ตอนที่ 330 แว่วเสียงจักจั่นเดือนสาม

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 330 แว่วเสียงจักจั่นเดือนสาม

เมื่อบทสวดพระโพธิสัตว์จบลง ก็พบว่าหัวของคทาฉานที่คูฉานแบกไว้นั้น เปล่งแสงออกมาอย่างน่าอัศจรรย์

คูฉานนั่งลงที่พื้นพนมมือขึ้น ร่างกายของเขาปรากฏแสงสีทองไหลวน ช่างสง่างามน่าเกรงขามราวกับเป็นพระสมณศักดิ์

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงยิ่ง เขามองไปยังคูฉานแล้วมองไปยังศิษย์พี่ใหญ่

บัดนี้ซูเจวี๋ยมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาขยับหมวกให้ตรงจากนั้นเอ่ยออกมาว่า “สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ! ”

“หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”

“ก่อนหน้านี้คูฉานมิได้เข้าถึงฌานอย่างแท้จริง หมายความว่าเขามิได้เข้าถึงพระพุทธศาสนา เป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อเขาได้ฟังบทสวดพระโพธิสัตว์ของเจ้าเมื่อครู่ เขาก็ได้เข้าใจในรสของพระธรรม…” ซูเจวี๋ยมองไปยังฝานเทียนหนิง จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “ศิษย์น้อง คูฉานผู้นี้เคยอ่านพุทธคัมภีร์มามากใช่หรือไม่ ? ”

ฝานเทียนหนิงพยักหน้า “ได้ยินมาว่าพระคัมภีร์ทุกเล่มในหอเก็บพระคัมภีร์ของวัดลันทา ได้ถูกคูฉานอ่านและท่องได้ครบทุกเล่มแล้ว”

ซูเจวี๋ยจึงได้เข้าใจกระจ่างแจ้ง ว่าเหตุใดหัวหน้านิกายฝูจึงได้มอบคทาฉานอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งให้แก่คูฉาน แม้เขาจะยังมิได้เข้าสู่แก่นแท้ของฝู เนื่องจากเขาขาดโอกาสบางอย่าง

ในฐานะผู้นำนิกายฝู มีหน้าที่คล้ายกับหัวหน้าสำนักเต๋า นั่นคือออกเดินทางค้นหาสาวกผู้โดดเด่นจากทั่วทุกมุมโลก

แม้ว่าคูฉานจะยังมิได้เข้าถึงแก่นแท้ของฝู แต่เขาได้สั่งสมทุกสิ่งอย่างไว้ในใจทั้งสิ้นแล้ว

ซูเจวี๋ยพยักหน้าอย่างช้า ๆ แล้วกล่าวว่า “สิ่งนี้คือรากเหง้าของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ท่านหัวหน้านิกายช่างเก่งกาจเสียจริง ! ”

เหวินสิงโจวเองเดิมทีก็ตกตะลึงกับบทความในคัมภีร์นั้น อีกทั้งยังได้เห็นกับตาว่านักบวชผู้นั้นเมื่อได้ยินเข้าก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ !

ช่างน่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง !

หัวใจที่เต้นโครมครามของเหวินสิงโจวยากที่จะทำให้สงบลงได้ เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสามก้าวจากนั้นยกมือขึ้นกำหมัดโค้งตัวคำนับ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนกระโดดลุกขึ้นด้วยความตกใจ…

เมื่อเขากระโดดขึ้น ก็สูงลอยขึ้นไปบนอากาศ !

เหวินสิงโจวอ้าปากค้างมองตามขึ้นไปบนท้องฟ้า อ่า ! ฟู่เสี่ยวกวนลอยตัวได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

วินาทีนี้เขารู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง !

นักบวชธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เพียงแค่นั่งฟังคัมภีร์ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ บัณฑิตคนหนึ่งอยู่ ๆ ก็ลอยตัวขึ้นไปบนอากาศได้ ฟู่เสี่ยวกวนเป็นวรยุทธ์เยี่ยงนั้นหรือ ?

เขาได้มาถึงจุดสูงสุดของวรรณกรรม เพียงแค่เอ่ยบทกวีเกี่ยวกับพุทธศาสนาออกมา ก็สามารถทำให้นักบวชตรัสรู้ได้ในทันที และเขายังมีวิชาตัวเบาอีกด้วย ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ใดมาจากไหนกันแน่ !

อย่าว่าแต่เหวินสิงโจว แม้แต่ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินที่รู้จักฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างดี บัดนี้พวกนางล้วนตกตะลึงยิ่ง มิใช่เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนมีวิชาตัวเบา แต่ทว่า…เขาศึกษาพุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

พวกนางเป็นพยานได้ว่า ที่เมืองหลวงหรือที่หลินเจียงก็ตาม ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยหยิบคัมภีร์ขึ้นมาอ่านแม้แต่เล่มเดียว ประกอบกับสถานที่ทั้งสองแห่งมิมีคัมภีร์แม้แต่เล่มเดียว !

เช่นนั้นปัญหาคือ เขาไปศึกษาคัมภีร์พุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

อีกทั้งมองดูแล้วยังเก่งกาจมากอีกด้วย !

เขาคงจะมิออกบวชเป็นพระใช่หรือไม่ !

สตรีทั้งสองนางรู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที แล้วนึกในใจว่าโชคดีที่ยังมีหนังสือสัญญาสมรสอยู่ในมือ เมื่อเดินทางกลับไปยังเมืองจินหลิง พวกนางจะต้องรีบจัดงานให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นหากหัวหน้านิกายฝูมาทาบทามเขาไปเป็นพระอรหันต์ที่แคว้นฝาน…พวกนางจะทำเยี่ยงไร !

ฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ ลอยตัวลงมาจากท้องฟ้า เขารู้สึกชื่นชอบมันยิ่ง อีกทั้งโรคกลัวความสูงของเขาก็ได้รักษาจนหายแล้วอีกด้วย

เหวินสิงโจวมองดูฟู่เสี่ยวกวนที่มีท่าทางกระตือรือร้น ซึ่งมีมากกว่าเมื่อคราที่เขาเขียนตำราหลี่เสวียอีกด้วยซ้ำ !

บัดนี้เหวินซิงโจวลอบคิดในใจว่า “ตำราหลี่เสวีย” ของเขาที่ภาคภูมิใจนักหนา ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวนแล้วมิได้สำคัญอันใดเลย เพราะเหตุใดอย่างนั้นน่ะหรือ ? เนื่องจากตัวเขานั้นศึกษาตำราศักดิ์สิทธิ์มานานกว่าสี่สิบปี ! แต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการศึกษาเท่านั้น มิเหมือนกับฟู่เสี่ยวกวน

เขาอายุเพียง 16 ปี ได้บรรลุถึงขั้นสูงสุดของวรรณกรรมแล้ว อีกทั้งกระโดดข้ามไปศึกษาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่มิเกี่ยวข้องกับวรรณกรรมเลยแม้แต่น้อย บทสวดพระโพธิสัตว์ของเขาบทนั้นก็มิใช่ธรรมดา เขาผู้นี้สามารถกล่าวออกมาเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ตนถึงได้แสดงความเคารพนับถือเขาออกมาจากใจจริง

ฟู่เสี่ยวกวนจะกล้ารับความคารวะจากเหวินสิงโจวได้เยี่ยงไร เขารีบประคองมือทั้งสองข้างของเหวินสิงโจวไว้ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เหวิน ท่านทำเช่นนี้ข้าจะสบายใจได้เยี่ยงไร ! ”

“หาใช่ไม่ ใต้หล้านี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ทำให้ข้าเคารพได้ ! ”

“เชิญท่านนั่งลงก่อนเถิด พวกเรามาสนทนากัน…” เขาเดินนำเหวินสิงโจวไปยังโต๊ะข้าง ๆ จากนั้นดึงเก้าอี้ออกมาให้เขานั่งก่อนจะกล่าวกับชุนซิ่วว่า “รีบไปจัดเตรียมชาชั้นเลิศมาโดยเร็ว”

ชุนซิ่วเองก็แสดงความชื่นชมคุณชายของนางมากเช่นกัน เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบยกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งออกไป

“คือว่า ท่านอาจารย์เหวิน ข้าได้ยินว่าตำราหลี่เสวียที่ท่านเขียนนั้นมีชื่อเสียงยิ่ง ข้าเองก็นับถือท่านเป็นอย่างมาก ท่านจะ…ให้ข้าดูสักหน่อยได้หรือไม่ ? ”

เหวินสิงโจวดีใจยิ่ง ตำราที่เขาเขียนนั้นถูกฟู่เสี่ยวกวนให้ความสำคัญ อีกทั้งยังชื่นชมผลงานของเขาอีกด้วย หากฟู่เสี่ยวกวนเขียนคำนำให้แก่เขา คงจะสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

“แน่นอนว่ามิมีปัญหา เดิมทีข้ายังกังวลว่าคุณชายฟู่จะมิสนใจเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าข้ามิได้นำติดตัวมาด้วย…หากเจ้าว่างเมื่อใด ข้าจะพาเจ้าไปที่จวนแล้ววานเจ้าช่วยดูให้ข้าเสียหน่อย ขอบอกคุณชายตามตรงว่าตำรานี้ยังมิได้รับการยอมรับจากส่วนกลาง องค์จักรพรรดิประสงค์จะทำการเผยแพร่ แต่ทว่าหนานกงอี้หยู่คัดค้าน กล่าวว่าหากตำราของข้าเผยแพร่ไปทั่ว เกรงว่าแต่ละเมืองจะต้องสร้างเรือนจำขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอีกเป็นแน่”

ใบหน้าของเหวินสิงโจวแฝงไปด้วยความโกรธ แล้วกล่าวว่า “ชายชรานั่นยังกล่าวหาข้าในที่ประชุมใหญ่ราชวงศ์ว่าข้านั้นใช้วิธีสกปรกในการสร้างชื่อเสียงให้แก่ตน เพื่อให้ทุกคนจดจำชื่อเสียงไปตลอดกาล คุณชายฟู่เคยกล่าวว่าเพื่อเป็นศูนย์กลางของสวรรค์และโลก เพื่อสร้างชีวิตให้ประชาชน เพื่อสืบความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ให้ดำรงอยู่ต่อไป เพื่อสันติสุขในทุกสมัย !”

“ประโยคนี้ข้าได้บันทึกไว้บนป้ายคำขวัญ ใส่กรอบแขวนไว้ที่ผนัง เพื่อวัตถุประสงค์นี้”

เขานิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยแววตากระตือรือร้นว่า “พวกเราไปตอนนี้เลยดีหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง ต้องรีบร้อนเช่นนี้เชียวหรือ ?

“นี่ก็ใกล้จะยามอู่แล้ว ท่านจะ…”

“ไปเถอะ ๆ ไปกินมื้อกลางวันที่จวนของข้า หลานสาวข้านั้น…อ่าใช่ หลานสาวข้าเหวินซีรั่วชื่นชอบการต่อสู้ แต่ว่านางมีฝีมือในการทำอาหารยิ่ง”

“เสี่ยวกวน หลานสาวข้านั้นมีทัศนคติที่ดีเยี่ยมมากยิ่งนัก ปีนี้เพิ่งจะอายุ 20 ปี…มิใช่ว่ามิมีผู้ใดชื่นชอบนาง แต่ทว่ามิมีผู้ใดที่นางถูกใจ อย่าหาว่าข้านั้นโอ้อวดหลานสาว แต่หากนางยืนคู่กับองค์หญิงไท่ผิง ก็งดงามมิแพ้กันเลยทีเดียว ในปีนี้เจ้าอายุ 17 ปี สตรีแก่กว่า 3 ปีกำลังดี ข้าว่า…”

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้า ส่วนต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินมองมาทางเหวินสิงโจวด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก

“ท่านอาจารย์อย่าได้คิดมากไป ทั้งสองนางนี้คือว่าที่ภรรยาของข้า ที่เมืองจินหลิงยังมีอีก 1 คนมิได้เดินทางมาด้วย พวกนางทั้งสามคนได้รับหนังสือพระราชทานการสมรสจากฮ่องเต้…”

“ข้าเข้าเฝ้าขอให้จักรพรรดิเหวินเขียนหนังสือพระราชทานการสมรสให้ได้มิใช่ปัญหา”

“ข้ามิได้หมายความว่าเช่นนั้น ข้าหมายความว่าพวกเรากำลังสนทนากันเรื่องตำราหลี่เสวีย อย่าได้นำเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย หลานสาวท่านนั้นอาจจะเพียงยังมิพบเนื้อคู่ เรื่องนี้ท่านมิต้องกังวลไป”

เหวินสิงโจวรู้สึกเสียดายยิ่ง ความคิดนี้เขามิเคยได้วางแผนมาก่อน แต่เมื่อพบเข้ากับฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้น

หากว่าเหวินซีรั่วได้แต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวน คาดว่าคงจะเป็นเรื่องที่สมบูรณ์แบบยิ่ง !

“ตกลง เช่นนั้นพวกเราไปสนทนากันเรื่องตำราหลี่เสวียกัน ไปเถอะ ! ”

เหวินสิงโจวดึงฟู่เสี่ยวกวนให้ลุกขึ้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของจักจั่นก็ดังกังวานขึ้นท่ามกลางป่า

บัดนี้เพียงแค่เดือนสาม จะมีเสียงจักจั่นร้องได้เยี่ยงไร ?

ซูเจวี๋ยมองไปยังคูฉาน “เขาใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้ว”