ตอนที่ 51 วิกฤตถาโถม

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

ตอนที่ 51 วิกฤตถาโถม

 

 

ในกลางดึกของค่ำคืน  สมาชิกตระกูลหลิงสมควรอยู่ในห้องหับและนอนหลับกันหมดแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ที่ห้องโถงของตระกูลหลิงมีดองไฟสว่างจ้าปรากฏขึ้น  สมาชิกในตระกูลจำนวนมากเดินไปเดินมาอยู่ไม่สุขด้วยความขุ่นเคืองและโกรธแค้นแสนสาหัส !

 

ในห้องโถงที่สว่างไสวมีเสื่อไม้ไผ่และผ้าปูเตียงตั้งอยู่กลางห้อง

 

ผ้าปูเตียงเปื้อนเลือดมีร่างบอบบางของเด็กสาวนางหนึ่งในชุดสีดำ ในหน้างดงามซีดเผือดและดวงตาเบิกกว้าง

 

นี่คือร่างไร้วิญญาณของหลิงหยุนเฟยที่ได้เสียชีวิตไปนานระยะหนึ่งแล้ว

 

ผู้เฒ่าตระกูลหลิงหลายคนกำลังเดินวนเวียนเป็นวงกลมไปทั่วศพของนาง

 

สตรีที่ดูสง่างามมีอายุนางหนึ่งร่ำไห้อย่างโศกเศร้าสุดแสนอยู่ข้างศพ

 

หัวหน้าตระกูลหลิง หลิงซือไห่ยืนอยู่ในห้องโถงมองไปที่ร่างของหลิงหยุนเฟยด้วยร่างกายที่แผ่ซ่านความโกรธกริ้วและสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

 

ทุกคนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในใจของชายผู้นี้สะสมความโกรธแค้นและจิตสังหารอันรุนแรงไว้อย่างมากจนดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด

 

เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว มีรถม้ามาจอดที่หน้าบ้านตระกูลหลิงและนำร่างไร้วิญญาณของหลิงหยุนเฟยมามอบให้เขา

 

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของรถ, องค์ราชาจี้หลิง เล่าเหตุการณ์ให้พวกเขาฟังว่าหลิงหยุนเฟยไปพบจี้เทียนซิงตามนัดที่สวนดอกไม้พลัมในเขตชานเมืองตะวันตก

 

เขาลอบติดตามนางไปด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อไปถึงก็พบร่างของหลิงหยุนเฟยนอนจมอยู่ในกองเลือดเสียแล้ว

 

หลังจากนั้นราชาจี้หลิงก็มอบจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของจี้เทียนซิงมอบให้กับหลิงซือไห่และจากไป

 

หลิงซือไห่ระเบิดโทสะอย่างรุนแรงและเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า ดวงตาของเขาดูเย็นชายิ่งกว่าอากาศอันหนาวเหน็บยามค่ำคืน  เขาคำรามออกมาว่า

“ตระกูลจี้…  !!   จี้เทียนซิง !! ”

 

“ไม่ว่าฟ้าจะถล่ม ดินจะทลาย ข้าก็จะฆ่าเจ้าให้ได้ ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆชิ้นเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบุตรสาวข้า !  จี้เทียนซิง !!!!”

 

เสียงคำรามด้วยจิตสังหารดังก้องอยู่ในห้องโถงตระกูลหลิง

 

บรรดาผู้เฒ่าตระกูลหลิงต่างก็เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หนักหน่วงเช่นเดียวกัน พวกเขาคำรามก้องและสาบานว่าจะให้จี้เทียนซิงต้องชดใช้ !

 

 

 

……

 

หลังจากกลับมาที่จวนตระกูลจี้ จี้เทียนซิงก็กลับไปห้องของตนเอง

 

เขายังคงสวมใส่ชุดสีดำและนั่งลงบนโต๊ะริมหน้าต่าง จากนั้นนั่งขัดสมาธิลง

 

เป้าหมายในคืนนี้ ณ สวนดอกไม้พลัมกับศัตรูคู่แค้นได้บรรลุถึงจุดประสงค์ที่เขาวางไว้แล้ว

 

เขาได้แต่สงสัยพฤติกรรมของหลิงหยุนเฟย นางไม่ได้ทำการหลอมรวมลูกปัดครองวิญญาณที่มีพลังของเขาเข้าไป  แต่นางได้มอบมันให้กับผู้อื่น

 

ส่วนผู้ที่ได้ลูกปัดครองวิญญาณเม็ดนั้น บางทีอาจเป็นชายชุดดำที่ช่วยนางหนีไปที่คฤหาสน์ดอกไม้พลัม

 

เขาจดจำรูปร่างขององค์ชายจี้หลิงได้ และลองเปรียบเทียบกับชายสวมชุดดำดูในใจ

 

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับคำตอบที่ค่อนข้างแน่ใจและมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา

 

*“*องค์ชายผู้มีตันเถียนพิการแต่กำเนิด ลอบมีสัมพันธ์กับหลิงหยุนเฟยอย่างลับๆ ใช้ลูกปัดครองวิญญาณช่วงชิงพรสวรรค์และทักษะการต่อสู้ของข้า….”

*“*หลังจากเหตุการณ์นี้ ก็ใช้ดอกไม้ดาราแดงเป็นข้ออ้างและแพร่ข่าวออกไปในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะเพื่อปิดบังความจริงที่ขโมยพลังของข้า…”

จี้หลิง,ราชาลั่วหยาน เป็นเจ้าสินะ….

(ลั่วหยานเป็นฉายาที่จักรพรรดิมอบให้หลังจากสร้างผลงาน)

 

 

หลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด เขากลับคาดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับราชาลั่วหยาน !

 

ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะพิสูจน์ว่าบุคคลที่ครอบครองลูกปัดครองวิญญาณคือราชาลั่วหยาน แต่จากเบาะแสที่เขาทราบในตอนนี้ทำให้มั่นใจกว่า 80% ว่าราชาลั่วหยานอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดจริงๆ !

 

แค่ลำพังตระกูลหลิงตระกูลเดียวก็รับมือยากพออยู่แล้ว  หากครั้งนี้ต้องต่อกรกับราชาลั่วหยานผู้ครอบครองสองรัฐอีก…  สถานการณ์ของเขาหนักหนาสาหัสเป็นอย่างยิ่ง

 

จี้เทียนซิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้น  หัวใจหนักอึ้งเหมือนถูกก้อนหินใหญ่กดทับ

 

“คืนนี้ข้าทำลายหลิงหยุนเฟยไปแล้ว และคาดเดาผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดอย่างราชาลั่วหยานได้  คาดว่ามันต้องมีการเคลื่อนไหวในไม่ช้า”

 

“ต่อไปนี้สถานการณ์ของข้าจะยิ่งอันตรายมากขึ้น ความประมาทเพียงเล็กน้อยจะนำมาซึ่งหายนะใหญ่หลวง !”

 

ด้วยวิกฤตที่รุนแรงทำให้เขามีความต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างเร่งด่วนมากกว่าเดิมหลายเท่า

 

เขาไม่กล้าทำตัวอืดอาดและตัดสินใจยกระดับความแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุดก่อนจะเกิดวิกฤติ

 

ดังนั้นหลังจากที่เขาสงบลงก็เข้าไปในห้องลับและไปบ่มเพาะต่อ

 

สองวันแห่งความพยายามอย่างหนัก ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว  ตอนนี้ตัวอ่อนกระบี่แข็งแกร่งขึ้นเป็น 70% จนเขาสามารถตัดผ่านไปยังเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 3 ได้สำเร็จ

 

 

……

 

 

ณ ลานที่ 4 ของตระกูลจี้เป็นที่พำนักของอาวุโสสอง, จี้หรูเฟิ่ง

 

เขาอยู่ในห้องลับชั้นใต้ดินและกำลังสนทนากับชายหนุ่มคนหนึ่งด้วยเสียงต่ำ

 

จี้หรูเฟิ่งสวมเสื้อคลุมสีม่วงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

 

ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งและหล่อเหลา, จี้ห่าว

 

จี้หรูเฟิ่งมองไปที่ชายหนุ่มและกล่าวว่า “ห่าวเอ๋อ, ธุรกิจของเราที่เมืองไต้ห่าวถูกเปิดเผยแล้ว”

 

“จี้ชางคงกำลังตรวจสอบบัญชีของโรงหลอมชานเมืองตะวันออกและแอบเรียกใช้หอเงากระบี่ให้ติดตามข้า  เจ้าต้องระวังทุกการกระทำ อย่ามีพิรุธเด็ดขาด”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” จี้ห่าวพยักหน้ารับและหยิบม้วนกระดาษเท่าหัวแม่มือออกจากแขนเสื้อและกระซิบเสียงต่ำว่า

 

“นี่เป็นจดหมายจากนกพิราบสื่อสาร หลิงหยุนเฟยของตระกูลหลิงตายแล้ว !”

 

จี้หรูเฟิ่งเลิกคิ้วขึ้นในทันทีและกระพริบตา  เขาโพล่งขึ้นด้วยความตกใจว่า

“หลิงหยุนเฟยตายแล้ว ?  ผู้ใดสังหารนาง ?”

 

จี้ห่าวตอบอย่างรวดเร็วว่า “จากข่าวของตระกูลหลิง นางถูกจี้เทียนซิงฆ่า !  เมื่อคืนจี้เทียนซิงสังหารนางที่สวนดอกไม้พลัมในแถบชานเมืองตะวันตก”

 

จี้หรูเฟิ่งขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าความแข็งแกร่งของมันจะฟื้นฟูกลับมาได้รวดเร็วเช่นนี้  เจ้าเด็กเหลือขอนี่ปาฏิหาริย์นัก !”

 

หลังจากกล่าวจบ เขาก็จมดิ่งอยู่ในความคิดครู่หนึ่งแล้วแสยะยิ้มออกมา

“หลิงหยุนเฟยถูกฆ่าตาย นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ตระกูลหลิงย่อมไม่มีวันกล้ำกลืนความแค้นครั้งนี้ไปได้  พรุ่งนี้ต้องมีการแสดงชั้นเลิศเกิดขึ้นในเมืองจักรวรรดิแน่นอน !”

 

จี้ห่าวพยักหน้าเห็นด้วยและกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “จากที่ข้าเดา พรุ่งนี้หลิงซือไห่ต้องขนยอดฝีมือจำนวนมากบุกมายังตระกูลจี้และบีบบังคับให้จี้ชางคงมอบตัวจี้เทียนซิงออกมาเป็นแน่”

 

จี้หรูเฟิ่งกระพริบตาและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก ! ดูเหมือนว่าข้าต้องรีบไปที่ตระกูลหลิงเพื่อชิงลงมือก่อน”

 

จี้ห่าวตกตะลึงและสงสัย เขาเอ่ยถามว่า “ทำไมท่านถึงคิดจะไปตระกูลหลิงในเวลานี้เล่า ? หลิงหยุนเฟยเพิ่งจะตายไป ตระกูลหลิงย่อมเกลียดชังตระกูลจี้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับเรา แต่มันก็ยากที่จะรับประกันว่าพวกเขาจะไม่เอาความแค้นมาลงที่ท่าน !”

 

จี้หรูเฟิ่งมองบุตรชายด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ลูกข้า เจ้ายังเด็กเกินไป หูตายังไม่กว้างไกลและมองเกมไม่ขาด”

 

“จากเหตุการณ์นี้ตระกูลหลิงย่อมต้องการให้จี้เทียนซิงชดใช้ด้วยชีวิต  และจี้ชางคงย่อมต้องยอมตายเพื่อปกป้องบุตรชายของมันแน่นอน”

 

“อย่างไรก็ตาม หากจี้ชางคงตายไป จี้เทียนซิงก็จะไร้ที่พึ่งพิง ถึงเวลานั้นเราก็ปล่อยให้ตระกูลหลิงแล่เนื้อเถือหนังมันตามใจชอบ”

 

“เป้าหมายของตระกูลหลิงคือจี้เทียนซิง แต่เป้าหมายของพวกเราคือจี้ชางคง  ดังนั้นถ้าข้าไปตระกูลหลิงเพื่อเสนอตัวขอร่วมมือในการฆ่าจี้ชางคง  เจ้าลองคิดดูสิ ตระกูลหลิงจะปฏิเสธข้าหรือ ? เหอๆ”

 

จี้ห่าวสะอึกไปวูบหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะลั่น

 

“ฮ่าๆๆๆ ตระกูลหลิงย่อมไม่ปฏิเสธท่านพ่อแน่นอน !”

 

“ท่านพ่อ หมากตานี้ของท่านหลักแหลมยิ่งนัก นี่เป็นการยืมมีดฆ่าคนและพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างสมบูรณ์แบบ !”

 

“หากแผนการนี้ประสบความสำเร็จ จี้ชางคงกับบุตรชายของมันจะต้องตายในวันพรุ่งนี้และตระกูลจี้ก็จะตกอยู่ในมือของเรา!”

จี้หรูเฟิ่งกล่าวด้วยหัวใจพองโตและเผยรอยยิ้มที่สบายใจ

 

เขากล่าวอย่างหนักแน่นกับจี้ห่าวว่า “ลูกพ่อ เจ้าต้องเรียนรู้จากพ่อให้มากๆ ในอนาคตเจ้าจะได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าโดยมิต้องเหนื่อยแรงมากมายหากเจ้าใช้สมองวางแผนอย่างรอบคอบ”

 

จี้ห่าวพยักหน้าด้วยความชื่นชมอย่างมากและตอบรับด้วยความเคารพ “ขอรับ บุตรจะจดจำคำสอนของท่านเป็นอย่างดี”

 

“ดี ดี”

จี้หรูเฟิ่งพยักหน้าและลุกขึ้นเดินไปที่ประตูพร้อมกล่าวว่า

“เจ้ารอฟังข่าวอยู่ที่นี่ ตอนนี้ข้าจะรีบไปตระกูลหลิงเพื่อขอพบหลิงซือไห่”