“สหายหลานเหตุใดต้องร้อนใจเกินไปด้วย ที่พวกเราต้องการพึ่งพาสหายหานไม่ใช่พลังยุทธ์ในตัวเขา แต่เป็นพลังแห่งเทวะอัสนีที่เขามี ถึงพลังยุทธ์จะต่ำลงไปขั้นสองขั้น แต่ตราบใดที่สามารถสำแดงพลังของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมาได้ แล้วจะมีปัญญาอะไร” มู่ชิงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวท่ามกลางแสงสีดำ

 

 

“การควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายจะง่ายดายเช่นนี้เสียที่ไหนกัน พลังยุทธ์ยิ่งสูง ย่อมมีความมั่นใจมากขึ้นอยู่แล้ว ข้าสงสัยมากว่าระดับแม่ทัพวิญญาณคนหนึ่งจะสามารถสำแดงอานุภาพของเทวะอัสนีได้จริงหรือไม่ หากจำไม่ผิด หากคิดจะกระตุ้นอานุภาพที่แท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย อย่างน้อยก็ต้องมีระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นต้นขึ้นไปสินะ” คิดไม่ถึงว่าคนที่กล่าวในครั้งนี้จะเป็นหนึ่งในชายชุดโลหิตสองคนนั้น น้ำเสียงแปลกประหลาดราวกับโลหะและหิน

 

 

“ตรงจุดนี้ พี่ตี้เซวี่ยวางใจได้เลย! แม้ว่าสหายหานจะเป็นแค่ระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นสูง แต่ไม่ว่าจะความบริสุทธิ์และความแข็งของพลังยุทธ์ ก็ยังด้อยกว่าระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นต้นทั่วไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น เชื่อได้ทั้งหมดว่าจะทำเรื่องนี้ได้ หรือว่าพี่ตี้เซวี่ยมีวิธีการอื่นใดอีก ที่สามารถทำลายอาคมต้องห้ามของแม่น้ำอเวจีได้อย่างมั่นใจ” มู่ชิงพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้ง

 

 

“หากคนผู้นี้สามารถช่วยพวกเราทำลายอาคมต้องห้ามได้ ย่อมเป็นเรื่องที่น่าปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ผู้เฒ่าไม่ได้มีเจตนาจะขัดควาง เพียงแค่เป็นกังวลเกินไปเท่านั้น แม่นางมู่อย่าบิดเบนเจตนารมณ์ของผู้เฒ่า” เมื่อชายชุดโลหิตอีกคนหนึ่งเอ่ยปาก น้ำเสียงกลับเหมือนชายชุดโลหิตคนแรกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ราวกับเป็นคนเดียวกัน

 

 

ในมุมของคนอื่นต่างก็มีสีหน้าแปลกใจกับเรื่องนี้ แต่มู่ชิงกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ในเมื่อพี่ตี้เซวี่ยไม่มีความเห็นกับเรื่องของสหายหานแล้ว ย่อมดีที่สุด แต่ไม่ทราบว่าพี่ลิ่วจู๋กับพี่สาวหลานคิดอย่างไรบ้าง?”

 

 

“ตราบใดที่เป็นประโยชน์ต่อการใหญ่ของพวกเรา ข้าสนับสนุนทั้งนั้น” ชายลึกลับศีรษะคลุมผ้าคลุมดำ ตอบกลับด้วยท่าทางสงบนิ่งผิดปกติ

 

 

ส่วนหญิงงามผมขาวนั้นกลับขมวดคิ้วมุ่น กำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่าง

 

 

“ทำไมรึ หรือว่าพี่สาวหลานยังมีความเห็นใดที่ไม่ตรงกัน?” มู่ชิงดวงตาเปล่งประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยถาม

 

 

“ไม่มีอะไร จิตวิญญาณบริสุทธิ์ของคนผู้นี้แข็งแกร่งผิดปกติ เดิมทีข้าคิดจะใช้จิตวิญญาณของเขาหลอมเป็นราชาภูตเกราะเงินตัวหนึ่ง ตอนนี้คงต้องหาวัตถุดิบใหม่แล้ว เดิมทีคนผู้นี้ข้ากับตี้เซวี่ยเป็นคนพบก่อน น้องมู่ชิงเก็บคนผู้นี้ไว้เช่นนี้ ไม่รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมบ้างหรือ?” หญิงงามผมขาวพูดอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน

 

 

“เหอะๆ ที่แท้พี่สาวหลานก็คิดจะชี้แนะสหายหานด้วยตัวเอง แต่ตามที่ข้ารู้มา วิทยายุทธ์ของพี่สาวน่าจะเป็นฝ่ายถูกเทวะอัสนีพิชิตแทนกระมัง จะให้เขาเรียนรู้หลักแห่งเทวะอัสนีได้อย่างไร หากทำให้การใหญ่ล่าช้า จะไม่เป็นการเสียใจไปชั่วชีวิตเลยหรือ” มู่ชิงหัวเราะเบาแล้วตอบกลับ

 

 

“เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? ฟังจากการพูดของน้องมู่ ทำเหมือนกับรู้จักอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย เจ้าก็ไม่เคยฝึกฝนอิทธิฤทธิ์นี้เช่นเดียวกัน ให้แม่เฒ่าชี้แนะข้ามีตรงไหนที่ทำไม่ได้” หญิงงามผมขาวกลับยิ้มเยาะแล้วกล่าว

 

 

“ตัวข้ามีกายที่ก่อตัวมาจากวิญญาณพฤกษา ในสมัยโบราณ อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเป็นอัสนีเทวาพฤกษาที่จัดอยู่ในอัสนีเทวาห้าสาย หากมีน้องสาวถ่ายทอดวิชาด้วยตัวเอง ย่อมต้องดีกว่าคนอื่นๆ อยู่แล้ว” มู่ชิงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

“ไม่เห็นจะเป็นเช่นนี้เลย ว่ากันด้วยเรื่องระยะเวลา แม่เฒ่าเป็นรองแค่สหายลิ่วจู๋ ด้วยระยะเวลาฝึกฝนที่ยาวนานเช่นนี้ ก็พอที่จะหักล้างพรสวรรค์ของน้องมู่ได้แล้วกระมัง” หญิงงามกลับพูดอย่างไม่เกรงใจ

 

 

ได้ยินคำนี้ มู่ชิงก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ขณะที่คิดจะพูดอะไรอีก ชายลึกลับนามว่าลิ่วจู๋ผู้นั้นกลับพูดโพล่งขึ้นมา “สหายทั้งสองอย่าเพิ่งโต้เถียงอะไรกันเลย ควรให้พวกข้ายืนยันว่าอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของสหายหานเป็นของจริงหรือไม่ แล้วค่อยคุยเรื่องอื่นจะดีกว่า”

 

 

เห็นได้ชัดว่าในกลุ่มนี้ลิ่วจู๋เป็นคนที่มีบารมีค่อนข้างสูง อีกทั้งหลังจากที่หญิงงามกับมู่ชิงสบตากับเขาด้วยท่าทางค่อนข้างหวาดกลัว หญิงงามก็ไม่พูดอะไรอีก ส่วนมู่ชิงกลับหันไปกล่าวกับหานลี่ด้วยท่าทางสงบนิ่ง “คิดว่าการสนทนาของพวกข้า เมื่อครู่นี้เจ้าน่าจะได้ยินทั้งหมดชัดเจนแล้ว สหายหานช่วยปล่อยอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมาครั้งหนึ่งได้หรือไม่ ให้พวกข้าทั้งหลายได้แน่ใจ เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันไม่น้อย คิดว่าสหายคงไม่ปฏิเสธกระมัง”

 

 

หานลี่เผยรอยยิ้มเจื่อน แต่ก็ไม่มัวพูดไร้สาระอะไร พลันตั้งท่าร่ายคาถาสองมือ

 

 

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงฟ้าร้องดังสะเทือนเลือนลั่นคราหนึ่ง บนร่างหานลี่เปล่งแสงสีทองเจิดจ้า เส้นไหมสายฟ้าเรียวบางจำนวนนับไม่ถ้วนพลันปรากฏออกมาจากภายในร่าง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นประกายแสงสีทองเส้นหนาๆ หลายสายพันรอบกาย อานุภาพน่าตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!

 

 

ภายในวิหารพฤกษา หญิงงาม ลิ่วจู๋ และคนอื่นๆ ต่างก็จองมองประกายแสงสีทองโดยไม่กะพริบตา แม้แต่มู่ชิงที่เคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งก็ไม่ยกเว้น

 

 

ลิ่วจู๋สั่นแขนเสื้อใหญ่ๆ ไปที่หานลี่คราหนึ่ง พายุทมิฬสีดำสลัวๆ ก็พุ่งตรงออกไป

 

 

หานลี่เลิกคิ้วขึ้น พลันใช้มือเดียวแตะคราหนึ่ง

 

 

ประกายแสงสีทองสายหนึ่งก็พุ่งออกไปต้านรับ

 

 

พลันเกิดเสียงโครมขึ้นคราหนึ่ง เมื่อประกายแสงสีทองกับพายุสีดำแตะถูกกันก็ระเบิดออกในทันที ทุกหนแห่งที่แสงสีทองแผ่ไปถึง พายุสีดำก็ราวกับหิมะละลายในแสงแดดฤดูใบไม้ผลิ ค่อยพากันแตกสลายและอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น

 

 

“ไม่เลว เป็นอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายอย่างที่คาดไว้จริงๆ!” ลิ่วจู๋พยักหน้า ภายในน้ำเสียงมีความดีอกดีใจอยู่หลายส่วน

 

 

“อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายที่เหมือนกับระดับนี้ สหายคาดว่าน่าจะปล่อยได้กี่สาย” หนึ่งในชายชุดโลหิตถามโพล่งขึ้นมา

 

 

“น่าจะประมาณยี่สิบสายกระมัง แต่ทุกครั้งหลังจากปล่อยออกมาแล้ว จะต้องรอเป็นเวลานานจึงจะฟื้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม” หานลี่ตอบกลับด้วยนัยน์ตาเปล่งประกายเล็กน้อย

 

 

เขานำจำนวนที่ควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายลดลงมาสองในสามส่วน ไม่ตอบตามความจริง

 

 

“ยี่สิบสาย เช่นนี้ก็น่าจะพอใช้งานได้แล้ว” ได้ยินวาจานี้ของหานลี่ ชายชุดโลหิตอีกคนหนึ่งกลับหัวเราะประหลาดขึ้นมาด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ

 

 

“ไม่เลว แม้ว่าอาคมต้องห้ามของแม่น้ำอเวจีจะร้ายกาจ แต่ภายใต้การโจมตีด้วยเทวะอัสนีที่มากมายเช่นนี้ ไม่มีทางยืนหยัดต้านทานไว้ได้แน่ เอาล่ะ คนก็ไม่มีปัญหาแล้ว ต่อจากนี้ควรจะถกปัญหาเรื่องทางไปของสหายหานแล้ว ข้ากับสหายตี้เซวี่ย ไม่ค่อยรู้จักเคล็ดวิชาเทวะอัสนีดีนัก จึงไม่ขอมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ จุดสำคัญก็คือ ตอนนี้แม่นางมู่กับสหายหลานต่างก็อยากให้สหายหานตามมาเรียนหลักแห่งการควบคุมอัสนีกับตนเอง ปัญหานี้ค่อนข้างแก้ยากอยู่บ้าง ข้าเห็นว่าควรทำเช่นนี้ก็แล้วกัน ตอนนี้เวลายังห่างจากการใหญ่อยู่หลายปี สองปีแรกให้เขาติดตามแม่นางมู่ศึกษาเล่าเรียนหลักแห่งการควบคุมอัสนี สองปีหลังค่อยไปเป็นศิษย์ของสหายหลาน ในสองปีสุดท้าย ให้สหายหานฝึกฝนและเรียนรู้ด้วยตัวเอง สหายทั้งสองน่าจะไม่มีความเห็นแล้วกระมัง!” ลิ่วจู๋พูดโดยไร้ความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง

 

 

ได้ยินลิ่วจู๋กล่าวเช่นนี้ หญิงงามกับมู่ชิงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

 

 

“เหอะๆ ความเห็นนี้ของพี่ลิ่วจู๋ดีมาก ข้าคิดว่าสหายทั้งสองคงไม่ต้องโต้เถียงกันอีกแล้ว เป็นเช่นนี้ดีแล้ว” ชายชุดโลหิตพลันตบมือหัวเราะใหญ่แล้วกล่าว

 

 

“ในเมื่อสหายลิ่วจู๋กับตี้เซวี่ยต่างก็รู้สึกว่าวิธีนี้ดี แม่เฒ่าก็ไม่มีความเห็นอะไรแล้ว” หญิงงามผมขาวลังเลพักหนึ่ง จึงค่อยพยักหน้าตกลงอย่างช้าๆ

 

 

ส่วนมู่ชิงกลับนั่งตัวตรงอยู่ในดอกไม้สีทองไม่ขยับเขยื้อน ยังไม่พูดอะไรในทันที

 

 

“ทำไมรึ แม่นางมู้รู้สึกว่าวิธีการนี้ไม่เข้าท่าหรือ?” ดวงตาภายในผ้าคลุมพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ลิ่วจู๋เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขรึม

 

 

“ไม่ใช่อยู่แล้ว ตามที่ทั้งสามพูดเถอะ” มู่ชิงรู้สึกใจหายวาบ ผ่านไปนานสองนานจึงค่อยยิ้มฝืนๆ แล้วกล่าว

 

 

“ดี เดิมทีเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องเล็ก ทุกอย่างควรยึดถือการใหญ่ที่พวกเราวางแผนไว้ สหายหาน ให้เวลาเจ้าภายในหกปี หากภายในหกปีสามารถฝึกฝนหลักแห่งการควบคุมอัสนีที่พวกข้าถ่ายทอดได้สำเร็จ สำแดงอานุภาพที่แท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้ พวกข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่ลับแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นมีผลประโยชน์อันใหญ่หลวงรอเจ้าอยู่ แต่ในทางกลับกัน หากภายในหกปีเจ้าไม่สามารถควบคุมอานุภาพแท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้ ถึงเวลานั้น! หึหึ…” ชายชุดโลหิตคนหนึ่งยิ้มแล้วพูดกึ่งขู่เข็ญกึ่งล่อใจหานลี่

 

 

แม้ว่าคำพูดสุดท้ายจะพูดไม่จบ แต่ความหมายแอบแฝงนี้เป็นใครก็ฟังออกทั้งนั้น

 

 

หลังจากหานลี่ได้ยิน สีหน้าก็ดูย่ำแย่ขึ้นมา

 

 

“สหายหานวางใจเถิด เจ้าสามารถฝึกฝนอิทธิฤทธิ์นี้ได้ด้วยอายุน้อยเช่นนี้ จะต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เหนือคน! สำหรับวิธีฝึกฝนการควบคุมเทวะอัสนีให้สำเร็จในหกปี จะต้องไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน แต่เพื่อป้องกันไม่ให้สหายหานเกิดความคิดตุกติกอื่นๆ พวกข้าจำเป็นต้องวางอาคมต้องห้ามขนาดเล็กไว้ในร่างเจ้า” หญิงงามผมขาวกล่าว พลันชูมือขึ้น เส้นไหมสีเทาสายหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาอย่างไม่มีเค้าลาง ภายในชั่วพริบตา ก็มาถึงตรงหน้าลำตัว

 

 

หานลี่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ร่างกายคิดจะหลบหลีกด้วยจิตใต้สำนึก แต่อากาศในบริเวณใกล้เคียงกลับบีบตัว ตามด้วยพลังไร้ลักษณ์มหาศาลหลายกลุ่มกดลงบนบ่า

 

 

ร่างของเขาแข็งค้าง ไม่สามารถกระดุกกระดิกได้แม้แต่น้อย

 

 

           หานลี่หางตากระตุก หลังจากโคจรความคิดอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ คิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้โคจรพลังจิตภายในร่างเพื่อหลุดจากพันธนาการนี้

 

 

เพียงแค่ใบหน้าเขียวจางๆ จ้องมองเส้นไหมสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปในร่างอย่างไร้ร่องรอย

 

 

เกือบจะในเวลาเดียวกัน ลิ่วจู๋ มู่ชิง และตี้เซวี่ยสามคนต่างก็ปล่อยหมอกดำ แสงสีเขียว และหมอกโลหิตจมเข้าไปในร่างของหานลี่เช่นกัน

 

 

ในตอนนี้หานลี่รู้สึกเพียงพลังมหาศาลบนร่างได้สลายหายไปแล้ว จึงกลับมาเคลื่อนไหวได้อิสระอีกครั้ง

 

 

เมื่อรีบใช้จิตสัมผัสตรวจดูภายในร่าง หานลี่ทั้งรู้สึกกลุ้มใจและแอบโล่งใจในเวลาเดียวกัน

 

 

สิ่งที่ซ่อนอยู่ในร่างของเขา เป็นแค่สิ่งที่คล้ายกับเครื่องหมายสี่ชนิด ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ แต่ในทางกลับกัน เมื่อมีสิ่งเหล่านี้แล้ว หลังจากนี้คิดจะหาโอกาสหนีไป คงเป็นเรื่องลำบากยากยิ่งแล้ว

 

 

“สหายหาน หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว เจ้าก็อยู่ที่หุบเขาเซียนพฤกษาก่อนสองปี สองปีต่อมา สหายหลานค่อยส่งคนมารับเจ้าไปก็ได้แล้ว! เอาล่ะ เรื่องก็มาถึงตรงนี้แล้ว คุยเรื่องสำคัญอย่างอื่นกันบ้าง สหายหลาน ได้ยินว่าภูตทมิฬของเจ้าหลอมใกล้เสร็จแล้ว เพียงแต่ยังมี…” ลิ่วจู๋พูดกับหานลี่ไม่กี่ประโยค ก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องอื่นแทน

 

 

คนอื่นๆ ฟังไปพลาง แสดงความคิดเห็นไปพลาง

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ ราชาปีศาจเหล่านี้ไม่ให้โอกาสหานลี่ได้พูดเลย และไม่คิดจะฟังเขาพูดอะไรเช่นกัน

 

 

แต่จะว่าไปแล้ว

 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าราชาปีศาจทั้งสี่ที่มีระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไป หานลี่ก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรได้จริงๆ ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นแดนมนุษย์หรือแต่ละเผ่าในแดนวิญญาณก็ล้วนคุยกันด้วยพลัง ตัวตนระดับเทพแปลงกระจอกๆ นามหนึ่ง สำหรับปีศาจในเหวพสุธาเหล่านี้ ที่จริงแล้วก็เป็นแค่ตัวตนกระจิดริดเท่านั้น

 

 

แม้ว่าในใจเขาจะรู้สึกกลัดกลุ้ม แต่ก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบไม่พูดจา ในขณะเดียวกันก็แอบครุ่นคิดพิจารณาถึงคำพูดที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่นี้

 

 

ก่อนหน้านี้ เนื้อหาที่ราชาปีศาจแห่งเหวพสุธาเหล่านี้มีไม่มากนัก แต่เขาก็พอจะจับใจความได้หนึ่งอย่าง!

 

 

คนพวกนี้คิดจะยืมพลังของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของเขาดังคาด และคิดจะใช้ทำลาย “อาคมต้องห้ามแม่อเวจี” อะไรนั่น

 

 

แต่ “หลักแห่งการควบคุมอัสนี” กับอานุภาพที่แท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายที่คนเหล่านี้พูดถึง คือเรื่องอะไรกัน? หรือว่าอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายนี้จะมีวิธีการควบคุมเฉพาะทางอย่างอื่นอีก? หรือว่าจะมีอิทธิฤทธิ์อื่นที่ยังไม่รู้อีก?

 

 

หานลี่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก!

 

 

จู่ๆ หานลี่ก็รู้สึกเหมือนมีคนกำลังสนใจเขาอีก พอเหลือบมองเล็กน้อย กลับหันมาเจอกับสายตาของหญิงสาวคนหนึ่งที่แอบมองมา

 

 

ที่แท้ก็คือหยวนเหยา สตรีผู้นี้นั่นเอง

 

 

หยวนเหยาเห็นหานลี่มองมา กลับมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย!

 

 

ทว่าหานลี่หน้าเปลี่ยนสีคราหนึ่ง ผ่านไปนานสองนานจึงค่อยดึงสายตากลับมาอย่างไม่ลุกลี้ลุกลน