บทที่ 108 มีสหายดีใจทะยานม้า โดย Ink Stone_Romance
ความวุ่นวายด้านหน้าศาลาพักม้าคลี่คลาย แสงฟ้าค่อยๆ สว่าง คนด้านในก็ตื่นขึ้นมา ส่วนบนถนนใหญ่ด้านนอกก็มีคนเร่งเดินทางมาเช่นกัน
“นายศาลาถึงกับเกรงใจปานนี้มาต้อนรับแขกที่หน้าประตูเลยหรือ?”
มองเห็นนายศาลาและข้ารับใช้ประจำศาลาที่ยืนอยู่นอกประตู มองดูถนนใหญ่ คนที่มาใหม่ก็เอ่ยถามประหลาดใจ
ศาลาพักม้าที่นี่เกรงใจเกินไปแล้ว
“มาส่งคุณหนูจวินต่างหาก เจ้าหลงตัวเองอะไรเล่า” มีคนตอบทันที
“คุณหนูจวินไปแล้วหรือ?”
คำพูดนี้ทำให้คนมากมายด้านในวิ่งออกมาเอ่ยถาม
หลังได้รับคำยืนยันล้วนตีอกชกหัว
“ข้ายังอยากขอคำชี้แนะกับคุณหนูจวินอีก”
“คุณหนูจวินยังไม่ได้ลองดูเลยว่าข้ามีลางร้ายหรือไม่?”
ความวุ่นวายนี่ทำให้คนที่มาใหม่ไม่เข้าใจนัก
“คุณหนูจวินเป็นใคร?” เขาเอ่ยถาม
คำพูดนี้ทำให้เสียงเอะอะหยุดลง คนทั้งหมดล้วนกลอกตามาทางเขา
“ใต้หล้ายังมีคุณหนูจวินคนไหนได้อีก” เขาเอ่ย “แน่นอนต้องเป็นคุณหนูจวิน จวินจิ่วหลิง”
คำพูดนี้ทำให้คนที่มาใหม่เข้าใจทันที แล้วก็คิดได้ว่าคุณหนูจวินจากไปแล้วก็อดไม่ได้ตีอกชกหัวตามด้วย
“พลาดไปแค่ก้าวเดียวเอง พลาดไปแค่ก้าวเดียวก็ได้พบคุณหนูจวินแล้ว”
นอกประตูศาลาพักม้าเอะอะขึ้นอีกครั้ง ส่วนรถม้าของคุณหนูจวินที่เคลื่อนไปบนถนนใหญ่ตั้งแต่เช้าตรู่ก็ครึกครื้นกว่าเดิมมาก
เสียงกีบเท้าม้าเร็วรี่มาถึงหน้ารถคุณหนูจวินถึงหยุด
“จิ่วหลิง เจ้าดู” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย
คุณหนูจวินเลิกม่านรถขึ้นตลอด มองเห็นแต่แรกแล้วว่าในมือเขาหิ้วผลซิ่งสีเหลืองพวงหนึ่งอยู่
“ผลซิ่ง สุกแล้วหรือ?” นางเอ่ย
“ระหว่างทางตอนข้ามาเห็นเข้า ชิมแล้วกินได้แล้ว” ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม ส่งผลซิ่งข้ามมา
คุณหนูจวินรับไป
ฟางเฉิงอวี่ก็ขี่ม้าวนรอบรถรอบหนึ่ง
“อร่อยหรือไม่?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินกัดทีหนึ่งยิ้มพยักหน้า
“อร่อย” นางเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มดีใจ ควบม้าอ้อมมาอีกด้านหนึ่งอีก
“นายน้อย ท่านขึ้นรถมานั่งสักพักเถอะ”
เฉินชีที่นั่งอยู่บนรถม้าด้านหลังดูต่อไปไม่ไหวแล้ว กระแอมเบาๆ ทีหนึ่งเอ่ย
“ข้าไม่เหนื่อย” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยตอบ มองคุณหนูจวิน “จิ่วหลิง ตลอดทางมานี่ข้าขี่ม้ามา ไม่เหนื่อยเลยสักนิด”
“เจ้าเรียนมานานเท่าไรแล้ว?” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยถาม
“เรียนไปได้ครึ่งปีแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ท่าทางภาคภูมิใจนิดๆ
“ถ้าอย่างนั้นฝีมือก็ไม่เลวจริงๆ” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
“ใช่ไหม!” ฟางเฉิงอวี่แย้มรอยยิ้มทันที ควบม้าเดินวนรอบรถอีกรอบหนึ่ง “ข้ายังร่ำเรียนอีกมากมายเลย ข้ายิงศรบนม้าก็ได้”
พูดพลางปลดคันศรบนหลังม้าลงมา
“จิ่วหลิง ข้าทำให้เจ้าดู” “ข้าร่ำเรียนได้ดีมากด้วย ข้าจะไปยิงกระต่ายสักตัวมาให้เจ้า”
รีบพอเสียทีเถอะ! เจ้ายังจะต้องขี่ม้าสอยเดือนด้วยไหม? แล้วค่อยแสดงง้าวสักชุด?
เฉินชีอดไม่ได้ตบหน้าผาก ฟางจิ่นซิ่วพูดน้อยแข็งทื่อปานนั้น น้องชายของนางทำไมพูดพล่ามเป็นเด็กน้อยเช่นนี้ได้
คุณหนูจวินมองฟางเฉิงอวี่ยิ้มกวักมือ
“เข้ามานั่งเถอะ” นางเอ่ย
“ได้ ขี่ม้าเหนื่อยแล้วเหมือนกัน อยากนั่งรถม้าแล้ว” ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักเอ่ย
นี่เจ้าเหนื่อยเร็วเกินไปแล้วกระมัง? เฉินชีถลึงตาอยู่ด้านหลัง ตอนข้าเรียกเจ้านั่งเจ้าว่าอะไรแล้วนะ?
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านายน้อยตระกูลฟาง น้องชายของฟางจิ่นซิ่วที่ตรงปานนั้นถึงกับเป็นคนเช่นนี้คนหนึ่ง
ฟางเฉิงอวี่นั่งอยู่ข้างคนรถ รับชาที่คุณหนูจวินส่งมา แหงนหน้าดื่มอึกๆ จนหมด
“สูงแล้ว” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “อ้วนแล้วด้วย”
ฟางฉิงอวี่รีบกำแขนให้นางดู
“แข็งแรงแล้วด้วย” เขาเอ่ย “หลังเจ้าไป ทุกวันข้าอดทนต่อยหมัดยิงธนู”
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า
“ดูออก” นางเอ่ย หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากเขา
ฟางเฉิงอวี่หัวเราะร่าปล่อยให้นางเช็ดเหงื่อ ไม่มีไม่สบายใจสักนิด
“ทำไมวิ่งมารับไกลขนาดนี้เล่า? ที่บ้านวางใจหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ย
“อย่างไรก็ใกล้กว่าไปเมืองหลวงรับล่ะน่า” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย “วางใจเถอะ ข้าทำสิ่งใด ที่บ้านล้วนวางใจ”
เทียบกับความไร้ประสบการณ์หนึ่งปีก่อนตอนเพิ่งรักษาอาการป่วยหายได้พบเจอผู้คน ฟางเฉิงอวี่ตอนนี้ผ่อนคลายสบายมากขึ้น
เทียบกันแล้วเขาโชคดีกว่าจิ่วหรงมาก
เขาถูกขังอยู่สิบปีเพราะป่วย จิ่วหรงแม้ไม่ได้ป่วยกลับถูกขัง ตั้งแต่หลังเข้าวังไหวอ๋องก็ไม่เคยได้ออกไปอีกเลย ได้เห็นเพียงโลกด้านในวังไหวอ๋อง ยังไม่รู้ว่าจะถูกขังนานเท่าไร
ต้องรีบทำให้จิ่วหรงหลุดจากกรงขัง ไม่เช่นนั้นคนทั้งคนก็คงพัง
“ลำบากมากสินะ?” ฟางเฉิงอวี่มองสีหน้าของนาง ฉับพลันเอ่ยถาม
จะทำเรื่องนี้ได้ย่อมต้องลำบากมาก
คุณหนูจวินอึ้งไปเล็กน้อย ได้สติกลับมามองแววตาเป็นห่วงเป็นใยของฟางเฉิงอวี่
“ยังพอไหว” นางยิ้มบอก “ทำสิ่งใดเดิมทีล้วนไม่ง่าย มีโอกาสทำต้องไม่พลาด ไม่กลัวลำบาก”
ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า
“ใช่ จิ่วหลิงพูดถูก” เขาเอ่ย “นอกจากนี้ที่ทำล้วนดียิ่ง ร้ายกาจนัก”
“ในบ้านสบายดีกันหมดไหม?” คุณหนูจวินเอ่ย
แม้ในจดหมายที่ติดต่อกันล้วนเอ่ยถึง แต่นางยังคงถาม
ส่วนฟางเฉิงอวี่ก็นั่งตัวตรงทันที
“สบายดี” เขาเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ท่านย่าติดชมละคร ที่บ้านเลี้ยงคณะละครไว้คณะหนึ่ง ท่านแม่ก็วุ่นวายกับการหาคู่ครองให้พี่ใหญ่กับพี่รอง”
“…พี่สาวรับช่วงต่อสาขาหนึ่ง…เพิ่งไปก็ถูกผู้ดูแลใหญ่เฒ่าแสดงอำนาจ…”
บนถนนใหญ่ขบวนรถสิบกว่าคนเสียงฟางเฉิงอวี่พูดคุยหัวเราะไม่ขาด ครึกครื้นอย่างที่สุด
…
เห็นเมืองแห่งหนึ่งอยู่ไกลๆ
“ถึงหยางเฉิงแล้ว” มีคนตะโกน
เสียงของฟางเฉิงอวี่บนรถด้านหลังก็หยุดลงด้วย
นับว่าถึงบ้านแล้ว
เฉินชีตื่นเต้นลุกขึ้นมานั่งบนรถ มองเมืองด้านหน้า นับว่าไม่ต้องทนเสียงหนวกหูของนายน้อยฟางแล้ว ได้อยู่เงียบสงบสักพัก
“จิ่วหลิง ข้าคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้”
เสียงของฟางเฉิงอวี่ดังมาจากรถม้าด้านหลังอีกครั้ง
เฉินชีสะดุ้ง
เขาคิดถึงอะไรขึ้นมาได้อีกเล่า? นี่ตลอดทางเขาก็คิดถึงเรื่องไม่น้อยแล้ว ตั้งแต่ต้นไม้ในเรือนไปจนถึงดอกไม้ที่ประดับบนโต๊ะของคุณหนูจวิน รังนกที่อยู่บนหลังคา
คุณหนูจวินมองไปทางเขา
“เจ้ากลับมาข้าดีใจ ที่บ้านก็ดีใจ ชาวบ้านหยางเฉิงก็ต้องดีใจเช่นกันแน่ ดังนั้นข้าจึงให้คนบอกทุกคนแล้ว” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย
บอกทุกคนแล้ว?
เฉินชีอึ้งไปนิดหนึ่ง หรือว่า…
ความคิดของเขายังไม่ทันแล่นจบ ก็ได้ยินเสียงอึกทึกประหนึ่งอสนีบาตด้านหน้า
“คุณหนูจวินกลับมาแล้ว!”
“รถม้าของคุณหนูจวิน!”
ด้านหน้าเมืองปรากฏฝูงชนดั่งเมฆ แห่มาด้านนี้
เอาเถอะ นี่จัดการได้เหมาะสมจริงๆ ออกจากเมืองหลวงมีคนมาส่ง กลับบ้านมีคนต้อนรับ สมบูรณ์แบบ
เฉินชีมองฟางเฉิงอวี่ข้างคุณหนูจวินที่นั่งอยู่ด้านหลัง คนหนุ่มสมัยนี้เอาใจคนเก่งจริงๆ นับถือๆ บางทีเขาควรเรียนรู้จากนายน้อยคนนี้บ้าง
…
ในจวนสกุลหนิงบนๆ ล่างๆ เงียบสงบไปหมด ความเงียบสงบนี้ไม่ผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เคร่งเครียด สาวใช้หญิงรับใช้ที่เข้าออกล้วนระมัดระวัง
หลังหนิงอวิ๋นเจากลับมาวันนั้นนายหญิงใหญ่หนิงก็ล้มป่วย เชิญหมอมาดูก็บอกไม่ได้ว่าเป็นอะไร
หนิงอวิ๋นเจาเฝ้าผ้าผ่อนไม่ได้ผลัดเปลี่ยน ปฏิเสธคำเชิญงานสังสรรค์และการมาเยี่ยมเยือนทั้งหมด
นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว นายหญิงใหญ่หนิงก็ไม่เห็นจะดีขึ้น ตรงกันข้ามเสียงร้องไห้ในห้องดังๆ หยุดๆ ไม่ขาด
“นายท่าน คุณชาย ข่าวดี ข่าวดี”
หญิงรับใช้คนหนึ่งดีอกดีใจวิ่งเข้ามา ทำลายบรรยากาศวิตกกังวล
นายหญิงใหญ่หนิงเป็นเช่นนี้แล้ว ยังมีข่าวดีอะไรอีก?
สาวใช้หญิงรับใช้ที่กลั้นลมหายใจเงียบเสียงบนทางเดินมองหญิงรับใช้คนนี้ไม่เข้าใจ
หนิงอวิ๋นเจาเลิกม่านออกมา
“เรื่องอะไร?” เขาเอ่ยถาม
“คุณชาย คุณหนูจวินกลับมาแล้ว” หญิงรับใช้เอ่ยดีใจ
คุณหนูจวิน?
หนิงอวิ๋นเจาตะลึง สีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง นาง….
เขายังไม่ทันถาม ก็ได้ยินเสียงหนิงอวิ๋นเยี่ยนดังขึ้นข้างหลัง
“นางกลับมาแล้วนับเป็นข่าวดีอะไร?” หนิงอวิ๋นเยี่ยนคนก็ลุกขึ้นมา คิ้วขมวดจ้องหญิงรับใช้คนนั้น
หญิงรับใช้ถูกสีหน้าของหนิงอวิ๋นเยี่ยนทำตกใจสะดุ้งโหยง
“คุณหนูจวิน เป็นหมอเทวดานี่เจ้าคะ อาการป่วยของนายหญิง…” นางเอ่ยอึกอัก
คำพูดยังเอ่ยไม่ทันจบ หนิงอวิ๋นเยี่ยนก็เพลิงโทสะพุ่งสามจ้าง
“ไสหัวไป” นางร้องเสียงแหลม
……………………………………….