ตอนที่ 245 ปิ่นปักผมทอง

หลังจากที่นำแจกันใส่เข้าไปในกระเป๋าแล้วหยางหลางก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ เขาหันหลังไปมองบนโต๊ะก็พบว่ามีจานใบหนึ่งซึ่งเป็นจานสีขาวเคลือบมันวาว แต่ไม่มีลวดลายอะไร แต่สำหรับเขาแล้วสีของมันไม่ได้ต่างอะไรกับรูปปั้นกวนอิมสีขาวที่หยางโปถือวันนั้นเท่าไหร่นัก และดูเหมือนว่ามันจะต้องมีราคาไม่ต่างกันแน่ๆ

เขาหยิบจานใบนั้นขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม แต่เป็นเพราะจานมีความมันเขาจึงหยิบกระดาษข้างๆขึ้นมาเช็ด

หยางหลางรู้สึกว่าการมาของเขาครั้งนี้ได้กำไรกลับไปมหาศาลและเครื่องเคลือบลายครามทุกชิ้นในห้องนี้จะต้องมีราคาหลายแสนแน่ๆ

หลังจากหยางหลางหันไปดูรอบๆห้องแล้วไม่พบว่ามีอย่างอื่นอยู่ในนี้เขาก็เดินออกไปอย่างมีความสุข

 

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เริ่มคิดได้ว่าในห้องนอนของหยางโปอาจจะมีเงินซ่อนอยู่ หยางหลางจึงเดินเข้าไปในห้องนอนของหยางโปทันที

หลังจากที่เปิดประตูเข้าไปในห้องเขาก็เปิดไฟในห้องก็พบว่ามีผ้าห่มกำลังคลุมอะไรบางอย่างอยู่แถมยัง

ขยับยุกยิกไปมาพร้อมกับเสียงแปลกๆด้วย ทันทีที่เขาเห็นก็เกิดอาการตกใจจนสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันที

เขาค่อยๆเดินออกไปด้านนอกห้องอย่างระมัดระวัง แต่ทันทีที่เขากำลังจะเปิดประตูออกจากห้องไป

จู่ๆผ้าห่มก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของชายอ้วนเปลือยกายที่หันมามอง ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นหยางหลางเขาก็เกิดอาการตกตะลึงขึ้นมาก่อนที่จะตะโกนขึ้นมาด้วยความโมโห “แกเป็นใครวะ?!!”

 

หยางหลางเห็นอีกฝ่ายก็ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้ใจของเขาเต้นแรงเพราะเกิดอาการตกใจมาก หรือว่าที่หยางโปไม่ชอบพยาบาลสาวคนนั้นก็เป็นเพราะว่าหยางโปมีรสนิยมแบบนี้!

แต่เขาก็รีบโต้ตอบกลับไปอย่างรวดเร็วด้วยการชี้หน้าชายอ้วนคนนั้น “ไอ้อ้วน! ไอ้หมูสกปรกรีบปล่อยน้องชายของฉันนะโว้ย ไม่งั้นฉันตีแกตายแน่!”

ชายอ้วนได้ยินแบบนั้นก็นิ่งไป เขายิ้มออกมาเจื่อนๆก่อนที่จะยกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับปีนลงมาจากเตียงและปล่อยคนที่อยู่ด้านล่างของเขาออก “พี่ชาย คุยกันดีๆก็ได้นะ”

หยางหลางก้มหน้าลงก็เห็นงูน้อยที่น่ารังเกียจของชายอ้วนจนเขารู้สึกอยากจะอ้วก ในเวลานั้นเองคุณธรรมสูงสุดก็ครอบงำจิตใจของเขา เขาจะใช้ประโยชน์จากคุณธรรมเพื่อตัดสินอีกฝ่ายและบังคับให้หยางโปเอาเงินมาให้เขาล้านหยวน ไม่สิ…ห้าล้าน…เอามาเลยสิบล้าน!!!

 

“หยางโปดูสิ่งที่แกทำตอนนี้สิ!” หยางหลางเห็นร่างที่สั่นคลอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มก็พูดขึ้นมาด้วยความโมโห

“รีบเปิดตู้เซฟของแกแล้วเซ็นสัญญาซะไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน! ถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปประกาศให้คนอื่นรู้ แกลองคิดดูสิว่าแกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?” หยางหลางพูดด้วยน้ำเสียงโมโห

ทันทีที่พูดจบหยางหลางกลับพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับมา ‘หยางโป’ ที่กำลังร่างสั่นเทาอยู่ใต้ผ้าห่มค่อยๆโผล่หน้าออกมาในขณะที่เจ้าอ้วนที่คุกเข่าราวกับอ้อนวอนอยู่นั้นก็ลุกขึ้นมาเช่นเดียวกัน

“แกเป็นใครวะ?” ชายร่างผอมบางที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มลุกขึ้นนั่งพร้อมกับมองหยางหลางด้วยความโมโห

เจ้าอ้วนที่ดูเหมือนว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งรีบพุ่งตัวเข้ามา “แม่งเอ้ย! นี่แกเป็นใครวะ? มาผิดห้องแล้วมั้ง!”

 

หยางหลางรอไม่ให้ชายที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มลุกขึ้น ในเวลานั้นเองสมองของเขาก็ว่างเปล่าขึ้นมาทันที ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงบางอย่างที่ผลักเขาจนกระเด็นลอยออกจากห้องนอน ทั้งหมัดและเท้ารวมถึงคำด่าทอต่างพลั่งพรูออกมาและที่สำคัญของที่อยู่ในกระเป๋าก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

หยางหลางแอบด่าในใจ ‘ย้ายออกไปตั้งแต่ตอนไหนทำไมไม่บอกสักคำวะ!’

 

หลังจากที่หยางโปและคนอื่นๆนั่งลงที่โต๊ะแล้วชายหนุ่มก็นำน้ำชาเข้ามาเสิร์ฟให้กับพวกเขา

หยางโปเพิ่งสังเกตเห็นว่าตรงหน้าของทุกคนมีวัตถุโบราณวางอยู่ ซึ่งตรงหน้ามีทั้งเครื่องลายคราม เครื่องหยก นอกจากนี้ยังมีไม้แกะสลักและหยกขาวแกะสลักอีกด้วย

ตรงหน้าของแต่ละคนมีวัตถุโบราณวางอยู่ตรงหน้าคนละชิ้นสองชิ้น ส่วนคุณกาวที่พาพวกเขาเข้ามาก็มีขวดยานัตถุ์หนึ่งขวด

มีเพียงแค่พวกเขาสามคนเท่านั้นที่ไม่มีของอะไรวางอยู่ตรงหน้าเลย จึงทำให้หลังจากที่ทุกคนนำของออกมาวางตรงหน้าต่างก็พากันหันมามองหยางโปและคนอื่นๆด้วยความประหลาดใจ

 

หยางโปที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ก็รู้สึกหน้าเจื่อนขึ้นมา แต่เจ้าอ้วนหลิวดูเหมือนว่าจะหน้าหนาอยู่บ้างจึงทำให้เขาไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับสายตาของคนเหล่านั้น ส่วนลัวย่าวหัวเองก็น่าจะรู้สึกเขินๆอยู่เช่นกันเขาจึงหยิบหยกกวนอิมที่แขวนอยู่ที่คอออกมาวางตรงหน้า

คุณกาวเห็นแบบนั้นก็หันมาถามเจ้าอ้วนหลิว “เถ้าแก่หลิว คุณทำการใหญ่ขนาดนั้นน่าจะมีของสักชิ้นสองชิ้นนะ”

เจ้าอ้วนหลิวกระแอ่มออกมาก่อนที่จะกระซิบ “ผมลืมเอามาน่ะครับ”

พูดจบเขาก็หยิบแหวนหยกออกมาวางตรงหน้า

 

หยางโปหันไปมองคุณกาว “คุณกาวครับ ของที่เอาออกมาจะต้องทำการแลกเปลี่ยนทุกชิ้นไหมครับ?”

“ใช่แล้ว ถ้าเอาออกมาวางก็จะต้องทำการแลกเปลี่ยนกันทุกชิ้น” ทันทีที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย คุณกาวก็เห็นสีหน้าของลัวย่าวหัวที่เปลี่ยนไป เขาจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “แน่นอนว่าการแลกเปลี่ยนก็ต้องหาราคาที่เหมาะสมกันด้วยและไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียเปรียบ ถ้าหากมีราคาที่ต่างกันจริงๆ คุณอู๋ผู้ดำเนินรายการจะเป็นคนพูดเองและอีกฝ่ายจะต้องทำการจ่ายเพิ่มเพื่อชดเชยส่วนต่าง”

หยางโปพยักหน้า ก่อนที่เขาจะมาเขาไม่ได้เตรียมตัวหรือเตรียมอะไรมาเลย แต่การที่เขาทำธุรกิจด้านนี้ถ้าหากพูดไปว่าบนตัวไม่มีของดีอะไรเลยก็คงจะไม่มีใครเชื่อ จะให้เขานำกระจกแสงจันทร์ออกมาก็ไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ถ้าเป็นหนังสือ《กวีนิพนธ์》ของราชวงศ์ถังก็น่าจะไม่มีใครมีปัญญาแลกเปลี่ยนกับเขา ยิ่งผ้าไหมเฉิงสุ่ยโป๋ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

 

และของชิ้นสุดท้ายก็คงจะเหลือเพียงแค่เครื่องทองราชวงศ์ถัง

หยางโปหยิบกล่องออกมาก่อนที่จะหยิบปิ่นปักผมทองออกมาวางตรงหน้า

ทุกคนต่างพากันมองไปที่ของตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ เพราะของของลัวย่าวหัวและเจ้าอ้วนก็ยังจะพอเข้าใจอยู่บ้างเพราะของที่พวกเขานำมาสามารถเห็นได้ทั่วไป แต่ของที่หยางโปนำมามันทำให้คนต่างพากันเข้าใจผิด

หยางโปไม่ได้อธิบายอะไรมากเพราะถึงการแกะสลักจะเป็นไปอย่างประณีตแต่มันก็ยังห่างไกลกับของระดับสูงอยู่มาก ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉินโถวให้ของชิ้นนี้กับเขาเขาก็มองออกว่ามันไม่ใช่ของดีอะไร แต่เขาก็ไม่คิดที่จะพูดอะไรมากเพราะที่จริงเขาก็ได้เปรียบจากของชิ้นอื่นมากอยู่แล้ว

 

เมื่อพูดถึงเรื่องของราคาปิ่นปักผมในมือของหยางโปดูเหมือนว่าจะมีราคาที่แพงกว่าของที่อยู่ภายในนี้หลายชิ้นแถมมันยังเป็นของที่อยู่ในยุคเก่าแก่ที่นานกว่าของของคนเหล่านั้นด้วย

ในเวลานั้นเองชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาใบหน้าของเขาขาวโพลนแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “วันนี้มาช้าไปหน่อยขอโทษทีนะทุกคน”

“คนๆนี้คือคุณอู๋เป็นผู้จัดงานครั้งนี้ตึกแห่งนี้ก็เป็นที่ของเขาด้วย” คุณกาวกระซิบแนะนำ

หลังจากพูดทักทายอยู่ครู่หนึ่งคุณอู๋ก็หันมามองทั้งสามคน “เพื่อนใหม่ทั้งสามท่านคงจะเป็นคนที่คุณกาวแนะนำมาสินะครับ ยินดีต้อนรับทุกคนเลยนะ”

 

หยางโปและคนอื่นๆพยักหน้าตอบรับกลับไป

“เอาล่ะเพื่อไม่ให้เสียเวลา ตอนนี้ผมเห็นว่าทุกคนเอาของมาไม่น้อยเลย เอาเป็นว่าเรามาเริ่มทำการแลกเปลี่ยนกันเลยดีกว่า หวังว่าทุกคนจะมีความสุขและพึงพอใจกับสินค้านะครับ” คุณอู๋ยิ้ม

หยางโปหันมาหาเจ้าอ้วนหลิว “การแลกเปลี่ยนแบบนี้ไม่เลวเลยนะ ฉันคิดว่านายสามารถจัดงานที่ปักกิ่งและเทียนจินได้”

 

เจ้าอ้วนหลิวส่ายหน้า “งานพวกนี้เป็นของฟรีทั้งนั้นแหละถ้าจะเล่นของพวกนี้ได้อย่างน้อยๆก็ต้องมีสองเงื่อนไข อย่างแรกคือมีเงิน อย่างที่สองคือมีชื่อเสียง ถ้ามีสองอย่างนี้ถึงจะทำแบบนี้ได้”

หยางโปพยักหน้าก่อนที่จะหันไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านในซึ่งตอนนี้เริ่มลุกขึ้นแล้วโดยวางของไว้บนโต๊ะและรอผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมสินค้า และหากมีใครสนใจทั้งสองฝ่ายก็จะพูดคุยเจราจาเพื่อเข้าสู่กระบวนการแลกเปลี่ยนได้