บทที่ 445 ต่อว่า
บทที่ 445 ต่อว่า
ด้วยการเติบโตของสถานที่ท่องเที่ยวในละแวกนี้ มันทำให้หุบเขาอู่ถังเองก็พลอยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมเป็นอันดับต้น ๆ ด้วย ดังนั้นตอนนี้ ที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะรู้ว่าส่วนที่เปิดให้ท่องเที่ยวได้ของหุบเขาอู่ถังนั้นเป็นเพียงแค่ตีนเขาด้านล่างเท่านั้น ส่วนที่สำคัญจริง ๆ ยังคงถูกซ่อนเอาไว้ด้านบนเหนือหมู่เมฆขึ้นไปอีก
ทิวทัศน์ที่งดงามของหุบเขาอู่ถังนี้ธุรกิจของตระกูลจาง และเป็นรายได้หลักส่วนเดียวที่เข้าสู่ตระกูลโดยตรง แม้มันจะไม่ได้มากมายนัก แต่ก็ไม่ได้น้อยเกินไปสำหรับการใช้จ่ายในตระกูล ยังไงเสียการที่พวกเขามาตั้งถิ่นฐานอยู่ด้านบนยอดเขานี้ มันก็ทำให้พวกเขาตัดขาดออกจากโลกเบื้องล่างไปมากแล้ว เงินทองที่ได้มาก็แค่เอาไว้ซื้อกระดาษสำหรับส่งจดหมายแล้วก็ใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันเท่านั้น
แม้ว่าจะมีบรรพบุรุษมากมายที่ได้ล่วงลับไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ใช้ชีวิตตามคำสอนของบรรพบุรุษที่ให้หลีกเลี่ยงการพบเจอโลกเบื้องล่าง เพื่อรักษาไว้ซึ่งแก่นแท้ของหัวใจของพวกเขา อย่าให้ในร่างกายแปดเปื้อนด้วยอากาศที่น่าโสมมของด้านล่างและคงความเป็นผู้สูงศักดิ์เช่นนี้สืบต่อไป
เซียวเฟิงคุ้นเคยกับวิวที่งดงามของหุบเขาอู่ถังนี่เป็นอย่างดี หลังจากที่มองนาฬิกา เขาก็พบว่าตั้งแต่ที่จางเสี่ยวหยูออกจากบ้านมา นี่ก็เป็นเวลานานถึง 3 ชั่วโมงแล้ว ในตอนนี้เขาก็ยังตามตัวเธอไม่ทัน แถมระหว่างทางก็ยังมีศิษย์ตระกูลจางเข้ามาคอยขวางทางไปยังหุบเขาจนยากที่จะขึ้นไปอีกด้วย
เหล่าศิษย์ที่รับหน้าที่ปกป้องตีนเขานี้ ก็เหมือนกับคนที่คอยทำหน้าที่ดูแลทัศนียภาพอันงดงามของที่นี่ด้วย พวกเขาทั้งหมดเป็นศิษย์ในตระกูลจางที่มีทักษะและฝีมือแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ศิษย์คนไหนที่เป็นลูกหลานของตระกูลโดยตรง เขาคนนั้นก็จะถูกปกปิดข้อมูลเอาไว้ด้วย เนื่องมาจากการที่ไม่ต้องการให้โลกรับรู้ถึงการมีอยู่ของตระกูลจางนี้ ทั้งนี้ก็เพราะความกลัวในอะไรบางอย่าง
ถึงแม้ว่าเซียวเฟิงจะไม่สามารถใช้ทางเส้นหลักได้ แต่เขาก็ยังรู้จักเส้นทางลัดอีกมากมายที่เขาพบเจอมาเมื่อครั้งหนีจากที่นี่ไปเมื่อห้าปีที่แล้ว เพียงแต่เส้นทางลัดเหล่านั้นค่อนข้างจะอันตรายมาก ๆ เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อห้าปีที่แล้วเซียวเฟิงไม่ได้เกรงกลัวอะไร ตอนนี้ตัวชายหนุ่มเองก็ยังคงไม่เกรงกลัวอะไรเหมือนเดิม เขาซื้อตั๋วสองใบจากจุดชมเยี่ยมชมด้านล่าง แต่เพราะคิงคองที่มาด้วยนั้นเป็นที่เด่นสะดุดตา มันเลยทำให้ทั้งสองต้องรีบเข้าไปด้านในหุบเขาอู่ถังให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาจากนักท่องเที่ยวและจะได้เข้าไปส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขาอู่ถังได้โดยไม่ถูกศิษย์แห่งตระกูลจางขัดขวางอีก
‘ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าชม เขตหวงห้าม!’
ป้ายห้ามขนาดใหญ่ที่ดูคุ้นตานี้ทำให้เซียวเฟิงอดที่จะยืนดูไม่ได้ ถึงแม้ว่ามันจะเริ่มมีสนิมขึ้นเยอะแล้ว แต่ภาพจำเมื่อห้าปีที่แล้วก็ยังคงชัดเจนอยู่เสมอ
“ไปกันเถอะ”
เซียวเฟิงส่ายหน้า สีหน้าของเขากลับเป็นปกติอีกครั้งพร้อมกับเดินผ่านป้ายห้ามนี้เข้าไปยังเส้นทางตัดเข้าไปในหุบเขาที่ถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนาน
จุดสูงสุดของหุบเขาอู่ถังนี้มีความสูงคมเหมือนปลายดาบแหลม มันสูงขึ้นไปในหมู่เมฆที่ปกคลุม ทำให้ที่แห่งนี้มีหมอกหนาตลอดทั้งปี ไม่เพียงแต่คนธรรมดาจะไม่สามารถมองเห็นยอดเขาแห่งนี้ได้แล้ว ขนาดดาวเทียมที่ส่องลงมาจากอวกาศเองก็ไม่สามารถจับภาพของที่นี่ได้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าที่แห่งนี้ถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์
แม้ว่าทางขึ้นเขาเส้นทางหลักจะไม่ได้หายากอะไรนัก ทว่าเมื่อถึงระดับหนึ่งแล้ว พวกเขาจะพบกับขั้นบันไดหินเข้ามาแทนที่ ขั้นบันไดหินที่เรียงตัวกันเป็นบันไดวนรอบยอดเขาขึ้นไปอีกจนหายไปในหมู่เมฆ มันจะไม่มีอะไรน่าสงสัยเลยหากไม่ติดว่าหินแต่ละก้อนที่เรียงกันเป็นบันไดวนนั้นไม่ได้อยู่ห่างกันราวกับมีบางขั้นหายไป แท้จริงแล้วนี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย ที่จะบอกว่าคนธรรมดาไม่สามารถไปต่อได้เท่านั้น
ทางลัดที่เซียวเฟิงเจอนั้นอยู่บริเวณน้ำตกที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเส้นทางหลัก แม้ภายนอกจะเป็นน้ำตกที่งดงามเกินกว่าที่ไหนจะเทียบได้ แต่ภายในนั้นมีถ้ำซ่อนอยู่ เมื่อเข้าไปได้แล้วจึงจะพบว่าภายในถ้ำนี้กลวงลึกเข้าไปมาก ๆ
แต่ขั้นแรกคือต้องผ่านน้ำตกเข้าไปก่อน ถ้ำที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำตกนี้จะนำทางขึ้นไปสู่จูดที่สูงที่สุดของหุบเขาอู่ถังได้ ตลอดทางที่เดินในถ้ำนั้นจะสามารถพบเห็นน้ำพุพุ่งออกมาจากพื้นหรือผนังถ้ำได้เรื่อย ๆ แม้ว่าผนังถ้ำนั้นจะมีเถาวัลย์เกาะกันจนหนาเหมือนตาข่ายก็ตาม แต่ก็เพราะเถาวัลย์หนาเหล่านี้ มันเลยทำให้สามารถยึดเกี่ยวเพื่อปีนขึ้นไปยังยอดเขาได้
อย่างที่ได้กล่าวไว้ว่าทางลัดที่จะใช้ขึ้นสู่ยอดเขาอู่ถังเส้นนี้ ค่อนข้างจะอันตรายมาก ๆ มากกว่าบันไดหินวนปกติอีกหลายเท่านัก และอย่างที่ได้กล่าวไว้อีกเช่นกันว่า ‘ขั้นแรกต้องผ่านน้ำตกเข้าไปก่อน’ เนื่องจากน้ำตกที่เปรียบเสมือนประตูกลธรรมชาตินี้มีแรงปะทะที่รุนแรงเกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถรับไหว แม้แต่รถถังเองก็อาจจะถูกบดให้แบนราบไปกับพื้นเลยก็ได้
ด้วยแรงปะทะที่รุนแรงเช่นนี้ มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเซียวเฟิงถึงพาคิงคองมาที่นี่เพียงผู้เดียว เมื่อครั้งที่เขาจากยอดเขาลงมา ตอนนั้นก็พอจะรู้สึกได้ว่าน้ำตกแห่งนี้มีแรงปะทะที่ค่อนข้างสูง แต่ตอนนั้นมันก็แค่ระดับที่ทำให้ผิวแดงได้เท่านั้น ไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าตอนนี้แรงปะทะมันจะเพิ่มสูงจนน่ากลัวเช่นนี้ ร่างกายของเขาและคิงคองไม่มีปัญหาหากจะต้องรับแรงปะทะจากมัน แต่ในทางกลับกันทางสาวไฟและสาวน้ำแข็งไม่สามารถเดินผ่านมันได้แน่
หลังจากที่ผ่านจุดแรกมาได้ อันตรายลำดับที่สองก็คือตาข่ายเถาวัลย์ที่อยู่บนผนังถ้ำ ไม่รู้ว่าต้นอะไรที่เป็นเจ้าของเถาวัลย์เหล่านี้ และไม่รู้ด้วยว่ามันเติบใหญ่อยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว และถึงแม้ว่าการปีนเถาวัลย์ขึ้นไปเรื่อย ๆ จะสามารถส่งให้ท่านไปสู่ยอดเขาได้ แต่เพราะเถาวัลย์พวกนี้ถูกมอสปกคลุมไว้ทุกอณูผิว นั่นหมายถึงมันลื่นมาก ๆ หากไม่ระวังก็จะร่วงตกลงมาทันที
แต่เช่นเดิม วันนี้ผู้ที่มาท้าทายความอันตรายของมันคือเซียวเฟิงและคิงคอง ดังนั้นตาข่ายเถาวัลย์พวกนี้ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ทั้งนั้น
ขั้นแรก ทั้งสองเริ่มฝ่าแรงดันของน้ำตกตรงหน้าเข้าไปก่อน ภายใต้แรงดันน้ำมหาศาลนี้ เมื่อผ่านไปได้พวกเขาจะเจอถ้ำเถาวัลย์ทันที พวกเขาเดินหน้าต่อไปในถ้ำดังกล่าวและหาจุดที่เถาวัลย์แห้งที่สุดก่อนจะเริ่มปีนป่ายขึ้นไปอย่างระมัดระวัง
ถึงแม้ว่าตอนนี้เซียวเฟิงจะไม่ได้เปิดใช้งานชูร่าและความไร้เทียมทาน แต่ร่างกายของเขาก็อยู่ในสภาวะที่เค้นเอาพลังสูงสุดมาใช้ ด้วยเหตุนี้ ยามที่เขาปีนป่ายไปตามเถาวัลย์ขนาดยักษ์พวกนั้น เซียวเฟิงไม่ต่างอะไรกับลิงภูเขาที่กระโดดไปมาอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของคิงคองนั้น เขามีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าเซียวเฟิงอีกหลายเท่านั้น ดังนั้นนี่เองก็ไม่ใช่ปัญหาของเขาเช่นกัน ร่างกายขนาดใหญ่โตนี้เสมือนลิงยักษ์ในหนังแฟนตาซีทั้งหลาย ทุกครั้งที่เขาปีนป่ายไปตามเถาวัลย์ เซียวเฟิงจะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อย และในทุกครั้งที่เขาทะยานตัวขึ้นสูง คิงคองสามารถพุ่งไปได้ไกลกว่าเซียวเฟิงเสียอีก
ที่ด้านบนยอดเขาอู่ถังนั้นราบเรียบเสมือนว่าเป็นแผ่นกระจก พื้นดินบริเวณนั้นเรียบราวกับปลายยอดเขาถูกตัดขาดด้วยดาบ เหลือทิ้งไว้เพียงที่ดินว่างเปล่าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ขนาดพื้นที่นี้พอ ๆ กับประเทศเล็ก ๆ ก็มิปาน ผืนดินแห่งนี้สามารถพบเห็นอิฐสีฟ้า กระเบื้องสีเขียว ศาลาและเจดีย์ รวมไปถึงสวนหินและป่าขนาดเล็กได้เรื่อย ๆ หากไม่ติดว่านี่เป็นยอดเขา มันก็ไม่ต่างอะไรกับเมืองขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาเลย!
นี่คือ บ้านตระกูลจาง สถาปัตยกรรมโบราณทั้งหมดนี้ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขามากว่าพันปีแล้ว มันไม่ถูกทำลายไปตามกาลเวลา นอกจากนี้ผู้คนบนนี้เองก็ยังสวมใส่ชุดแบบโบราณกันทุกคนเลยด้วย
จุดกึ่งกลางของที่นี่ มีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ตระหง่านตาให้เห็น มันคือ อารามซือเซียว และแม้จะมีชื่อเดียวกับอารามซือเซียวที่อยู่ตีนเขา แต่มันก็ไม่ใช่การสร้างตามวัดด้านล่างแต่อย่างใด ที่นี่คือ มหาอารามหลวงที่ตั้งค้ำจุนโลกมากว่าพันปีแล้ว! ไม่ว่าใครที่ได้เข้าไปต่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความสงบที่อัดแน่นอยู่ภายใน
อารามซือเซียวแห่งนี้ คือสถานที่ที่ตระกูลจางใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เฉกเช่นในวันนี้ อารามซือเซียวเองก็ถูกใช้ในฐานะเป็นห้องประชุมขนาดมหึมาอีกครั้ง
“ท่านเจ้าตระกูลจาง จางเซียวเฟิงใช่ลูกชายของท่านหรือเปล่า? ในตอนนี้เด็กคนนั้นได้ลักพาตัวคู่หมั้นตระกูลซีเหมินของข้าไป ท่านรับรู้อะไรบ้างไหม?”
ภายในโถงอารามซือเซียว ปรากฏร่างของคนสองกลุ่ม คนหนึ่งสวมชุดผ้าคลุมสีขาวมีลายปลาหยินหยางประดับเอาไว้ กำลังนั่งหลับตาด้วยสีหน้าค่อนข้างสงบ ที่ด้านหลังของเขามีข้ารับใช้สองคนในชุดสีฟ้ากำลังยืนถือดาบไม้ของพวกตนเอาไว้
ส่วนฝั่งที่เปิดปากพูดเมื่อครู่เป็นชายสูงวัยสวมชุดถังจวงที่กำลังนั่งอยู่บนที่นั่งของแขกพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย บริเวณด้านหลังเขามีคนสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งสวมชุดสูทและรองเท้าหนัง บนใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลชุ่ม พวกเขาไม่กล้าที่จะส่งเสียงดังใด ๆ ภายในอารามซือเซียว และมันชัดเจนว่าเป็นเพราะผู้ที่นั่งหลับตาอยู่นั้น
อีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่มีคิ้วคมเหมือนปลายดาบและมีดวงตางดงามเหมือนหมู่ดาว เขาใจเย็นและไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ถ้าหากมีใครสักคนจากในเขตฮัวเซียมาพบเขาเข้าล่ะก็ พวกเขาต้องจำได้ในทันทีว่าคนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ เทพแห่งดาบ ซีเหมินชุยเสวีย!
“ท่านซีเหมิน เดี๋ยวนายหญิงของคุณก็คงจะกลับมาแล้ว พวกเราควรจะรอให้เธอคนนั้นกลับมาอธิบายทุกอย่างให้ฟังเอง บางทีมันอาจจะเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดก็ได้”
ผู้ที่ตอบคำถามของชายสูงวัย คือชาววัยกลางคนที่มีหนวดเครายาว เขานั่งอยู่ที่นั่งตรงกันข้ามกับผู้ถามในชุดนักพรตเต๋าขณะที่พูดพร้อมกับยิ้มสุภาพให้
ภายในโถงซือเซียวมีคนอยู่ทั้งหมดเจ็ดคน มันถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งคือ ชายผู้มีเครายาววัยกลางคน จางจงเหลียง และผู้ติดตามในชุดสีฟ้าสองคนเองก็เป็นคนที่มาจากตระกูลจางด้วย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือชายวัยชรากับซีเหมินชุยเสวียและชายในชุดสูทก็มาจากตระกูลซีเหมินเช่นกัน
“เข้าใจผิดงั้นเหรอ? ฮึ่ม! ข้าก็หวังจะให้เป็นแบบนั้นก็แล้วกัน! ยังไงเสียข้าเองก็ไม่เชื่อหรอกว่า ท่านจะกล้าเอาชื่อเสียงของตระกูลจางที่ยิ่งใหญ่มากว่าพันปีมาทิ้งให้กับไอ้เด็กไม่เอาไหนที่หนีออกจากบ้านของท่าน”
ชายสูงวัยพ่นลมหายใจกระฟึดกระฟัดก่อนจะหยุดพูดไปและยอมรอดี ๆ
กาลเวลาไม่ปล่อยให้พวกเขารอเนิ่นนานนัก เพียงครึ่งชั่วโมง จางเสี่ยวหยูก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอกอารามซือเซียวแล้ว ที่ด้านหลังของเธอ นอกจากผู้ติดตามอย่างฉิ่งเอ้อก็มีจืออี้ตามมาที่นี่ด้วย
“ท่านเจ้าตระกูล ท่านซีเหมิน ฉันได้พาจืออี้ของพวกท่านกลับมาแล้วค่ะ เพราะงั้นหากมีข้อสงสัยอะไร ก็เชิญถามเธอได้เลย”
จางเสี่ยวหยูก้าวเข้ามาในห้องโถง เธอสบตากับจางจงเหลียงที่หันมามองก่อนจะพูด
“เธอคือเด็กสาวที่มาจากตระกูลซางกวนสินะ?” ชายชราในชุดถังจวงเริ่มถามก่อนด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง เขามองไปยังจืออี้ด้วยสีหน้าร้ายกาจ
“หลานจืออี้ มาเข้าพบท่านเจ้าตระกูลจางและท่านเจ้าตระกูลซีเหมินรุ่นก่อนแล้วค่ะ”
ในวันนี้จืออี้ไม่ได้สวมชุดที่ดูเซ็กซี่เหมือนกับทุก ๆ วัน กลับกันมันเป็นเพียงชุดที่สวมได้ง่าย ๆ หลังจากที่เดินตามจางเสี่ยวหยูมาจนถึงภายในโถงที่กว้างใหญ่นี้ หญิงสาวก็ทำความเคารพด้วยการก้มหัวเมื่อพบกับจางจงเหลียงและเจ้าตระกูลซีเหมินชุยเสวียทันที
“ตระกูลซางกวนได้ให้กำเนิดบุตรสาวที่ดีจริง ๆ” จางจงเหลียงเหลือบมองจืออี้และพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ซางกวนซีเฟย ท่านซีเหมินมีบางสิ่งบางอย่างอยากจะถามเธอ และเธอจำเป็นต้องตอบคำถามทุกข้อ เขาใจนะ?”
“เข้าใจแล้วค่ะ เช่นนั้นแล้ว ท่านซีเหมิน เชิญถามสิ่งที่ท่านอยากทราบได้เลยค่ะ”
จืออี้โค้งให้แก่จางจงเหลียงอีกครั้งก่อนจะหันไปหาชายชราในชุดถังจวง
“งั้นข้าจะถามเลยก็แล้วกัน เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้ากับหลานชายของข้า กำลังจะแต่งงานกันแล้ว?”
ชายชราเปิดหัวข้อคำถามด้วยน้ำเสียงเชิงสงสัย คำพูดของเขามันชัดเจนว่า ตัวเขาคือปู่ของซีเหมินชุยเสวีย และเป็นเจ้าตระกูลรุ่นก่อนของตระกูลซีเหมินด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วจางจงเหลียงคงไม่มาอยู่ที่นี่แน่ ๆ หากแขกที่มาไม่ได้อยู่ในระดับเจ้าตระกูลเช่นเขา มันจะถูกมอบหมายหน้าที่ในการพบเจอให้กับชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่มีหนวดเครายาวเช่นกัน อย่างลูกพี่ลูกน้องของเขาที่มีศักดิ์เป็นลุงของเซียวเฟิงและจางเสี่ยวหยู
“รู้ค่ะ” จืออี้พยักหน้า
“งั้นข้าจะถามอีกว่า ในขณะที่งานแต่งงานกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทำไมเจ้าถึงยังไม่มาอยู่ที่บ้านตระกูลซีเหมินแต่กลับไปขลุกอยู่กับชายอื่นแทน?” น้ำเสียงสงสัยหายไป และถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“หลานยังไม่เข้าใจถึงความหมายของท่านเจ้าตระกูลที่บอกว่า ให้มาอยู่ด้วยกัน น่ะค่ะ เพราะงั้นหลานเลยไม่ได้เข้าไปอยู่ในบ้านของตระกูลซีเหมิน อีกอย่าง เพราะหลานไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองและบุตรตระกูลซีเหมินมีความสัมพันธ์ใด ๆ ด้วยกัน มันเลยกลายเป็นเรื่องยากที่จะให้ทำใจอยู่ด้วยกันได้ค่ะ” หญิงสาวที่ได้ยินคำถามก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ฮึ่ม! แล้วการที่เจ้าออกไปอยู่กับชายอื่นนี่มันมีความหมายอะไรหรือไง! ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้ารู้จักจางเซียวเฟิงหรือเปล่า?” ชายชรายังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาพ่นลมหายใจยาวออกมาและถามอย่างเยือกเย็น
“รู้จักค่ะ” จืออี้ตอบ
“แล้วเจ้าหรือหรือไม่ว่าเขามาจากตระกูลจาง?”
“นั่นก็รู้ค่ะ”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าและเขาคนนั้นอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน สิ่งนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
“เป็นเรื่องจริงค่ะ”
“ทั้ง ๆ ที่เจ้ากำลังจะแต่งงานเข้าตระกูลซีเหมินของข้าแล้วแท้ ๆ แต่เจ้ากลับไปพลอดรักกับชายอื่น! สตรีเช่นเจ้ายังสะกดคำว่ายางอายเป็นไหม ฮะ!”
เมื่อจืออี้ไม่ปฏิเสธทุกเรื่องที่ถามออกไป ชายชราในชุดถังจวงก็ลุกขึ้นยืนและตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราดขณะชี้หน้าเธอไปด้วย