บทที่ 163 ใต้ต้นตี้หนี่ว์ซาง (ตอนต้น)

บุหลันเคียงรัก

รัชทายาทฉางฉินขมวดคิ้วมุ่น แล้วโยนสายพิณสายหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้า 

 

 

สายพิณเร็ว แต่มังกรสีทองเร็วยิ่งกว่า คลื่นน้ำลูกใหญ่สีทองอร่ามปรากฏขึ้นในพริบตา นี่คือวิถีกระบี่คมกริบที่รัชทายาทฉางฉินคุ้นเคยดี และรู้ดีว่ามันน่ากลัวขนาดไหน เพียงแต่เขานึกไม่ถึงว่าจะมีสักวันที่กระบวนท่าของเขาจะต้องมาใช้กับสหายร่วมรบด้วยกัน 

 

 

เพื่อองค์หญิงที่ไม่มีตรงไหนน่ารักเลยผู้นั้น ฝูชาง จุดนี้มันไม่คุ้มเลย 

 

 

สายพิณสายที่สองถูกซัดออกไปอย่างแรง มันอ้อมวงล้อมเขตแดนคลื่นน้ำขนาดยักษ์ไปรัดร่างของฝูชางอย่างเงียบเชียบ เกิดเสียงดัง “โพละ” มันแทงทะลุม่านพลังตระกูลหวาซวี และพัวพันอยู่กับฝักกระบี่ฉุนจวินจนทำให้เกิดพายุขึ้นมาทันที 

 

 

รัชทายาทฉางฉินตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว นักรบหลายคนข้างๆ กลับไม่รู้จะทำอย่างไร พูดตามตรง ทุกคนต่างก็เป็นสหายร่วมรบกันมานานหลายปี ฝูชางนั้นทั้งสง่างามและมีมารยาทมาตลอด พวกเขาลงมือไม่ลงจริงๆ 

 

 

สายพิณสี่สายถูกซัดออกไปพร้อมกัน พื้นดินพลันกลายเป็นทะเลเพลิง คลื่นน้ำสีทองสู้พัวพันกับสายพิณไม่หยุด สีหน้าของรัชทายาทฉางฉินเข้มขึ้นเรื่อยๆ เขากัดฟันแน่นขึ้นแล้วสุดท้ายจึงกล่าวเสียงเข้มว่า “นางไม่สนใจกฎและใฝ่ต่ำกลายเป็นมาร! ปราบมารต่างหากที่เป็นหน้าที่ของเจ้า!” 

 

 

ฝูชางยังคงไม่กล่าวอะไร เรื่องมาถึงตอนนี้ เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว 

 

 

คลื่นน้ำมาจากทุกสารทิศ แทบจะกลบแผ่นดินทั้งหมดเสียจนมิด คราวนี้ในที่สุดปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรก็เต็มไปด้วยไอสังหารเข้มข้น รัชทายาทฉางฉินรีบร้อนหลบ แต่เห็นว่าคลื่นน้ำกลับไม่ได้มารัดร่างเขาไว้ กลับเพียงแค่พุ่งสูงขึ้นไปและบดบังสายตาเอาไว้เท่านั้น คิดจะหนีหรือ ปกป้องเทพที่เสื่อมลงไปเป็นมารคือโทษมหันต์ เขาไม่อยากจะมีชีวิตแล้วจริงๆ 

 

 

“ขวางเขาไว้!” รัชทายาทฉางฉินสั่งการนักรบหน่วยติงเหม่ารอบๆ เสียงกร้าว เขาลงมืออย่างไม่ออมแรงอีกแล้ว สายพิณเล็กบางซัดออกไปไม่ขาดสาย และแทงทะลุปราณกระบี่แปลงเป็นคลื่นน้ำตรงจุดที่ไม่ได้ทุ่มเทสุดแรงนั่น 

 

 

ฝูชางท่องคาถา ฝักกระบี่มังกรทองก็วนรอบร่างด้านหลังไว้อย่างเร็ว แล้วขวางสายพิณทั้งหมดไว้ ทันใดนั้นขอบฟ้าก็มีแสงสว่างมากมายพุ่งลงมานับไม่ถ้วน  

 

 

“ปัง” เสียงม่านพลังตระกูลหวาซวีถูกทำลาย มีนักรบหน่วยอื่นมาแล้ว! 

 

 

สีหน้าของรัชทายาทฉางฉินย่ำแย่มาก คราวนี้ผลงานชั้นหนึ่งของเขาก็ไม่มีแล้ว นอกจากนี้เรื่องยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้วด้วย 

 

 

แสงรัศมีเทพมากมายลงมาราวกับพายุหิมะ จากนั้นรวมตัวกันในทันใด มหาเทพโกวเฉินระเบิดเสียงดังออกมา “จับตระกูลหวาซวีนั่นเอาไว้! องค์หญิงตระกูลจู๋อินจะต้องถูกเขาซ่อนไว้ในกระบี่แน่ๆ!” 

 

 

ตอนนั้นที่ฮูหยินเทพบูรพาพยายามไม่ให้ดับสูญ ไปเวียนว่ายตายเกิดมานับร้อยครั้งก็ยังไม่เป็นผล วิญญาณเทพดับสูญ เทพบูรพาปล่อยปราณกระบี่แปลงเป็นความมืดและแสงสว่าง ปกป้องคุ้มครองร่างเทพและวิญญาณเทพไว้ในกระบี่ไม้ท้อตระกูลหวาซวี เรื่องนี้เหล่ามหาเทพรุ่นเดียวกันอย่างพวกเขาต่างก็ได้ยินได้ฟังมาบ้าง คิดไม่ถึงว่ารุ่นต่อมาของเทพบูรพาเองก็ใช่วิธีเดียวกันในการปกป้อง น่าเสียดายที่เขาปกป้องผิดคน จึงไม่อาจเป็นเรื่องราวอันงดงามได้ 

 

 

ยังโชคดีที่เทพบูรพากับตระกูลจู๋อินอีกสองคนที่ร้ายกาจยังมาไม่ถึง เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องรีบสู้รีบจบเสีย! 

 

 

เวทมากมายนับไม่ถ้วนกับคาถาพันธนาการและอาวุธเทพหลากหลายอย่างถาโถมเข้าใส่ร่างเทพบุตรชุดขาวที่อยู่ใจกลางแสงรัศมีเทพอย่างไร้ความปรานีในทันที ตระกูลหวาซวีก็ดี โอรสจักรพรรดิสวรรค์ก็ดี หรือกระทั่งมหาเทพไป๋เจ๋อก็ดี ใครก็อย่าได้คิดจะคุ้มครองเทพที่เสื่อมลงไปเป็นเผ่ามารเลย นี่คือระเบียบของสวรรค์ 

 

 

ฝูชางปลดกระบี่ไม้มาถือไว้ในมือ ปราณกระบี่แปลงเป็นคลื่นน้ำกางกั้นอยู่ห่างจากร่างเขาไปหลายจั้ง สกัดการคุกคามของแสงรัศมีเทพมากมายทั่วทั้งฟ้าดินเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถสกัดไว้ได้หมด โลหิตซึมลงบนชุดนักรบสีขาว กระบี่ไม้ในมือสั่นไหวอย่างแรงราวกับกำลังจะปริแตก แต่กลับสงบอย่างคาดไม่ถึง ไม่มีเสียงอะไรแม้แต่นิดเดียว 

 

 

กำลังคิดอะไรน่ะ นางก็ยังคงไม่เชื่อฟังอย่างนี้ จะต้องออกมาแน่ 

 

 

เขาดีดปลายนิ้ว กระบี่ไม้พลันลอยออกไป  มันหมุนคว้างสูงขึ้นไป เหล่าเทพรู้สึกว่าเบื้องหน้าพลันมีแสงสีทองสว่างจ้าออกมาจนไม่สามารถจ้องมองมันได้ พลังเทพที่นุ่มนวลและไม่อาจต้านทานได้โถมเข้ามาราวกับลมบริสุทธิ์ กระบี่ไม้กลายเป็นรูปปั้นเทพขนาดใหญ่ที่เลือนรางรูปหนึ่ง มือทั้งสองประกบกัน องค์หญิงที่เสื่อมลงไปเป็นเผ่ามารอยู่ระหว่างฝ่ามือทั้งสอง เงาร่างสีขาวหิมะถูกแสงสว่างจ้าสาดส่องมาจนแลดูเลือนราง 

 

 

ปราณกระบี่แปลงเป็นเทพของตระกูลหวาซวี 

 

 

เทพชุดขาวปลดปล่อยปราณกระบี่แปลงเป็นคลื่นน้ำออกมาอย่างบ้าคลั่ง กระบี่วิเศษสีน้ำเงินกลับเข้าไปในมือเขา เขากุมกระบี่ยืนอยู่ในทะเลเมฆไม่ขยับ 

 

 

มหาเทพโกวเฉินโมโหมาก เทพตระกูลหวาซวีผู้นี้ที่เสียสติไปแล้ว ดูท่าคงคิดจะสู้ให้ถึงที่สุด! เขาสั่งเสียงเข้ม “นักรบหน่วยเจี่ยเซิน รีบไปฆ่าเทพที่ทรยศกฎสวรรค์นี่เสีย” 

 

 

เขาไม่ได้มีความอดทนที่จะมาเสียเวลาไปกับเทพรุ่นเยาว์เช่นนี้ เทพบูรพากับตระกูลจู๋อินทั้งสองคนอาจจมาถึงได้ทุกเมื่อ มหาเทพไป๋เจ๋อตาเฒ่าที่ไม่น่าเคารพนั่นก็เหมือนกัน เขาเองก็มีท่าทางไม่ยินดี รอให้พวกเขามาถึงทั้งหมดก่อน ถึงเวลานั้นจึงจะจัดการยากจริงๆ 

 

 

ตัวเขามักจะเป็นคนแรกที่ลงมือเสมอ เขาสะบัดแขนเสื้อ ราชรถเทพขนาดใหญ่พลันลงมาจากฟ้า ลูกธนูดอกหนาราวกับต้นขาขึ้นอยู่บนคันธนู มันกำลังจะปล่อยออกมา ทันใดนั้นท้องฟ้าที่เดิมมืดครึ้มนั้นก็พลันมืดครึ้มลงอีกหลายเท่า ลมพายุขนาดใหญ่จากโทสะที่บ้าคลั่งถาโถมกระหน่ำลงมา ร่างของเขาแทบจะถูกแช่แข็งอยู่กับที่ในพริบตา ค้างอยู่ในท่วงท่าเอียงคออย่างน่าขัน 

 

 

“เจ้าหนูต่ำช้าเลวทราม ใครใช้ให้เจ้าบังอาจมาลงมือกับตระกูลจู๋อิน?!” 

 

 

เสียงของมหาเทพจงซานดังราวกับฟ้าผ่าลงมาที่หัวใจของนักรบทุกคน คราวนี้แย่แล้ว ตระกูลจู๋อินที่ร้ายกาจอีกสองคนมาแล้ว ที่แท้บาดเจ็บหนักก็เป็นแค่ข้ออ้างจริงๆ เขาจงซานถูกปิดข่าวไว้ แล้วพวกเขารู้ได้อย่างไรกัน 

 

 

เงาร่างหนึ่งราวกับหิมะสีขาวพุ่งเข้ามา แล้วพุ่งไปยังด้านหน้าปราณกระบี่แปลงเป็นเทพขนาดใหญ่ ร่างเขาใหญ่โต ใบหน้าขรึมเย็นชาและขาวซีด เป็นมหาเทพจงซานจริงๆ 

 

 

ราวกับจะรู้ว่าบุตรสาวยังคงปลอดภัยดี มหาเทพจงซานจึงสะบัดแขนเสื้อ เกล็ดหิมะขนาดใหญ่แทบจะบดบังแผ่นดินทั้งหมดไป มังกรน้ำแข็งขนาดใหญ่พุ่งเข้าไปล้อมเหล่านักรบเอาไว้ ร่างทั้งร่างของเหล่าเทพทั้งหลายพลันถูกเหล่ามังกรน้ำแข็งรัดเอาไว้จนทำอะไรไม่ได้ รู้สึกว่ามังกรน้ำแข็งรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เหล่าบรรดาเทพที่พลังเบาบางต่างก็ถูกรัดเสียจนกระดูกแตก พวกเขาร้องโหยหวนออกมา กระทั่งรัชทายาทฉางฉินกับมหาเทพโกวเฉินเองก็ยังต้องร้องออกมา 

 

 

รูปปั้นขนาดใหญ่สีทองอร่ามพลันสลายไปราวกับสายน้ำ เงาร่างเพรียวบางสีขาวถูกลมพัดจนร่วงลงมาราวกับใบไม้ ทันใดนั้นก็มีเงาร่างสีเขียวอ่อนพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วอ้าแขนรับเสวียนอี่เอาไว้ แรงมหาศาลทำให้ต่างหูสีดำทั้งสองบนหูของเขาแกว่งไกวไม่หยุด นี่ก็คือองค์ชายน้อย 

 

 

เขาก้มหน้าลงมองน้องสาวตัวน้อยในอ้อมอก องค์หญิงที่เคยห่อหุ้มด้วยหิมะและน้ำค้างแข็ง บัดนี้ทั้งร่างกลับเต็มไปด้วยไอขุ่นมัว นางไม่สามารถโบยบินได้อีกแล้ว หัวใจที่แข็งราวกับหินเหล็กของเขากลับสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตามีประกายน้ำตาแวบผ่านไป เขากล่าวเรียกนางเสียงต่ำ “อาอี่ เจ้า…เหลวไหลจริงๆ” 

 

 

เสวียนอี่กลับเบนสายตาออก ก้มหน้าแล้วยิ้ม “พี่กับท่านพ่อมาได้อย่างไรกัน” 

 

 

พูดถึงตรงนี้ชิงเยี่ยนก็ระเบิดโทสะออกมา หลายวันมานี้เขาเกือบจะทำให้ตราประทับเทพขุนนางที่ข้อมือขวาพังหมดแล้ว นางไม่ยอมตอบเขาสักนิด เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ นางยังคิดจะเอาชีวิตไปทิ้งเงียบๆอีกหรือ ที่บ้านมีมหาเทพหนึ่งคน ทั้งยังมีองค์ชายอีกหนึ่ง กลับต้องให้องค์หญิงน้อยคนหนึ่งมาแบกรับเรื่องราวทุกอย่างอยู่ด้านนอก ตระกูลจู๋อินจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน 

 

 

เขาเงื้อมือขึ้นอยากจะตีนาง แต่เกล็ดบนร่างของนางถูกไอขุ่นมัวฉีกออกหมดแล้ว เขาจะลงมือได้อย่างไร 

 

 

ไกลออกไป ราชสีห์เก้าเศียรสีดำตัวหนึ่งอ้อมพายุหิมะมาด้วยตัวสั่นเทา ดวงตาทั้งสิบแปดมีน้ำตาไหลพรากตลอด มันร้องแล้วพุ่งเข้าไปหาฝูชางอย่างบ้าคลั่ง แล้วไปรับร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของเขาเอาไว้ 

 

 

ชิงเยี่ยนสูดลมหายใจเข้า “ราชสีห์เก้าเศียรตัวนี้ไปที่เขาจงซาน และเอาจดหมายของฝูชางไปด้วย” 

 

 

มิน่าเล่า ฝูชางถึงได้ขี่ลมเดินทาง เจ้าราชสีห์ตัวนี้โง่งมมาตลอด แต่กลับมาฉลาดในเวลาที่ไม่ควรฉลาดอย่างนี้ 

 

 

เสวียนอี่ส่ายหน้า ไม่กล่าวอะไร 

 

 

ไกลออกไปมีแสงรัศมีเทพมากมายนับไม่ถ้วนแผ่ลงมา มีนักรบจากหน่วยอื่นๆ รีบตามมาที่นี่แล้ว ชิงเยี่ยนลูบเรือนผมของนาง แล้วจับนางโยนลงไปบนหลังของราชสีห์เก้าเศียรเบาๆ จากนั้นก็หันหลังเข้าไปใกล้แสงรัศมีเทพเหล่านั้นทันที