วลูบไปยังแผลที่ท้อง ผลคือนางจั๊กจี้เสียจนหัวเราะพลางดิ้นบิดไปมา มือข้างหนึ่งดันหน้าผากของเขาแล้วผลักอย่างแรง
เขากุมมือข้างนั้นเอาไว้แล้วนำมาจรดริมฝีปากก่อนจะประทับจูบลงไป จากนั้นจูบลากไปยังข้อมือจนไปถึงข้อศอกอย่างแผ่วเบาและเชื่องช้า ทันใดนั้นก็อ้าปากกัดลงไปที่ข้างข้อพับด้านในคำหนึ่ง ทั้งยังใช้ลิ้นเลียและขบดูดด้วย คราวนี้ในที่สุดก็กัดจนมีรอยหนึ่งรอยแล้ว
ที่เดียวกับรอยกัดขององค์ชายเจ็ดในตอนนั้น
เสวียนอี่ก้มหน้าลงแล้วยิ้ม “ชอบกัดคนขนาดนี้ ท่านจะกินราชาหรืออย่างไร”
หากว่ากินได้จริงๆ ก็ดี เอามาซ่อนไว้ในท้อง นางคือปลาดุกอุยของเขา เป็นราชามาร เป็นองค์หญิงตระกูลจู๋อิน เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่อย่าไปจากเขา อย่าจากไป
“ศิษย์พี่ฝูชาง” นางเรียกเขาเสียงเบา “เอาข้ามาใส่ไว้ในกระบี่ไม้แล้ว ยังไม่รีบอยากพาไปที่ไหนก็พาไปหรือ”
ฝูชางหลับตาลง แล้วกอดรัดร่างเพรียวบางไว้แน่นอีกครั้ง ตอนนี้อยู่ที่นี่ก็ดี ให้เขากอดนางไว้อย่างนี้ก็พอ
นางจะต้องเข้าใจเสียงหัวใจของเขาแน่ มีแต่นางเท่านั้นที่ทำได้ ดังนั้น ในเวลาต่อมาแขนทั้งสองของนางจึงคล้องคอเขาไว้ ใบหน้าแนบลงไปที่หัวใจของเขา มอบความอบอุ่นที่แท้จริงให้กับเขา