ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 1392 – รูปแบบกำราบอสูร รูปแบบสังหารอสูร ตระกูลเฉ่และผู้ปกครองฝั่งซ้าย

 

ชิงสุ่ยไม่แปลกใจเลยที่ตะเกียงร้อยวิญญาณจะไร้ผล ระดับ 6 ของตะเกียงร้อยวิญญาณนั้นถือว่าต่ำเกินไป แม้ว่าจะเพิ่มขึ้น 1 ระดับ แต่มันก็ยากที่จะเกิดผลใดๆ สิ่งเหล่านี้เป็นของที่ล้ำค่าและยากที่จะเพิ่มระดับของพวกมัน

 

โชคดีที่ชิงสุ่ยมีดินแดนหยกยุพราชอมตะ มิฉะนั้นแม้ว่าเขาจะมีสมบัติเหล่านี้ มันก็ไม่มีทางใดที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากพวกมันได้ ยกเว้นถ้าเขาสามารถหาบางสิ่งบางอย่างที่สามารถเพิ่มระดับของพวกมันได้โดยตรง

 

ชิงสุ่ยพอใจมาก ในอนาคตหลังจากที่ตะเกียงร้อยวิญญาณยกระดับขึ้น มันอาจสร้างความประหลาดใจให้เป็นอย่างมาก ตอนนี้พลังของวิหคเพลิงอยู่ที่ 22 ล้านสุริยาและเพียงพอต่อการจัดการกับสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว

 

ด้วยความรู้สึกแปลกใจและความสุขที่ยิ่งใหญ่ ชิงสุ่ย เริ่มต้นการเพาะปลูกของเขา!

 

รูปแบบ!

 

ในการต่อสู้ครั้งก่อน ชิงสุ่ยได้เก็บเกี่ยวประสบความสำเร็จการใช้รูปแบบอีกครั้ง หากเป็นการสู้แบบตัวต่อตัว รูปแบบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์มากนัก ชิงสุ่ยมีทักษะย่างก้าว 9 เทวาและคนในตระกูลก็เริ่มฝึกฝนมันตั้งแต่ยังเยาว์วัย นอกจากนี้พวกเขาทุกคนได้เรียนรู้ถึงรูปแบบไปด้วยเช่นกัน

 

รูปแบบแปดทิศเก้าเทวา!

 

รูปแบบแปดทิศเก้าเทวาจะสามารถปรับใช้ให้เข้ากับรูปแบบอื่นๆได้ เขาเคยสอนรูปแบบนี้กับพวกเขาเมื่อนานมาแล้ว เช่นเดียวกับรูปแบบเบญจธาตุ มันเป็นการผสมผสานกันของรูปแบบพันธนาการและรูปแบบสังหาร

 

หลังจากที่ชิงสุ่ยบรรลุถึงเคล็ดเสริมสร้างบรรพกาลขั้นที่ 8 เขาพัฒนาขึ้นอย่างมากในทุกๆด้านรวมถึงการสร้างรูปแบบ เขาตระหนักว่าตอนนี้เขาสามารถเรียนรู้รูปแบบได้หลากหลายชนิด

 

รูปแบบสยบอสูร รูปแบบสังหารอสูร……

 

รูปแบบเหล่านี้ค่อนข้างดี แต่ข้อกำหนดเบื้องต้นยุ่งยากและมีความเข้มงวดเรื่องตำแหน่ง ดังนั้นเพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการเข้าใจอย่างถ่องแท้ ฝึกตนให้มาก และหมั่นฝึกฝนสมอง

 

ชิงสุ่ยสามารถมองเห็นภาพการใช้พวกมันได้ภายในใจหรือลองพยายามคิดภาพของมันด้วยตัวเอง

 

เขาทำการฝึกฝนและศึกษาสิ่งอื่นๆไปด้วย โดยไม่รู้ตัวมันก็ถึงเวลาที่ต้องออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะแล้ว  เขาได้เรียนรู้รูปแบบไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกถึงพลังของรูปแบบเหล่านี้ว่าเป็นอย่างไร

 

ชิงสุ่ยเสร็จสิ้นการทำยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4 เขาสามาถแจกจ่ายให้กับคนรอบตัวกินเพียงปีละเม็ดเท่านั้น นี่เป็นเพราะคนๆหนึ่งจะกินได้แค่ปีละเม็ด อีกทั้งยังมียาเม็ดบรรพกาลแรกเริ่มเช่นกัน

 

ชิงสุ่ยและอี่หวงกู่หวู๋บรรลุถึงระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจแล้วจึงไม่สามารถใช้มันได้อีกต่อไป มันช่างน่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถใช้ยาเม็ดดีๆแบบนี้ได้ ชิงสุ่ยใส่ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4 และยาเม็ดบรรพกาลแรกเริ่มซึ่งได้มาจากการปรุง ในอนาคตความต้องการของสิ่งเหล่านี้จะสูงมาก

 

 

ในคืนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกราวกับท้องฟ้าดูเปลี่ยนไป เขาสามารถผ่อนคลายลงและจิบชาได้อย่างสบายใจ เขาไม่ต้องกังวลเลยว่าตระกูลเฉ่จะมาแก้แค้น

 

รอบหอคอยจักรพรรดิ บริเวณอื่น และตามท้องถนนใกล้หอคอยจักรพรรดิต่างแออัดไปด้วยการสัญจร ร้านอาหารและสถานที่ต่างๆเต็มไปด้วยผู้คน

 

ชิงสุ่ยรู้สึกว่าตระกูลเฉ่น่าจะย้ายออกไปแล้ว ตอนนี้เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว มันก็ไม่มีทางเลือกใด แม้แต่กลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

 

เทียนฮี่เรินโม่นั่งอยู่ตรงข้ามชิงสุ่ยและดื่มชาร่วมกับเขา

 

“น้องชาย เจ้าไม่ได้เป็นกังวลเลยงั้นหรือ?” เทียนฮี่เรินโม่มองไปที่ชิงสุ่ย มันเป็นการมองที่ยากจะหยั่งถึงราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เขาไม่รู้ว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรอยู่

 

“ทำไมจะต้องไปกังวล? ผู้อื่นต่างหากที่ต้องเป็นกังวล” ชิงสุ่ยยิ้มและพูดอย่างผ่อนคลายมาก

 

เมื่อเทียนฮี่เรินโม่เห็นว่าชิงสุ่ยมีความมั่นใจมากแค่ไหน เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นอีกนิด นี่เป็นความรู้สึกที่แปลก ในอดีตเขาจะรู้สึกแบบนี้ก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสในตระกูลของเขา แต่ความรู้สึกนั้นเริ่มจางหายไปตามกาลเวลา เขารู้สึกถึงมันอีกครั้งเมื่อคิดขึ้นมา

 

ทันใดนั้นผู้ดูแลของหอคอยจักรพรรดิก็เดินเข้ามาหาพวกเขาและกล่าวว่า “ท่านหมอ มีใครบางคนให้ข้านำสิ่งนี้มาให้ท่าน”

 

ชิงสุ่ยได้ให้คำแนะนำแก่ชายวัยกลางคนไปก่อนหน้านี้ในการจัดการปัญหาเล็กๆน้อยๆของหอคอยจักรพรรดิ เขาคือผู้ที่ได้รับการพิจารณาให้เป็นพ่อบ้าน คนผู้นี้เดิมทีอยู่ในระดับปราณเทวะกษัตริย์ขั้นสูงสุด แต่หลังจากชิงสุ่ยช่วยเพิ่มพลังของเขาขึ้นไปถึงระดับปราณนักบุญพิโรธ เขาก็อุทิศตนและจงรักภักดีต่อชิงสุ่ยอย่างหมดใจ

 

“มันคือใคร?” ชิงสุ่ยหยิบขึ้นมาและถามเบาๆ

 

“คนบางคนจากตระกูลหลิงฮู” ชายคนนั้นพูดอย่างจริงจัง

 

“เอาหล่ะ ข้าจะรับมันไว้”

 

ชายคนนั้นลงไป ชิงสุ่ยเปิดแผ่นหนังสัตว์อสูรออก หลังจากอ่านแล้วเขาก็ส่งให้กับเทียนฮี่เรินโม่ทันที นี่เป็นจดหมายที่หลิงฮูยูส่งถึงเขา

 

มันเขียนว่าผู้ปกครองฝั่งซ้ายของกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำได้หายตัวไปและกลุ่มเมฆาสะท้านนภาอาจไม่สามารถหยุดพวกเขาเอาไว้ได้ชิงสุ่ยควรระมัดระวังตัว ตระกูลหลิงฮูและผู้ปกครองฝั่งซ้ายแตกต่างออกไป แม้ว่าเขาจะต้องการช่วยเหลือ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถทำได้

 

“พวกเราควรจะทำอย่างไร?” เทียนฮี่เรินโม่วางแผ่นหนังสัตว์อสูรลงและมองไปที่ชิงสุ่ย

 

ตอนนั้นเองหยุนยี่เจี้ยนก็เดินผ่านมา เขาเห็นแผ่นหนังสัตว์อสูรก่อนชิงสุ่ยและเทียนฮี่เรินโม่ เขากล่าว “ผู้อาวุโสและคนอื่นๆได้เตรียมตัวรอกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำเรียบร้อยแล้ว ภายใน 15 นาที ตระกูลเฉ่และผู้ปกครองฝั่งซ้ายจะมาถึง น้องชายชิงสุ่ย พวกเราทำยังไงกันดี?”

 

“ข้าคิดว่ากลุ่มเมฆาสะท้านนภาจะสามารถหยุดพวกเขาเอาไว้ได้” ชิงสุ่ยกล่าวเบาๆและไม่ได้มองหยุนยี่เจี้ยน

 

ใบหน้าของหยุนยี่เจี้ยนเปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนหน้านี้เขาได้กล่าวด้วยความมั่นใจและรับประกันว่าพวกเขาจะสามารถหยุดกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำได้ เขาไม่ได้คาดคิดว่าผู้ปกครองฝั่งซ้ายจะสร้างปัญหาได้มากขนาดนี้และระดมพลจำนวนมากกลับมาเพื่อขัดขวางเขา

 

ชิงสุ่ยมองหยุนยี่เจี้ยนที่ดูไม่ค่อยดี เขารู้ว่าพวกเขาไม่ได้มีเล่ห์กลอะไร สถานการณ์นี้อยู่ในความคาดคิดของชิงสุ่ย เขาไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีและเขามักจะนึกถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

 

โชคดีที่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดวิหคเพลิงได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กลายเป็นวิหคเพลิงนรกานต์ สัตว์อสูรทรงพลังระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ อสูรอมตะนิรันดร์

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะเผชิญหน้ากับพวกมัน!” ชิงสุ่ยมองไปที่หยุนยี่เจี้ยนอย่างสงบและกล่าว

 

“ตกลง เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะเป็นคนแรกที่ลงมือ” หยุนยี่เจี้ยนเลียริมฝีปากและตัดสินใจครั้งใหญ่

 

ชิงสุ่ยยิ้ม “ผู้อาวุโสบอกให้ท่านเชื่อฟังข้า พวกท่านสามารถช่วยดูแลหอคอยจักรพรรดิได้เช่นเดียวกับภรรยาและคนอื่นๆ”

 

หลังจากที่รู้สึกถึงอารมณ์อันพุ่งพล่านในตัวหยุนยี่เจี้ยนแล้ว ชิงสุ่ยก็ไม่มีอะไรต้องไปขัดเขา จากเรื่องทั้งหมดกลุ่มเมฆาสะท้านนภาแตกต่างกันมากจากกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำ หากกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำต้องการหยุดยั้งกลุ่มเมฆาสะท้านนภา มันก็พอเป็นไปได้ ในอดีตที่ผ่านมากลุ่มเมฆาสะท้านนภาคิดว่าผู้ปกครองฝั่งซ้ายเป็นเพียงผู้เดียวที่เกี่ยวข้องเท่านั้น พวกเราสามารถหยุดผู้ปกครองฝั่งซ้ายได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากคนจากกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำเข้าร่วมด้วย มันก็จะเกินกว่ากำลังของพวกเขา

 

ในที่สุดมันก็จบลงด้วยการที่กลุ่มเมฆาสะท้านนภาต้องหยุดยั้งกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำ ส่วนชิงสุ่ยต้องเผชิญกับผู้ปกครองฝั่งซ้ายและตระกูลเฉ่…

 

เวลาเพียง 15 นาทีนับว่าเพียงพอแล้วสำหรับชาสักถ้วย ชิงสุ่ยรินชาร้อนๆลงไปในถ้วย อุณหภูมิของมันจะไม่ส่งผลต่อเขา แต่การดื่มด่ำชาเป็นช่วงเวลาที่ดี

 

ชิงสุ่ยยกถ้วยชาของเขาขึ้นและมองไกลออกไป พวกเขาอยู่บนชั้นที่สูงที่สุดและมีทัศนวิสัยที่ดี ทั้งเทียนฮี่เรินโม่และหยุนยี่เจี้ยนไม่สามารถสงบใจลงได้ พวกเขารู้ดีว่าตระกูลเฉ่และผู้ปกครองฝั่งซ้ายเป็นอย่างไร

 

ชิงสุ่ยรู้สึกสงบมาก ถ้าตระกูลเฉ่และผู้ปกครองฝั่งซ้ายกำลังจะมาถึง มันก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้พวกเขาได้กลับไปอีก คนจากกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำซึ่งมีส่วนร่วมในเรื่องนี้อาจลืมเกี่ยวกับการกลับไปเช่นกัน

 

อย่างรวดเร็ว เมื่อชิงสุ่ยกำลังดื่มชาอยู่ ปรากฏจุดดำๆหลายสิบอันขึ้นจากระยะไกล จุดดำนี้รวดเร็วมากและในพริบตามาถึงพวกเขา ชิงสุ่ยจิบชาครั้งสุดท้าย

 

ฝ่ายตรงข้ามหลายคนเห็นว่าชิงสุ่ยยังคงดื่มชาอยู่และรู้สึกประหลาดใจมาก ชายหนุ่มคนนี้แสดงออกอย่างสงบแม้จะเข้าใกล้ความตาย เขาคิดว่าจะได้อยู่ยงคงกระพันงั้นหรือ?

 

แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่หลายคนคิด ไม่มีใครพูดมันออกมา!

 

ชิงสุ่ยถือถ้วยชาเอาไว้และประเมินจำนวนคนซึ่งใกล้เคียง 100 คน ทุกคนขี่สัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่แตกต่างสายพันธุ์กัน

 

กลิ่นอายของฝ่ายตรงข้ามรุนแรงมาก มันมาจากผู้ฝึกตนระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจหลายสิบคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าผู้นำ สายตาของชิงสุ่ยจ้องมองไปที่ชายชราผู้อยู่ตรงกลาง

 

ชายชราลำตัวตั้งตรงและดูชราเพียงเล็กน้อย เสื้อผ้าของเขาปักรูปวิหคมรกต มันทำให้เขาโดดเด่นมาก ชายชราผู้นี้ดูสงบและสายตาของเขาอบอุ่นมาก อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยสามารถบอกได้ทันทีว่าเขาเป็นผู้ปกครองฝั่งซ้าย

 

มันรู้สึกแปลกๆ เขาเป็นเหมือนแสงไฟจากหิ่งห้อย แต่ก็ส่องสว่างกว่าแสงดวงอาทิตย์ กลิ่นอายของสงบนิ่งมาก นั่นดูเหมือนมันผสานเข้ากับสวรรค์และโลกอย่างสมบูรณ์ มันทำให้ยากสำหรับผู้ที่จะหาช่องโหว่เพื่อโจมตีเขา

 

มีชายสี่หรือห้าคนข้างกายชายชราและคนเหล่านี้มีพลังมากกว่าสัตว์อสูรที่พวกเขาขี่อยู่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าชายชรา แต่ก็ยังถือว่าน่ากลัว คนเหล่านี้เป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งจากตระกูลเฉ่

 

คนส่วนมากด้านหลังเป็นผู้ฝึกตนระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ แม้ว่าบางคนจะอยู่แค่ระดับปราณจักรพรรดิ คนเหล่านี้ก็เป็นเสาหลักของตระกูลเฉ่ ถ้าปราศจากคนเหล่านี้ ตระกูลเฉ่คงไม่อาจคงอยู่

 

“พวกเจ้ายังคงที่จะมา” ชิงสุ่ยยิ้มให้พวกเขาแล้วค่อยๆก้าวขึ้นไปบนอากาศเบื้องหน้า

 

“เจ้าช่างโดดเด่น แต่น่าเสียดายที่เจ้าโดดเด่นมากเกินไป ถ้าเจ้าอยู่ต่อไปได้สัก 100 ปีจะไม่มีใครในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำที่จะสามารถขัดขวางเส้นทางของเจ้าได้” ชายชราคนหนึ่งที่อยู่ถัดจากชายผู้สวมเสื้อวิหคมรกตก้าวมาข้างหน้า

 

“100 ปี? มันช่างนานแสนนาน ข้าไม่สามารถรอได้” ชิงสุ่ยส่ายหัว

 

“เจ้าทำให้ข้าแปลกใจ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำได้อย่างไรถึงได้ดูสงบเช่นนี้ มันเป็นเพราะเจ้าบรรลุระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 2 งั้นหรือ?” ชายชรามองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความรู้สึกประหลาดใจมาก

 

“ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 2 ข้าได้เข้าถึงรูปแบบอาชาย่ำธาราโลหิตทั้งหมดด้วยตนเอง เจ้าไม่คิดว่าข้าแตกต่างจากผู้อื่นที่อยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 2 หรือ?” ชิงสุ่ยยิ้มให้ชายชราที่งุนงง

 

“เอาหล่ะ ข้ามีนามว่าเฉ่ชือ อย่างน้อยที่สุดข้าจะช่วยให้เจ้ารู้ว่าตายด้วยน้ำมือของใคร”

 

“เจ้ากำลังหวาดกลัว” ชิงสุ่ยมองไปที่ชายชราชื่อเฉ่ชือและกล่าว

 

“หวาดกลัว? มีอะไรที่ข้าจะต้องหวาดกลัว? พวกเรามีกันมากมายและสามารถฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย” น้ำเสียงของเฉ่ชือหยิ่งผยองเล็กน้อย ความหยิ่งผยองมาจากบรรยากาศของตระกูลที่ยิ่งใหญ่

 

“ทำเจ้าต้องพาคนมาด้วยมากมาย? มันแสดงให้เห็นว่าเจ้าหวาดกลัว เจ้ากล้าที่จะเผชิญหน้ากับข้าตัวต่อตัวหรือไม่?”

 

ชิงสุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอันกล้าหาญ เสียงของเขาดังออกไปไกล คนที่อยู่ในระยะ 100 ลี้ ทุกคนจะได้ยินสิ่งที่เขาพูด เรื่องนี้ทำให้เฉ่ชือสีหน้าเปลี่ยนไป

 

เมื่อมีสิ่งผิดพลาด มันก็จะเกิดอะไรแปลกๆ ชิงสุ่ยแสดงความกล้าหาญและทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่สบายใจ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้เห็นชายชราผู้สวมชุดวิหคมรกต ชายชราผู้นี้ก็รู้สึกสบายใจ

 

“ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการ ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้งถึงพลังของข้า” เฉ่ชือนำค้อนขนาดใหญ่สองอันออกมาและเดินไปหาชิงสุ่ย

 

“ตกลง นี่เป็นสิ่งที่บุรุษพึงกระทำ เจ้าดีกว่าเฉ่ฉีมาก ก่อนหน้านี้คนกลุ่มนั้นพยายามล้อมข้าไว้และรุมทำร้าย พวกเขากล้าพูดว่ามันคือแบบแผนของตระกูลขุนนาง เจ้าช่างดีกว่าเขา ถ้าทุกคนในตระกูลเฉ่เป็นเช่นเจ้า พวกเราทุกคนก็คงไม่ต้องมาเผชิญหน้ากันเยี่ยงนี้ พวกเขาหยิ่งยโสเกินไปและขี้ขลาดตาขาว” ชิงสุ่ยแสดงความคิดเห็นกับเฉ่ชืออย่างจริงจัง ในขณะที่เหลือบมองบางคนจากตระกูลเฉ่