ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 180 ก้าวสู่อันดับแรกบนประกาศ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ส่องแสงเจิดจริสบนโลกหล้า นำมาซึ่งความสว่างไสวและร้อนแรงที่ชีวิตปรารถนา ทว่ามิได้จัดจ้าจนบาดตาเสียทีเดียว แสงของอาทิตย์อัสดงไม่มีอันใดแตกต่างจากแสงแรกแห่งอรุโณทัย แม้จะปรากฏออกมาช้ากว่า แต่ก็สุกใสเช่นกัน

เฉินฉางเซิงเริ่มบำเพ็ญเพียรหลังกลับจากเมืองซีหนิงมายังจิงตู นัยน์ตาทอดมองพระอาทิตย์กำลังจะตกที่บรรพตทิศประจิม* ขณะนั้นยังไม่ทันเริ่มก้าวเข้าสู่ทางเดินขึ้นภูเขา ทว่าสุดท้ายกลับขึ้นนำผู้คนจำนวนมากที่ออกตัวก่อน ขึ้นนำแม้กระทั่งโก่วหานสือ ทั้งเป็นคนแรกที่เหยียบบนยอดเขาอีกด้วย

“เขาคืออันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งจากการสอบใหญ่ในปีนี้หรือ?”

“ใช่เฉินฉางเซิงผู้นั้นจริงหรือ?”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีตรงไหนผิดพลาด?”

ผู้คนนอกวังมองเห็นเหล่าหนุ่มน้อยแห่งสำนักฝึกหลวงค่อยๆ เดินเข้ามาบนถนนเสินอันฉาบฉายด้วยแสงตะวันย่ำสนธยา ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ บนใบหน้าเต็มไปด้วยเค้ารอยความเหลือเชื่อ บางคนถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

หลังการชุมนุมไม้เลื้อย เนื่องจากคำมั่นสัญญาการสมรสกับสวีโหย่วหรง ทำให้เฉินฉางเซิงกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนในนครจิงตู เขาในตอนนั้นยังตกเป็นเป้าหมายของการกลั่นแกล้งและสายตาดูแคลนจากผู้คนนครจิงตู ถึงขนาดการตั้งสำนวนให้เขาโดยเฉพาะ

คางคกริอาจคิดลิ้มชิมเนื้อหงส์ บรรจงเพ้อฝันเกินความจริง*

วันที่เปลี่ยนรายชื่อใหม่บนประกาศชิงอวิ๋น ใต้เท้ามุขนายกประกาศแทนเฉินฉางเซิงว่าจะชิงอันดับหนึ่งของการสอบใหญ่ ไม่มีใครเลยมองเป็นเรื่องจริงจัง กลับกลายเป็นเรื่องตลกขบขันน่าไม่อายเสียด้วยซ้ำ ไม่มีใครคิดว่าเขาจะทำได้ ต่างรอชมหลังจบการสอบใหญ่แล้ว หน้าตาของเฉินฉางเซิงที่คว้าน้ำเหลวกลับบ้านมือเปล่าจะเป็นเช่นไร

การสอบใหญ่ปีนี้คึกคักยิ่ง สิ่งที่บรรดาผู้คนให้ความสนใจหลังจบการสอบใหญ่มากที่สุดคือ การเยาะเย้ยถากถางและกลั่นแกล้งเฉินฉางเซิงที่หลงละเมอเพ้อพกจนสาแก่ใจ ทว่าใครเลยจะคาดคิด ฝันเฟื่องกลับกลายเป็นเรื่องจริง เพ้อฝันสามารถบันดาลให้ฟ้าเปิด หนุ่มน้อยแห่งสำนักฝึกหลวงที่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้ายังบำเพ็ญเพียรไม่เป็นด้วยซ้ำ ทว่าวันนี้กลับคว้าอันดับหนึ่งไป!

อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ปีนี้หาใช่โก่วหานสือ มิใช่คนใดคนหนึ่งในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ ไม่ใช่เทียนไห่เซิ่งเสวี่ย ไม่ใช่เจ๋อซิ่ว ไม่ใช่จวงห้วนอวี่ และไม่ใช่สานุศิษย์ของสำนักต้นไหว

แต่เป็นเฉินฉางเซิง

ไม่มีผู้ใดยินดีเชื่อผลลัพธ์เช่นนี้ แต่มันคือความจริง บรรดาผู้คนจำนวนมากโดยเฉพาะคนที่หัวเราะเยาะหยันไม่จบไม่สิ้นก่อนเริ่มการสอบใหญ่พลันรู้สึกว่าข้างแกมร้อนลวก ถึงกับรู้สึกปวดร้าวด้วยซ้ำ

แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง ทว่าผู้คนยังคงรับเรื่องนี้ไม่ได้ ยังคงไม่เข้าใจ ความสงบเงียบภายนอกและภายในของพระราชวังหลีถูกโจมตีด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ขนานใหญ่ เรื่องราวการประลองในการสอบใหญ่ถูกโหมกระพือแพร่สะพัดด้วยถ้อยวจีราวกับน้ำไหลไฟดับ

ในระยะเวลาอันสั้น ถนนเสินทั้งสองฝั่งรวมถึงภายนอกและภายในของพระราชวังจู่ๆ ก็เงียบลงอย่างมาก แล้วก็ดังลั่นขึ้นมา

ไม่นึกเลยว่าเฉินฉางเซิงจะบรรลุขั้นทะลวงอเวจีระหว่างประลองในการสอบใหญ่? ทั้งยังเกิดขึ้นขณะประลองกับโก่วหานสืออยู่? นี่มันเป็นไปได้อย่างไร! ถ้าดูตามระดับความสามารถแต่เดิมของเฉินฉางเซิง วันนี้ที่เขาสามารถได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งมันก็มากพอกับคำว่าสีสันแห่งความมหัศจรรย์แล้ว เขายังบรรลุขั้นบำเพ็ญเพียรระหว่างต่อสู้กับโก่วหานสืออีก นี่ถือเป็นสีสันที่ฉูดฉาดถึงขีดสุด

บรรลุขั้นทะลวงอเวจีในอายุสิบห้าปี? รู้หรือไม่นี่หมายความว่าอย่างไร?

ความสำคัญของเรื่องนี้แทบจะเทียบเท่าการได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งจากการสอบใหญ่!

แสงตะวันสาดส่องบนถนนเสิน เงาร่างของเฉินฉางเซิงทอดยาว

สองฝั่งของถนนเสิน มีบรรดาสำนักมากมายภายใต้การควบคุมของพระราชวังหลี ด้านนอกเสาหินเบื้องหน้ากอปรด้วยไพร่ฟ้าคณานับ อีกทั้งใต้เงาร่มไม้ ยังมีบุคคลสำคัญมากมายยืนเรียงอยู่

ไม่ว่าใครที่มองดูหนุ่มน้อยผู้ยืนอยู่บนถนนเสินคนนั้น ก็ยากที่จะปกปิดความตกตะลึงบนใบหน้า

ซูม่ออวี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น ถูกเข็นโดยศิษย์ร่วมสำนักจวนราชวังหลีบริเวณใต้ร่มเงาต้นไม้

เขามองดูเฉินฉางเซิงพลางนึกถึงสิ่งที่ตัวเองพูดกับเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน เกิดอารมณ์ฟุ้งซ่านสับสนขึ้นมา

เฉินฉางเซิงมองไปยังซูม่ออวี๋ พยักหน้าทักทายเล็กน้อย เนื่องจากสายนับร้อยมองมาที่ตน จึงไม่สะดวกรั้งกายพูดคุย เขาเพียงใช้สายตาถามไถ่ว่าบาดแผลของเขาเป็นอย่างไรบ้าง ซูม่ออวี๋แสดงท่าทีว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แล้วทักทายเขาอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

เฉินฉางเซิงหยุดเดิน ตอบรับด้วยความสงบนิ่ง

บรรดาสานุศิษย์ที่ทดสอบเสร็จเรียบร้อยส่วนใหญ่ยังมิได้แยกย้ายกลับ พวกเขามองดูเฉินฉางเซิงเช่นกัน แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีท่าทางสง่างามเช่นเดียวกับซูม่ออวี๋ พวกเขาล้วนมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก

จวงห้วนอวี่นั่งอยู่ในรถม้าของสำนักเทียนเต้า เปิดมุมม่านและมองไปยังเงาของชายหนุ่มที่กำลังเดินไปยังด้านนอกของพระราชวังหลีผู้มีสายตานับไม่ถ้วนตอกตรึงบนตัวเขา บนใบหน้าขาวซีดซ่อนเร้นความดึงดันไว้ไม่มิด

ศิษย์ทั้งสี่แห่งสำนักต้นไหวที่ยึดถือจงฮุ่ยเป็นหลัก ยืนอยู่ ณ มุมตะวันตกเฉียงเหนือในห้องอนุสาวรีย์ของพระราชวังหลี มองไปยังเฉินฉางเซิงที่อยู่ไกลๆ บนใบหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยกระแสโทสะที่ข่มกลั้นไว้ไม่อยู่

ไม่ว่าพวกเขาจะมองเฉินฉางเซิงแล้วไม่พอใจหรือไม่ยอมรับแค่ไหน สุดท้ายก็เหมือนเป็นเพียงความรู้สึกที่แหว่งวิ่น ขาดอะไรรองรับไปเสียดื้อๆ เพราะนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป รายนามสีสันฉูดฉาดที่เคยปรากฏอยู่บนประกาศชิงอวิ๋นเหล่านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินฉางเซิงก็จะจางลง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังหมดสิทธิ์ในการเปรียบเทียบกับเฉินฉางเซิงอีกด้วย

ชื่อของพวกเขาเคยถูกจารึกในส่วนบนของประกาศชิงอวิ๋น หลังจากนี้ก็คงยังจะมีอยู่ต่อไป ส่วนชื่อของเฉินฉางเซิงที่ไม่เคยปรากฏบนประกาศชิงอวิ๋น หลังจากนี้ก็จะไม่ปรากฏอีกเช่นกัน

ลั่วลั่วในประกาศชิงอวิ๋นเลื่อนจากที่เก้าเป็นที่สอง สวีโหย่วหรงได้ที่หนึ่งของประกาศชิงอวิ๋น ชิวซานจวินก็เช่นกัน ประกาศชิงอวิ๋นเปลี่ยนลำดับแบบกะทันหันถึงสามครั้ง เรื่องนี้ถึงกับทำให้ทั้งต้าลู่ตกตะลึง

สิ่งที่เฉินฉางเซิงทำได้ ยิ่งเป็นเรื่องคาดไม่ถึง

เขาไม่เคยเข้ามาอยู่บนประกาศชิงอวิ๋น ปีนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามา เพราะเขาบรรลุขั้นบำเพ็ญเพียรไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะเข้ามาอยู่ในรายชื่อ ก็ต้องไปอยู่บนประกาศเตี่ยนจินอยู่ดี เหมือนกับชิวซานจวินและโก่วหานสือในปัจจุบัน

หรืออีกนัยหนึ่งคือ การบำเพ็ญเพียรของเขาข้ามขั้นของประกาศชิงอวิ๋นไปแล้ว

จากคนธรรมดาที่ไม่เคยบำเพ็ญเพียร เริ่มบำเพ็ญเพียร ไม่เคยมีอยู่บนรายนามของประกาศชิงอวิ๋น ปรากฏตัวครั้งแรกต่อหน้าคนทั้งโลก ก็พุ่งทะยานสู่ประกาศเตี่ยนจินได้เลย ใต้หล้าเคยมีบุคคลเช่นนี้มาก่อนหรือไม่?

ผู้คนภายในและนอกพระราชวังหลีขบคิดด้วยความตกตะลึงและวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุดหย่อน

บางคนนึกขึ้นมาได้อย่างเลือนรางว่าหลายปีก่อน หวังจือเช่อก็เคยทำเรื่องคล้ายแบบนี้

……

……

เฉินฉางเซิง ทั้งสามคนเดินออกจากพระราชวังหลี ฝูงชนไหลเทเข้ามา

จู่ๆ เกิดลมพัดแรง สกัดกั้นกลุ่มคนเหล่านั้นไว้ด้านนอก

จินอวี้ลวี่มือกำบังเหียน สีหน้าราบเรียบไร้คลื่น มองไปยังฝูงชนที่กำลังตะโกนชื่อเฉินฉางเซิงอย่างไม่หยุดยั้ง ทว่าเขากลับแสดงท่าทีอย่างชัดเจน ใครกล้าเข้ามาใกล้อีก นั่นคือความตาย

พระราชวังหลีในยามพลบค่ำ เพราะเฉินฉางเซิงจึงเกิดเสียงอื้ออึง แม้กิตติศัพท์ของจินอวี้ลวี่จะสามารถสั่นสะเทือนสยบเหล่าฝูงชนไม่ให้เข้าใกล้ หากแต่ไม่อาจสกัดกั้นสายตาและเสียงเหล่านั้นได้

สายตาตกตะลึงสงสัยสืบสาวนับพันคู่ รวมกันแล้วร้อนแรงแผดเผายิ่งกว่าแสงตะวัน แม้กระทั่งเฉินฉางเซิงยังรู้สึกว่าเสื้อของตัวเองเริ่มลุกไหม้ ข้างแก้มเจ็บปวดเป็นระยะๆ

“เฉินอันดับหนึ่ง! เฉินอับดับหนึ่ง!”

“ขอเชิญเฉินอับดับหนึ่งมาพักผ่อนหย่อนใจที่โรงเตี๊ยมของข้าน้อย”

“เฉินอันดับหนึ่ง ช่วงเวลาทอง ขอเชิญมาลิ้มลองสุราให้อิ่มหนำสำราญ เถ้าแก่ของข้าน้อยมีสุราหวงโจวจุ้ยมามอบให้!”

“คุณชายถัง นานมากแล้วที่ท่านไม่ได้แวะเวียนไปเยี่ยมเยือนบุตรีข้าน้อย วันนี้เป็นวันดี จะปล่อยให้ผ่านไปอย่างน่าเสียดายได้อย่างไร…”

เสียงอื้ออึงมากมายจากฝูงชนเข้าไปในหูของทั้งสามคนตลอดเวลา สถานการณ์ยิ่งมายิ่งคึกคัก บางคนมิได้ใส่ใจสายตาอันเย็นเยือกของจินอวี้ลวี่อีกต่อไป ต่างขยับเขยื้อนมาเบื้องหน้า สตรีใจกล้าบางนางถึงกับเอามือไปลูบไล้บนตัวของถังซานสือลิ่วไม่หยุดหย่อน เกิดความวุ่นวายทั่วทุกสารทิศ

เฉินฉางเซิงได้อันดับหนึ่งของการสอบใหญ่ แน่นอนไม่นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอันใด ไม่ทราบว่ามีกี่คนในจิงตูเสียเงินไปเพราะเขา แต่การแสดงออกท่าทางและอารมณ์ความรู้สึกเช่นนั้นทั้งหมดล้วนปรากฏไปแล้วตั้งแต่เกิดปาฏิหาริย์ดังกล่าวขึ้น การสู้รบประมือกับเผ่ามารนับพันปี มนุษย์ยอมรับเพียงผู้แข็งแกร่ง ติดตามผู้มีความสามารถ กลุ่มคนที่มาดูการสอบใหญ่จะพลาดโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร

ดีที่นักบวชของพระราชวังหลี โดยเฉพาะขุนนางกรมอาญาที่รับผิดชอบเรื่องการรักษากฎเกณฑ์ได้เดินเข้ามา ภายใต้ความยิ่งใหญ่ของใต้เท้าโจวทง ในที่สุดฝูงชนก็เป็นอันเงียบสงบลง

เฉินฉางเซิงเดินมายังด้านหน้ารถม้า เขา ถังซานสือลิ่ว และเซวียนหยวนผ้อ คำนับจินอวี้ลวี่อย่างเป็นทางการ

จิวอวี้ลวี่ลูบเคราเบาๆ แย้มยิ้มทว่ามิได้เอ่ยวาจา เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก

เขาขยับบังเหียนเล็กน้อย ล้อรถเริ่มหมุน ฝูงชนที่ล้อมรอบหลีกทางให้ เหมือนก่อนหน้านี้ ตอนที่แห่กันมาประหนึ่งน้ำหลาก แสดงถึงท่าทีดุจเดียวกัน

แน่นอนว่าเสียงตะโกนร้องที่ร้อนแรงอบอุ่นยังคงมิได้สิ้นสุด

เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ในรถ เปิดม่านหลัง มองกลับไปยังทางตอนขามา เหลือเพียงแค่แสงสนธยาสุดถนนเสิน บนขั้นบันไดที่ทอดยาวของตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ราวกำลังมอดไหม้ รั้วของอาคารคล้ายมีเงาของคนคนหนึ่ง เขาเดาว่าน่าจะเป็นลั่วลั่ว เขายิ้มขึ้นมาทันใด จากนั้นเขาเห็นต้นไม้อายุมากที่อยู่ข้างถนนเสินต้นหนึ่ง ใต้เท้ามุขนายกยืนอยู่ตรงนั้น โค้งตัวลงเล็กน้อย เค้ารอยความชราเริ่มปรากฏ ไม่มีใครเข้าใกล้ ดูเงียบเหงายิ่งนัก และแล้วมุมปากที่ขยับขึ้นก็เริ่มคลายลง รอยยิ้มพลันหายไปจากใบหน้า

ล้อรถบดทับไปบนแผ่นศิลาทางเดิน เสียงจากละแวกนั้นทั้งสี่ทิศไม่เคยเบาลงสักนิด เหมือนกับว่าผู้คนในจิงตูเตรียมพร้อมที่จะส่งรถม้าคันนี้กลับไปยังสำนักฝึกหลวง แน่นอนว่าคนที่นั่งในรถไม่กล้าที่จะเปิดม่านขึ้นมาอีก

“แล้ว…บุตรีของชายผู้นั้นหมายถึงเรื่องอะไร?” เฉินฉางเซิงมองไปที่ถังซานสือลิ่วแล้วถามขึ้น

ถังซานสือลิ่วขุ่นเคืองนิดๆ ตะคอกว่า “ใครจะไปรู้ว่ามันคือเรื่องอะไร!”

พอเฉินฉางเซิงเห็นท่าทีของเขา แน่นอนว่ามิได้ซักไซ้ต่อไปอีก พลางนึกถึงแผนการต่อสู้ที่อยู่นอกพระราชวังหลีก่อนหน้านี้ ถอนหายใจ กล่าว “จนวันนี้ถึงเข้าใจว่า เพราะเหตุใดน้องชายของโจวตู๋ฟูถึงถูกฆ่าด้วยสายตา…ถูกจับจ้องด้วยผู้คนจำนวนมากมายมหาศาลปานนี้ รวมกันแล้วน่ากลัวยิ่งกว่ากระบี่วิหคทองเสียอีก”

ถังซานสือลิ่วเยาะเย้ยพลางกล่าวว่า “เจ้าถือว่าโชคดีแล้ว หากเป็นปีก่อนๆ แค่เจ้าออกจากพระราชวังหลีก็อาจถูกผู้มีอิทธิพลดึงตัวไป พวกข้าก็พลอยรับผลพวงไปด้วย”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ ถามว่า “นั่นเป็นเพราะอะไรหรือ?”

ถังซานสือลิ่วกล่าว “อันดับหนึ่งจากการสอบใหญ่ เหมาะสำหรับเป็นตัวเลือกของการเป็นลูกเขย พวกผู้มีอิทธิพลทั้งหลายจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปได้อย่างไร? หนุ่มสาวเหล่านั้นจะปล่อยผ่านเจ้าได้อย่างไร?”

เฉินฉางเซิงเพิ่งจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร พลันนึกถึงฝ่ามือเสลาที่งดงามราวหยกอันเต็มไปด้วยจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ที่ยื่นไปยังถังซานสือลิ่วเหล่านั้น เขาหัวเราะพลางกล่าวกระเซ้า “ถึงจะแย่งตัวกันก็คงแย่งเจ้าไปก่อน”

ถังซานสือลิ่วกล่าวด้วยโทสะ “ไม่คุยกับเจ้าแล้ว”

เฉินฉางเซิงถาม “เจ้าพูดว่าปีก่อนหน้า แล้วเพราะเหตุใดปีนี้จึงไม่เหมือนกันเล่า?”

ถังซานสือลิ่วจ้องตาของเฉินฉางเซิง เอ่ยขึ้นด้วยความรำคาญใจ “นี่เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่? ก็ตอนนี้เจ้าหมั้นกับสวีโหย่วหรงอยู่ ใครจะกล้าฉกชิงเจ้าไปจากมือนาง?”

……

……

สวีซื่อจีกลับจากพระราชวังหลีถึงจวนขุนพลเทพตงอวี้ สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เสมือนถูกลมวสันต์อันเย็นเยือกพัดจนใบหน้ากระด้างชา บันดาลให้ผู้คนมองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเขารู้สึกอย่างไร

เขาพักอยู่ในโถงบุปผชาติที่โอบล้อมด้วยสายลมอันอบอุ่นครู่หนึ่ง อารมณ์และร่างกายจึงผ่อนคลายลงบ้าง ทว่าพอนึกถึงการสนทนาระหว่างขุนนางและเหล่าสังฆราชก่อนหน้านี้ สีหน้าเขาเริ่มเยือกเย็นขึ้นอีกครั้ง

การสอบใหญ่ได้ประกาศลำดับรายชื่อออกมาแล้ว แต่จะประกาศอย่างเป็นทางการในวันถัดไป ดังนั้นเหล่าขุนนางและคนสำคัญของสำนักฝึกหลวงก็ยังไม่จำเป็นต้องออกหน้า แค่นั่งพูดคุยและจิบชารอในห้องสำรอง หลังการต่อสู้สิ้นสุดลง เขาไปนั่งอยู่ตรงนั้นสักพัก ไม่คิดว่าจะได้ยินคำยินดีมากมาย

ยินดี ยินดี…ยินดีอะไร? แน่นอนว่าก็ต้องยินดีเรื่องเฉินฉางเซิงได้อันดับหนึ่งของการสอบใหญ่ จวนขุนพลเทพตงอวี้ได้ลูกเขยประเสริฐปานนี้ มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ดีใจ?

แน่นอนว่าสวีซื่อจีไม่ดีใจ คำยินดีทั้งหลายมันคือคำเยาะเย้ยทั้งนั้น แล้วอย่างนี้จะให้สีหน้าเขาแช่มชื่นได้อย่างไร?

เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ ปิดเปลือกตาลง เนิ่นนานมิได้เอ่ยคำ

รัตติกาลมาเยือน แสงเทียนภายในห้องโถงวูบไหว ทันใดนั้น พิรุณโปรยปรายลงมาที่จวนของเขา ฝนช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิมักจะหนาวเย็นกว่าหิมะ ทว่าท่าทีเขากลับอบอุ่นขึ้นมา

เนื่องด้วยฝนตกครั้งนี้ เขานึกถึงฝนที่ตกที่หอชำระธุลี มองไปยังภรรยาแล้วถามว่า “วันประกาศผล เตรียมโต๊ะอาหารให้พร้อม ไม่ต้องหลากหลายอุดมสมบูรณ์ แค่เป็นมื้อครอบครัวธรรมดาก็พอแล้ว”

ฮูหยินสวีพอจะเดาออกว่าเขาต้องการอะไร ตกใจเล็กน้อยแต่ก็มิได้เอ่ยคำ

อย่างไรเสีย งานเลี้ยงในครอบครัวที่ธรรมดา ก็คืองานเลี้ยงครอบครัว

*พระอาทิตย์กำลังจะตกที่บรรพตทิศประจิม เป็นสำนวน หมายถึง คนชราภาพที่ใกล้เข้าสู่ความตาย หรือ สรรพสิ่งใกล้ถึงจุดจบ

*คางคกริอาจคิดลิ้มชิมเนื้อหงส์ บรรจงเพ้อฝันเกินความจริง เป็นสำนวน หมายถึง ใฝ่สูงเกินเอื้อม