ตอนที่ 264 กระจายโคมไฟ
หลังจากรีบรับประทานอาหารเสร็จก็ถึงเวลากระจายโคมไฟ ทีมกระจายโคมไฟที่เลือกไว้ก่อนหน้านี้มาที่ทีมใหญ่แล้ว พวกเขาต่างก็นำโคมไฟที่แช่น้ำมันไว้อย่างดีมาด้วย เป็นของที่ทำมาจากการใช้ฝ้ายและขี้เลื่อยห่อด้วยกระดาษเป็นก้อนกลม ๆ ซึ่งทนทานต่อการเผาไหม้ จากนั้นก็นำไปแช่กับน้ำมันก๊าด สามารถเผาได้ 1-2 ชั่วโมง
วงดนตรีนำฆ้องและกลองออกมา ผู้นำจุดไฟที่โคมไฟ จากนั้นเดินขึ้นสันเขาที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งมีศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บนนั้น
พวกเด็กที่ในช่วงกำลังเติบโตโดยเฉพาะเด็กผู้ชายต้องเข้าร่วมโอกาสแบบนี้ด้วยอยู่แล้ว ทุกคนต่างส่งเสียงโห่ร้องเดินตามอยู่ด้านหลัง เรื่องดี ๆ แบบนี้ทำให้พวกสาวน้อยและสาวใหญ่มาร่วมดูความครึกครื้นด้วย
ครั้งนี้หัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้นำ เดินนำอยู่ด้านหน้าด้วยการถือคบเพลิง ที่นี่มืดไม่มีไฟ ทั้งยังต้องเดินตรงถนนบนเขา คนเฒ่าคนแก่ไม่สามารถเดินขึ้นไปได้ คนที่ขึ้นไปจึงมีแค่พวกวัยกลางคนและคนหนุ่ม
พี่รองจ้าว พี่สามจ้าวและพี่สี่จ้าวก็ไปกันหมด แต่จ้าวเหวินเทาไม่ได้ไป เขาวางกระจายโคมไฟอยู่ที่บ้าน เขาเคยขึ้นไปบนเขาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว นอกจากนี้ยังเคยไปเผาไข่นกในศาลเจ้าที่ด้วย จึงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นโอกาสหายากอะไร
“ภรรยา คุณคงไม่รู้ว่ากำแพงสามด้านของศาลาเจ้าที่นั่นถล่มลงมาสองด้านแล้ว เทพธรณีเหลือแค่ครึ่งตัวแล้ว โต๊ะบูชาที่อยู่ด้านหน้าศาลเจ้าที่บนหินนั่นก็ทรุดโทรม กระถางธูปก็ถูกคนขโมย ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ยังจะไปขอให้เทพธรณีช่วยให้เก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ในปีนี้อีก ยังไงก็ต้องสร้างบ้านให้เทพธรณีด้วยสิ” จ้าวเหวินเทาใช้คีมคีบเหล็กคีบโคมไฟออกมาจากถังไปพลาง พูดคุยกับเย่ฉูฉู่ไปพลาง
เย่ฉูฉู่มองเขาแขวนโคมไฟอยู่ข้าง ๆ โคมไฟหลายดวงถูกวางไว้บนขอบด้านล่างของกำแพง ประตูบ้าน ประตูใหญ่หน้าบ้าน ถูกแขวนติดกันเป็นแถว ดูสวยพิลึกเชียวล่ะ
“คุณอย่าพูดจาเหลวไหล ไปขอก็เป็นเรื่องของจิตใจ เทพธรณีท่านไม่ตำหนิหรอก” เมื่อได้ยินคำพูดของสามี เย่ฉูฉู่จึงพูดขึ้น
“ถ้าผมเป็นเทพธรณีจะตำหนิให้ ไม่สร้างบ้านให้ฉันแล้วยังจะมาคิดเรื่องแผลง ๆ พวกนี้อีก!” จ้าวเหวินเทากล่าว
“คุณพอเถอะค่ะ พูดจาซี้ซั้วอีกแล้วนะ” เย่ฉูฉู่รีบกล่าว
ทั้งสองคนจุดโคมไฟเสร็จแล้ว ก็ยืนมองอยู่บนบันไดหินหน้าบ้านของตัวเองครู่หนึ่ง จู่ ๆ จ้าวเหวินเทาก็ชี้ไปยังทิศหนึ่งพลางกล่าว “ภรรยา ดูนั่น พวกเขาเดินไปถึงตรงนั้นแล้ว!”
เย่ฉูฉู่มองตามนิ้วมือของเขา ก็พบว่าบนท้องฟ้ายามราตรีที่ห่างออกไปปรากฏเส้นแสงสว่างสีแดงเพลิงคดเคี้ยวหนึ่งสาย ซึ่งเป็นทีมกระจายโคมไฟ นอกจากนี้แสงที่เป็นสีแดงเพลิงก็คือคบเพลิงที่ทุกคนถืออยู่ในมือ
“ทำเป็นเล่นไป ยืนมองจากตรงนี้ก็สวยมากเลยนะ” เย่ฉูฉู่พูดกับเสี่ยวไป๋หยาง “เสี่ยวไป๋หยาง ลูกดูทางฝั่งนั้นสิ หมู่บ้านของพวกเรากำลังจุดโคมไฟด้วยล่ะ!”
เสี่ยวไป๋หยางถูกห่อตัวราวกับบ๊ะจ่าง เขาพยายามเงยหน้าเล็ก ๆ เพื่อจ้องมอง แต่ไม่รู้ว่ามองเห็นหรือไม่ ทว่าปากกลับส่งเสียงอ้อแอ้ ๆ
ทว่าลูกลิงอยู่ด้านบนหลังคา มันส่งเสียงร้อง ‘เจี๊ยก ๆ’ ใส่เส้นแสงสีแดงเพลิงนั้น
จ้าวเหวินเทายิ้ม “พวกเขาไปจุดโคมไฟเพื่อไหว้เทพเจ้า ไม่ได้ไปสร้างปัญหาให้พี่น้องลิงของแกสักหน่อย!”
ลูกลิงส่งเสียงร้อง ‘เจี๊ยก ๆ’ สองสามเสียง มันนั่งลงบนหลังคาบ้านและมองอย่างเหม่อลอย
พระจันทร์ของวันที่สิบห้าทั้งใหญ่ ทั้งกลม ทั้งสว่าง แสงจันทร์สาดส่องลงบนร่างของลูกลิง ทำให้มันดูคล้ายกับเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายส่วน
“พวกเขาต้องใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงกว่าจะกลับมา พวกเรากลับเข้าไปกินข้าวในบ้านเถอะ” จ้าวเหวินเทากล่าว
เย่ฉูฉู่เรียกไฉไฉหนึ่งเสียง จากนั้นก็อุ้มเสี่ยวไป๋หยางกลับเข้าบ้าน
เสี่ยวไป๋หยางดูเหมือนว่าจะเหนื่อยนิดหน่อย จึงอ้าปากหาว ดวงตาก็สะลึมสะลือ เย่ฉูฉู่จึงบอกให้จ้าวเหวินเทาไปต้มหยวนเซียว[1] ส่วนเธอปลีกตัวไปกล่อมเสี่ยวไป๋หยางเข้านอน
วันที่สิบห้าเดือนหนึ่งตามปฏิทินจันทรคติของภาคเหนือ ผู้คนจะรับประทานหยวนเซียว ก่อนหน้านี้ทุกคนจะทำกันเอง ใช้แป้งข้าวฟ่างที่เป็นแป้งใช้ทำขนมเข่งและซาลาเปาถั่ว ยัดไส้ด้านในด้วยไส้ถั่วแดง หรือไม่ก็น้ำตาลทรายขาวและงาดำ นำมาปั้นให้เป็นลูกกลม ๆ จากนั้นก็ต้มให้สุก ส่วนใหญ่จะทำเป็นไส้ถั่วแดง สิ่งนี้เป็นผลผลิตจากบ้านตัวเอง ส่วนน้ำตาลทรายขาวและงาดำต้องจ่ายเงินซื้อ ส่วนใหญ่ไม่มีเงินและทำใจซื้อไม่ลง
ปีนี้เป็นปีที่ดี ทุกคนต่างก็มีเงินบ้างแล้ว จึงไปซื้อหยวนเซียวจากตลาดมาหนึ่งถุง สิ่งนี้มีความเหนียว ด้านในมีน้ำตาล รับประทานนิดหน่อยก็อิ่มแล้ว จ้าวเหวินเทาซื้อเป็นไส้น้ำตาลทรายขาวและงาดำ เขานำมาต้มสองถุง เมื่อต้มออกมาแค่เห็นก็รู้สึกได้ว่าเยอะเกินไป
“ภรรยา ผมต้มเยอะไปหน่อย” จ้าวเหวินเทายกหยวนเซียวเข้ามาพลางกล่าว
เย่ฉูฉู่วางลูกลง “ถ้าต้มไว้เยอะค่อยเก็บไว้กินพรุ่งนี้ก็ได้”
ของหวานนั้นรับประทานได้ไม่มาก เย่ฉูฉู่รับประทานไปแค่ไม่กี่ลูกก็ไม่อยากกินต่อแล้ว เพราะเลี่ยนเกินไป
“งั้นฉันไปทอดเกี๊ยวมาสักหน่อยนะ” เย่ฉูฉู่วางตะเกียบลงเพื่อไปทำของอย่างอื่นมากิน
“ภรรยา ทอดเยอะหน่อยนะ ผมก็กินไม่ลงแล้วเหมือนกัน” จ้าวเหวินเทากล่าว
คนทางเหนือไม่คุ้นชินกับการรับประทานของหวาน สาเหตุก็เป็นเพราะสภาพอากาศ พวกเขาชอบรับประทานเค็มมากกว่า
“งั้นตอนที่พวกเขามากระจายโคมไฟ พวกเราแจกพวกเขาดีไหม?” เย่ฉูฉู่ทอดเกี๊ยวเสร็จก็นำมาเสิร์ฟ
จ้าวเหวินเทาเห็นด้วย เขานำหยวนเซียวใส่เข้าไปอุ่นในหม้อ จากนั้นก็กลับมารับประทานเกี๊ยวทอดกับเย่ฉูฉู่ กินของสิ่งนี้ยังมีความสุขกว่า รู้ตัวอีกทีก็รับประทานไปหนึ่งจานใหญ่แล้ว
ตอนนี้ห้าทุ่มกว่าแล้ว ทีมกระจายโคมไฟเพิ่งจะกลับมา ตอนที่กลับมาก็ต้องเดินผ่านหมู่บ้าน เพื่อเหลือโคมไฟไว้ที่หน้าประตูบ้านแต่ละหลังบ้านละสามสี่ดวง นี่เป็นตัวแทนว่าได้นำพรจากเทพธรณีกลับมาด้วย
จ้าวเหวินเทาอยู่ที่ด้านหน้าหมู่บ้านเป็นจุดแวะแรก ชุยต้ายิ้มและพูดเสียงดังว่า “พี่หก พวกเรานำพรจากเทพธรณีมาส่งแล้ว!”
จ้าวเหวินเทาเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณทุกคนมากนะ ลำบากทุกคนแล้ว ฉันต้มหยวนเซียวไว้ พวกนายกินคนละลูกสองลูกนะร่างกายจะได้อุ่น ๆ”
เย่ฉูฉู่นำหยวนเซียวออกมาพร้อมกับตะเกียบ
เดิมทีทุกคนไม่ได้อยากจะรับประทาน เพราะเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไปหากต้องเข้าไปในบ้าน ทั้งยังถือโคมไฟอยู่ด้วย อีกอย่างคนที่ชวนอาจจะพูดเพราะความเกรงใจ แต่เมื่อเห็นเย่ฉูฉู่เดินถือหยวนเซียวร้อนกรุ่นออกมา ก็เข้าใจได้ว่าจ้าวเหวินเทาเรียกพวกเขาให้รับประทานอย่างจริงใจ พวกเขารับประทานกันอย่างใจกว้าง คนนี้หนึ่งคำคนนั้นหนึ่งคำ หยวนเซียวสองถุงจึงถูกรับประทานจนหมดเกลี้ยง
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อากาศหนาวแบบนี้ได้กินของร้อน ๆ สบายตัวจริง ๆ เลย”
จ้าวเหวินเทานำน้ำร้อนมาให้พวกเขาดื่มอีกหน่อย เดินผ่านหมู่บ้านเพื่อแวะกระจายโคมไฟทุกหลังต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า ได้รับประทานและดื่มสักหน่อยร่างกายจะได้อบอุ่น
พี่สามจ้าวตะโกน “เจ้าหก ฉันเป็นตัวแทนนายพูดต่อเทพธรณีให้นายแล้วนะ บอกให้ท่านช่วยอวยพรให้นายร่ำรวยเงินทอง!”
จ้าวเหวินเทาก็ให้ความร่วมมือพูดเช่นกัน “ขอบใจนะพี่สาม!”
“ไม่เป็นไร พวกเราเป็นใครกัน พี่น้องแท้ ๆ นะ!” พี่สามจ้าวดื่มน้ำร้อนไปหนึ่งแก้ว จากนั้นก็วางโคมไฟลงสามสี่ดวง
ทุกคนกินและดื่มเสร็จก็เดินเข้าหมู่บ้านไป ขณะที่พวกเขาเดินไปด้านหน้า โคมไฟแต่ละดวงก็ส่องสว่างอยู่ภายในหมู่บ้านเป็นประกายเล็ก ๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางยามราตรีจึงงดงามเป็นอย่างยิ่ง
สองสามีภรรยายืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ก็อ้าปากหาวก่อนจะเดินกลับเข้าไปนอนพักผ่อนในบ้าน
วันที่สิบห้าเดือนหนึ่งผ่านไปด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขามีชื่อเสียงจากการเต้นระบำเพลงดำนา ทั้งยังได้ไปเปิดเผยหน้าตาในอำเภอด้วย แม้ว่าท้ายที่สุดจะไม่ได้ที่หนึ่งกลับมา แต่ถึงอย่างไรก็ได้เข้าร่วมแล้ว โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยเข้าอำเภอมาก่อนในชีวิต สิ่งนี้ยิ่งทำให้พวกเขานำไปคุยโวได้อีกหนึ่งปีเลย
ผู้คนต่างพากันยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยกับคนนอกหมู่บ้านก็อดไม่ได้ที่จะเชิดหน้ายืดอก เผยให้เห็นถึงความภาคภูมิใจ ซึ่งแน่นอนว่ายังมีคนที่ไม่เห็นด้วย
“ไปอำเภอแล้วยังไงล่ะ มีชื่อเสียงแล้วยังไง ได้เงินเหรอ? กินแทนข้าวได้เหรอ? ไปทำงานทำการให้เป็นเรื่องเป็นราวเถอะ!”
ทำงานทำการที่ว่าก็คือการลงนา คนที่ขยันก็เริ่มทำงานแล้ว นำปุ๋ยลงไปในนา ซ่อมแซมคันนา ส่วนจ้าวเหวินเทานำอิฐและกระเบื้องขึ้นมาบนเขา เครื่องจักรก็นำมาแล้ว คนก็จ้างแล้ว ตอนนี้เริ่มสร้างฟาร์มกระต่ายกันแล้ว
รังกระต่ายทำง่าย แต่ฟาร์มกระต่ายไม่ได้มีแค่ที่อาศัยของกระต่ายเท่านั้น แต่ยังมีของคนด้วย มีกระต่ายมากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทำงานกะดึก จ้างแค่คนเดียวก็ไม่พอ ดังนั้นโครงการนี้จึงมีขนาดใหญ่มาก
คนที่จ้าวเหวินเทาจ้างคือคนที่อยู่ในหมู่บ้านและอยู่หมู่บ้านใกล้เคียง จึงไม่ต้องสนใจเรื่องอาหารการกิน ทำให้ลดปัญหาและหมดกังวลไปได้ส่วนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่พี่รองจ้าว พี่สามจ้าวและพี่สี่จ้าวยุ่งอยู่กับการทำเต้าหู้ จึงไปดูแลให้ไม่ได้
………………………………………………………………………………………………………………………
[1] หยวนเซียว (元宵) บัวลอยสอดไส้ถั่วแดง น้ำตาลงาดำ หรือเนื้อหมูเนื้อไก่ของคนจีนภาคเหนือ ต่างจากถังหยวน (汤圆) ของคนจีนภาคใต้ตรงที่หยวนเซียวมีทั้งไส้เค็มกับไส้หวาน และทำโดยนำไส้ที่แช่เย็นจนแข็งตัวไปคลุกกับผงแป้งข้าวเหนียวให้ทั่วจนเกาะเป็นชั้นแล้วนำไปต้ม ส่วนถังหยวนคือการนำแผ่นแป้งข้าวเหนียวห่อกับไส้และมีแค่ไส้หวาน (ภาพจาก https://www.xinshipu.com/zuofa/658933)
สารจากผู้แปล
เป็นวันเทศกาลโคมไฟที่มีความสุขอีกปีหนึ่งสำหรับคนหมู่บ้านนี้จริงๆ
แปลถึงตอนนี้ก็เพิ่งได้ความรู้ใหม่ว่าบัวลอยที่กินกันในเทศกาลโคมไฟของคนจีนภาคเหนือมันไม่ใช่ถังหยวนนี่แหละค่ะ
ไหหม่า(海馬)