ตอนที่ 57-3 ป่วนห้องหอและฟังมุมกำแพง

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

เขารู้ว่าตรงหน้าคือผู้ใด รู้ว่าท่านมู่เดินไม่ได้ ท่าร่างของจิ่งเหิงปัวก็แปลกประหลาด ฉะนั้นเขาเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุดโดยการออกไปทางหลังคาห้อง 

 

 

ภายใต้การบาดเจ็บสาหัส การรับมือสถานการณ์ของเขารวดเร็วและแม่นยำ นี่คือความอดทนและสัญชาตญาณที่ลูกศิษย์นิกายสวรรค์ฝึกฝนจากสภาพแวดล้อมเลวร้าย 

 

 

ท่านมู่ไม่ได้ลุกขึ้น เขานอนอยู่ แสงดำขลับกะพริบวูบในมือ 

 

 

สิ่งของพวงหนึ่งร่วงลงมาดัง พลั่ก โลหิตเปรอะเปื้อนบนผ้าห่ม เสียงกรีดร้องโหยหวนของน่ามู่เอ่อร์ถูกถุงเท้าอีกข้างอุดไว้ 

 

 

ด้วยความเจ็บปวดสาหัส เขาพยายามดึงร่างขึ้นไปข้างบน นึกขึ้นได้ว่าข้างหลังมีคน 

 

 

สตรีนางนั้นอยู่ข้างหลัง! 

 

 

ความคิดนี้วาบผ่านไป เขาหวาดกลัวขวัญกระเจิง ทุ่มเทเรี่ยวแรงกระแทกหลังคาเตียง ขอเพียงหนีไปให้เร็วที่สุด 

 

 

จิ่งเหิงปัวที่อยู่ข้างหลังหัวเราะคิกๆ พลางยกมือ 

 

 

พรวด นางก็ไม่รู้ว่าทิ่มเข้าตรงไหน คล้ายเป็นส่วนตรงกลางของร่างกาย นางหันหน้าหลบโลหิตแดงฉานได้ทันเวลา 

 

 

น่ามู่เอ่อร์ร้องโหยหวนไม่ออก เรือนร่างกำลังร่วงลงมา เผชิญหน้าการโจมตีขนาบระยะประชิดของสองคนเช่นนี้ ไม่มีเหตุผลให้หนีรอด 

 

 

หลังคาห้องที่ตรงกับหลังคาเตียงพลันเกิดโพรงขึ้นมา 

 

 

เส้นใยสีขาวนวลยื่นลงมาข้างล่างปานสายฟ้า 

 

 

ยามนี้น่ามู่เอ่อร์ยังตอบโต้รวดเร็วยิ่งนัก ยื่นมือคว้าไว้ เส้นใยนั้นคล้ายมีความยืดหยุ่น พาเขากระเด็นขึ้นไปข้างบน 

 

 

ความเร็วดั่งสายฟ้า จนทำให้โลหิตแดงฉานจากร่างน่ามู่เอ่อร์พาดผ่านขื่อห้องดั่งสายรุ้งโลหิต 

 

 

จิ่งเหิงปัวกับท่านมู่พุ่งขึ้นไปด้วยกัน เส้นใยนั้นพลันแยกเป็นสองสายพุ่งมาทางพวกเขา สองคนต่างคนต่างรับไว้ ก็รู้สึกว่าบนมือเหนียวหนับ ไม่นึกว่าเส้นใยนี้จะมีความเหนียวดั่งใยแมงมุม 

 

 

ชักช้าเพียงชั่วขณะ น่ามู่เอ่อร์หายไปจากหลังคาห้องแล้ว 

 

 

ท่านมู่กับจิ่งเหิงปัวเงียบงันครู่หนึ่ง จากนั้นจิ่งเหิงปัวล้มลงทันที ท่านมู่รีบยื่นมือรับนางไว้ จิ่งเหิงปัวหอบหายใจอยู่ตรงข้อพับเขา กล่าวว่า “เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว…” 

 

 

ภายใต้ความเหนื่อยล้า เสียงนางเกียจคร้านแหบแห้งคล้ายออดอ้อน เรือนร่างอ่อนยวบ เหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย 

 

 

บนแขนเขารับน้ำหนักร่างกายของนาง รู้สึกเพียงว่าคล้ายประคองมวลเมฆไว้ แดงซ่าน นิ่มนวล อ่อนช้อย แกว่งไกวในท้องฟ้าแห่งใจ 

 

 

ใจของเขาก็เริ่มสั่นสะท้าน ประคองนางนอนลง แม้ไม่เอ่ยวาจา แต่กิริยาเห็นอกเห็นใจ 

 

 

จิ่งเหิงปัวกล่าวขึ้นมาว่า “เอ๊ะ นี่คืออะไร” ยื่นมือจะไปคีบสิ่งที่ถูกตัดร่วงลงมาจากร่างของน่ามู่เอ่อร์กลุ่มนั้น 

 

 

มือของนางถูกฟาดดัง เพียะ ท่านมู่ชิงยื่นมือเข้าไป ใช้ผ้าในมือห่อก้อนนั้นไว้ โยนไปไกลๆ ตรงมุมห้อง 

 

 

เขาคิดแล้วยังไม่เลิกรา ก็ขว้างกระบอกเชื้อไฟไปจุดเทียนสีแดง ขว้างเทียนสีแดงไปบนก้อนนั้น เผาทิ้งเสียแล้ว 

 

 

ผ่านไปสักพักจิ่งเหิงปัวถึงเข้าใจว่านี่คืออะไร สีหน้าตกตะลึงแปลกประหลาด คิดอยู่ชั่วครู่ หัวเราะคิกๆ คักๆ ขึ้นมา 

 

 

ท่านมู่มองนางอย่างงงงัน อาจจะเกิดเข้าใจผิดอะไร ตรงขมับแดงซ่านเล็กน้อย 

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังหัวเราะกระบวนท่านั้นของตัวเอง…ก่อนหน้านี้ไม่ได้มองให้ชัดเจน ถ้าเป็นตำแหน่งสำคัญอะไรนั่นจริง เจ้าคนน่าสงสารคนนั้นโดนโจมตีขนาบหน้าหลังโดยแท้ 

 

 

เพียงแต่ท่านมู่ลงมือโหดเหี้ยมจริงๆ นางยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนลงมือตรงนี้ เจ้าคนนี้คงไม่มีอะไรประหลาดหรอกมั้ง 

 

 

นางเหล่ตาพินิจเขา มองจนเขาอึดอัดทั่วร่าง ในใจรู้ว่าสตรีอัปลักษณ์นางนี้กำลังคิดอะไรไม่ค่อยดีอีกแล้ว 

 

 

“เจ้าจะนอนสักหน่อยหรือไม่…” เขาได้แต่เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา 

 

 

“บนเตียงนี้มีแต่โลหิตจะนอนอย่างไร…” นางพึมพำ รู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นหน่อยแล้ว อาจเป็นเพราะเมื่อครู่เครียดจนเหงื่อออกทั้งตัว 

 

 

เขาโยนผ้าห่มเปื้อนเลือดทิ้งไป นางเพิ่งพบว่าเลือดอยู่แค่บนผ้าห่ม บนเตียงยังสะอาดสะอ้าน 

 

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ขณะลงมือจัดการคนนั้น เขาก็นึกถึงแม้แต่เรื่องนี้ด้วย 

 

 

ความรอบคอบของผู้ชายคนนี้ บางครั้งทำให้คนชื่นชมไม่หยุดปากจริงๆ 

 

 

“วันหน้าหากผู้ใดได้เป็นภรรยาเจ้า นับว่ามีวาสนายิ่งนัก…” นางพึมพำล้มตัวลงนอน ทิ้งระยะห่างระหว่างเขาหนึ่งเชียะ 

 

 

มือเขาชะงัก ครู่ใหญ่กระซิบว่า “เช่นนั้นก็ไม่แน่ อาจเป็นภาระ” 

 

 

“ผู้ใดเป็นภาระของผู้ใด” นางพลิกตัว ใช้ข้อศอกค้ำหมอนแล้วถามเขาขึ้น 

 

 

ท่ามกลางความมืดมิด นัยน์ตานางเปล่งประกาย เจิดจ้าจนในใจเขาเจ็บปวด 

 

 

“ข้าย่อมเป็นภาระของนาง” เขาตบขาบอกใบ้ 

 

 

“คิดมากไป” จิ่งเหิงปัวส่งเสียงฮึดฮัด “เลือกในสิ่งที่ตนรัก รักในสิ่งที่ตนเลือก ในเมื่อติดตามเจ้า จะยังรังเกียจเจ้าได้อย่างไร เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางคิดว่าเจ้าเป็นภาระ บางทีนางยิ่งรักเจ้าสุดหัวใจด้วยเหตุนี้เล่า? บางทีนางเพียงอยากอยู่กับเจ้าเล่า? บางทีนางก็ไม่สนใจด้วยซ้ำเล่า? เจ้าไม่ใช่นางสักหน่อย เจ้ารู้หรือว่านางคิดอะไร เจ้าใช้อะไรมาตัดสินนางเช่นนี้” นางยิ่งกล่าวก็ยิ่งโกรธ ตบขาอ่อนของเขาอย่างแรง “เหตุใดพวกเจ้าเหล่าบุรุษถึงเป็นเช่นนี้กันหมด ชอบใช้ความคิดของตนเองไปประเมินสตรี คิดว่าตนถูกต้อง เจ้ากี้เจ้าการ ทำเป็นอวดฉลาด หาเรื่องไปทั่ว!” 

 

 

นางพลิกตัวด้วยความเดือดดาล หันหน้าหากำแพง คล้ายคร้านแม้แต่จะกล่าวอะไรกับเขาแล้ว 

 

 

เขานิ่งเงียบครู่ใหญ่ ยื่นมือกดไหล่ของนางไว้อย่างแผ่วเบา เอ่ยว่า “อย่าโกรธเลยนะ…” 

 

 

“เกี่ยวอะไรกับเจ้า เอามือของเจ้าออกไป!” 

 

 

เขายกมือออก เงียบไปครู่ใหญ่ นางได้ยินเขาหายใจถี่กระชั้น คล้ายกำลังสะกดอารมณ์อะไรอยู่ 

 

 

นางรู้สึกทันทีว่าอัดอั้นตันใจ คล้ายการโมโหครั้งนี้ ไม่ใช่แค่โมโหแล้วพาล… 

 

 

มือนั้นที่อยู่ข้างหลังพลันวางไว้บนเอวนางอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง 

 

 

นางตวาดว่า “บอกว่าให้เจ้าเอามือออกไป!” 

 

 

คำรามเสร็จแล้ว นางตะลึงงัน เริ่มรู้สึกเหมือนตรงไหนไม่ถูกต้อง? 

 

 

การกระทำนี้ บทสนทนานี้ น้ำเสียงนี้ เหตุใดเหมือนสามีภรรยาหนุ่มสาวทะเลาะกันบนเตียงขนาดนี้… 

 

 

ครู่ต่อมานางก็ได้ยินเขาเอ่ยอย่างเก้อเขินว่า “ข้าคิดจะดึงเสื้อผ้าให้เจ้า เสื้อผ้าตรงเอวเจ้าแยกกันแล้ว…” 

 

 

นางพลิกตัวทันที หันขวางไปนอนปลายเตียง กล่าวว่า “เจ้าไปนอนบนเก้าอี้” 

 

 

เขาเงียบไปสักพัก จะลงจากเตียงจริงๆ นางก็เงียบไป เพิ่งรู้สึกว่าเมื่อเนื้อเรื่องนี้ดำเนินไปก็ยิ่งเหมือนสามีภรรยาหนุ่มสาวที่ทะเลาะกันมากขึ้นเรื่อยๆ… 

 

 

บรรยากาศคลุมเครือเกินไป ทำอย่างไรก็ไม่เข้าท่า 

 

 

“หยุดนะ ข้าไปนอนเองก็ได้!” นางลุกขึ้นนั่ง ก้าวลงจากเตียง ผลักเขากลับไป ตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ร่วมกับเขาในพื้นที่คับแคบแห่งไหนอีกแล้ว 

 

 

ความรู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกสงสัยที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ออกจากตี้เกอแบบนั้น ทำให้นางทรมานจนแทบเสียสติ นางไม่อยากไปใคร่ครวญอะไรทั้งนั้น! 

 

 

นางเพิ่งเดินออกไปสองก้าว หน้าต่างดัง แก๊ก กะทันหัน เงาคนลอดเข้ามา 

 

 

นางชะงัก หยุดฝีเท้า ท่านมู่ที่อยู่ข้างหลังรู้ตัวแล้ว ยื่นมือก็ดึงนางเข้าไปในอ้อมแขน 

 

 

แต่เงาคนสายนั้นพุ่งเข้ามาแล้ว ก็ไม่สนใจท่านมู่ กอดขาของนางไว้ 

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงัก ท่านมู่ก็งงงัน สองคนรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีวรยุทธ 

 

 

“เอ้อร์ยา! เอ้อร์ยา!” คนนั้นหอบหายใจ เอ่ยด้วยสั่นเทาทั่วร่างว่า “ข้ารอมานานแล้ว ยามนี้ข้างนอกไม่มีคนแล้ว เจ้าไปกับข้า ยามนี้ก็ไปกับข้า!” 

 

 

ท่ามกลางความมืดมิด คนนั้นเงยหน้าขึ้น สีหน้าอ้อนวอน ไม่นึกว่าจะเป็นหูจื่อที่อาละวาดในโถงพิธีก่อนหน้านี้ผู้นั้น 

 

 

เจ้าผู้นี้ถูกลากออกไปจากโถงพิธี ในใจกลับยอมรับว่าตนเองอ่อนแอ ให้สตรีที่รักสมรสกับคนโง่ บัดนี้กรรมตามสนอง เห็นได้ชัดว่าสวรรค์ก็ทนเห็นเขาอ่อนแอเช่นนี้ต่อไปไม่ไหว เขาจะต้องทำตนให้สมชาย ฮึกเหิมสักครั้ง จะต้องช่วยเอ้อร์ยาออกมาจากขุมนรกให้ได้! 

 

 

เขาสำรวจข้างนอกกลางดึก เหล่าเด็กหนุ่มที่ฟังมุมกำแพงในคืนนี้กลับชักช้าไม่ยอมไป เขารอจนกระทั่งเด็กวัยกำลังโตเหล่านั้นถูกไล่ไป รออีกสักพักจนแน่ใจว่าคนในหมู่บ้านหลับหมดแล้วถึงวิ่งเข้ามา 

 

 

“เอ้อร์ยา เจ้าไปกับข้า ไปกับข้า!” เขารู้สึกซาบซึ้งในความเสียสละกล้าหาญของตน ฮึกเหิมจนสั่นสะท้านทั่วร่างเหงื่อออกทั่วหน้า แม้ท่านมู่นั่งอยู่ข้างเตียงก็ไม่สนใจ ออกแรงลากจิ่งเหิงปัวไปข้างนอก “ข้ารับปากเจ้าแล้ว พวกเราหนีไปด้วยกัน! ไปเดี๋ยวนี้! ข้าไม่รังเกียจว่าเจ้าเสียตัวแล้ว ชาตินี้ เจ้าต้องเป็นของข้า!” 

 

 

เดิมทีจิ่งเหิงปัวอยากตบให้เขาหลับไปไวๆ ได้ยินประโยคสุดท้ายกลับชะงักงัน 

 

 

ชั่วครู่หนึ่งจิตใจว้าวุ่นดั่งกระแสน้ำ มากมายหลายหลาก รสชาติในใจอธิบายได้ยาก ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงตกตะลึงถอนหายใจยาว พึมพำว่า “ใช้ชีวิตสู้ชาวบ้านชนบทพวกนี้ไม่ได้…” 

 

 

ในใจนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง…ชาตินี้ ตัวนางเองน่าจะไม่มีทางได้ฟังคำพูดที่ทั้งเสแสร้งทั้งดุดันทั้งโง่เขลา แต่ทำให้ผู้หญิงอบอุ่นหัวใจได้ดีที่สุดแบบนี้แล้วสินะ 

 

 

เอ้อร์ยาโชคดีกว่านาง 

 

 

ข้างหลังนาง เดิมทีท่านมู่คล้ายคิดจะตบหูจื่อให้ล้มลง มือยื่นถึงครึ่งหนึ่ง ได้ยินเสียงถอนใจของนาง เขาก็ชะงักแล้ว 

 

 

มือของเขาแข็งทื่อกลางอากาศ ห่างจากเสื้อผ้านางครึ่งนิ้ว ทว่าไม่ได้ยื่นไปข้างหน้าอีกเลยตั้งแต่แรก 

 

 

นิ้วมือขดงอ ท่าทางไม่กล้าไขว่คว้า 

 

 

นานครู่ใหญ่ ห้อยลงมาอย่างหดหู่ 

 

 

ในห้องเงียบสงัดอย่างน่าประหลาดไปชั่วขณะ หูจื่อไม่รู้ว่าเมื่อครู่นั้นตนเองได้รอดพ้นหายนะน้อยๆ แล้ว ยังรีบลากจิ่งเหิงปัวออกไป 

 

 

จิ่งเหิงปัวถอนใจ ไม่อยากเล่นละครอีกต่อไปแล้ว 

 

 

“ข้าไม่ใช่เอ้อร์ยา” นางกล่าว 

 

 

หูจื่อชะงัก ปล่อยมือ ยกมือจำแนกหน้าตาของนางโดยละเอียด 

 

 

“เจ้าช่วยข้า ข้าก็จะบอกเจ้าว่าเอ้อร์ยาอยู่ที่ใด ให้เงินเจ้า เจ้ากับเอ้อร์ยาไปหาที่ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักพวกเจ้า ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข” 

 

 

“ได้” เด็กหนุ่มผู้นั้นตอบอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “นางอยู่ที่ใด” 

 

 

“ช่วยข้าก่อน” นางกระซิบข้างหูเขาหลายประโยค หูจื่อพยักหน้า หันหลังแล้วจากไป 

 

 

หลังจากได้รับความขมขื่นจากการสูญเสียความรัก เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ทิ้งนิสัยลังเลยามแรกเริ่ม กลายเป็นนิสัยเด็ดขาด 

 

 

จิ่งเหิงปัวเรียกเขาไว้กะทันหัน ตบไหล่ของเขา 

 

 

“รับปากข้า วันหน้าจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเอ้อร์ยา จะต้องเชื่อใจนาง เคารพนาง รักนาง ทำให้นางมีความสุข” 

 

 

น้ำเสียงนางลึกซึ้ง หูจื่อมองนางอย่างมึนงง พลันรู้สึกว่าสตรีโฉมงามที่ยิ้มแย้มตลอดเวลานางนี้ คล้ายว่าในใจก็จมอยู่กับความรู้สึกหนักหน่วง คล้ายว่าวาจาประโยคนี้ของนางก็คือความหวัง หวังว่าผู้อื่นจะมีความสุข ใช้ชีวิตส่วนนั้นแทนนาง เพื่อเป็นการปลอบโยนนาง 

 

 

“ข้าทำได้” เขาคล้ายสาบานกับนางก็คล้ายสาบานกับตนเอง สาวเท้าออกไปข้างนอก 

 

 

อารมณ์ฮึกเหิมเกินไป เขาลืมว่าเปิดประตูเดินออกไปได้ ยังคงปีนออกไปทางหน้าต่างอย่างงุ่มง่าม 

 

 

จิ่งเหิงปัวที่มีความโศกเศร้าเต็มอกอดจะหัวเราะฮ่าๆ ไม่ได้ พอหันหลังกลับเห็นแววตาพร่างพราวเล็กน้อยของท่านมู่ 

 

 

แววตาเขาชุ่มชื้นเหลือเกิน คล้ายแฝงด้วยหมื่นถ้อยพันวจี นางใจลอยเล็กน้อย 

 

 

ทว่าชั่วครู่เขาก็เบนสายตากลับไป หลุบตาลง จนทำให้นางนึกว่านั่นคือภาพลวงตาของตัวเอง 

 

 

“ข้าให้เขาไปล่อลูกน้องที่เหลือเหล่านั้น” นางกล่าวว่า “เมื่อครู่คนที่ช่วยหัวหน้าผู้นั้นไป คล้ายไม่ใช่ลูกน้องของเขา ยังมีผู้อื่นอีก ฉะนั้นลูกศิษย์นิกายสวรรค์เหล่านั้นจะต้องกระจายอยู่บริเวณนี้ ค้นหาพวกเราต่อไป ไม่สู้พวกเรารอซ้ำยามเปลี้ย หลอกพวกเขามา จัดการให้เหี้ยน” 

 

 

“ได้” เขาตอบอย่างเรียบง่าย คล้ายพลันสูญเสียความอยากเอ่ยวาจา 

 

 

จิ่งเหิงปัวก็รู้สึกทันทีว่าในใจว่างเปล่า ก็นึกถึงหูจื่อกับเอ้อร์ยาอย่างอดไม่ได้ นึกถึงความกล้าที่เกิดขึ้นเพราะความรักของเด็กหนุ่มสาวน้อยแสนธรรมดาพวกนี้ 

 

 

นางอิจฉาอยู่บ้าง 

 

 

ความสุขที่แสนเรียบง่ายพวกนั้น ไม่รู้ว่าห่างไกลนางมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เมื่อไร 

 

 

สองคนนั่งเงียบอยู่ข้างเตียง ต่างคนต่างซ่อนเรื่องในใจที่เอ่ยได้ยากไว้เต็มอก 

 

 

ต่างคนต่างรู้สึกถึงในใจอีกฝ่าย ช่องว่างใหญ่โตนั้นซึ่งพ้นผ่านลมหนาวคำรามในค่ำคืนนี้