รูปร่างของคนชุดดำผู้นั้นค่อนข้างเตี้ย ใบหน้าพันไว้ด้วยผ้าสีดำ ก้มศีรษะมองไม่เห็นดวงตา
เจียงรุ่ยรู้สึกได้ถึงอันตราย จึงหรี่ดวงตาพลางกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าจะเริ่มฆ่ากันเองเร็วขนาดนี้”
คนชุดดำกล่าวอย่างเนือยๆ ว่า “หรือไม่ควรจะสงสัยก่อนว่าข้าหาเจ้าเจอได้อย่างไร จากนั้นค่อยมาถอดถอนใจเช่นนี้? โง่เขลาขนาดนี้ ตายไปก็สมควร”
เจียงรุ่ยคิดถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมา กลับรู้สึกโล่งใจ ยิ้มเล็กน้อยมิกล่าวอะไร
ที่นี่ไม่มีสำนัก ไม่มียาวิเศษ ไม่มีอาจารย์ พรสวรรค์ข้าเหนือกว่าพวกเจ้า หรือว่าจะยังสู้พวกเจ้าไม่ได้?
นี่คือสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจมาโดยตลอด หรือพูดอีกอย่างก็คือเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักทุกคนต่างคิดอยู่ในใจ ยกเว้นก็แต่เพียงเหอจาน ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักที่แข็งแกร่งเหล่านั้นต่างคิดว่า ขนาดตนเองฝึกวิชาด้วยตัวเองก็ยังมีสภาวะใกล้เคียงกับศิษย์สำนักใหญ่เหล่านั้น หากตนเองมีอาจารย์คอยชี้แนะ ได้กินยาวิเศษที่ล้ำค่ามากมายขนาดนั้น พวกเจ้ายังจะเทียบข้าได้หรือ?
อย่างน้อยดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่งก็ได้ลบความแตกต่างตรงนี้ไป
ดังนั้นเจียงรุ่ยจึงมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับจิ๋งจิ่วหรือว่าไป๋เชียนจวินหรือว่าถงเหยียน พวกเขาก็ล้วนแต่ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของตนได้
คนชุดดำหาวขึ้นมาพลางกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นไอโง่จริงๆ ด้วย ทำไมเจ้าไม่ลองคิดดูหน่อยล่ะว่าหากพรสวรรค์ของเจ้าดีเหมือนอย่างเหอจานจริงๆ ตอนอยู่ด้านนอกก็คงจะมีสำนักต่างๆ กรูกันเข้ามาร้องขอรับเจ้าเป็นศิษย์นานแล้ว ไหนเลยจะเป็นเหมือนอย่างตอนนี้ได้”
รอยยิ้มบนใบหน้าเจียงรุ่ยค่อยๆ หายไป เพราะคำพูดของคนชุดดำแทงใจเขา เพราะชื่อของเหอจานชื่อนี้
บนถนนพลันมีลมพัดขึ้นมา ใบไม้สีเขียวถูกพัดร่วงตกลงมา คล้ายถูกลูกธนูยิงจนทะลุ ทิ้งรอยกระดำกระด่างไว้บนกำแพง
เจียงรุ่ยกระแทกไปบนกำแพง ตรงหน้าอกเต็มไปด้วยรอยกระบี่ เลือดสดๆ สาดกระจาย คล้ายกับถูกลงโทษด้วยการแล่เนื้อเถือหนังอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นคนชุดดำที่เดินเข้ามาหาตนเอง บนใบหน้าที่ขาวซีดของเขาเผยให้เห็นความรู้สึกโกรธแค้นและความรู้สึกสิ้นหวัง ที่สิ้นหวังนั้นเป็นเพราะรู้สึกได้ถึงความตาย หรือพูดอีกอย่างคือการจากไป ที่รู้สึกโกรธนั้นเป็นเพราะเขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เป็นผู้แสวงมรรคาเหมือนกัน อีกทั้งที่นี่ก็ไม่มีอาจารย์ ไม่มียาวิเศษ แล้วเหตุใดคนผู้นี้ถึงได้แข็งแกร่งมากกว่าตนขนาดนี้?
ทันใดนั้นพลันมีเงาที่เหมือนภูตผีเงาหนึ่งปรากฏขึ้นมา ม้วนเอาใบไม้สีเขียวที่เพิ่งจะหยุดนิ่งเหล่านั้นพุ่งโจมตีเข้าใส่คนชุดดำ
คนชุดดำมองดูการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดและรวดเร็วเช่นนี้ สายตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย มือขวาร่ายเคล็ดกระบี่ เกิดเป็นลำแสงกระบี่ที่สว่างและสวยงามสายหนึ่ง
เสียงเสียดสีดังขึ้นเบาๆ แสงกระบี่กลับเข้าไปในร่างกายเขา เงาที่เป็นเหมือนภูติผีสายนั้นเองก็กลับเข้าไปในเงามืดด้านหลังกำแพงเช่นกัน
คนชุดดำมั่นใจว่าวิชาที่เงาสายนั้นใช้มิใช่หลบหนีฟ้าดินของสำนักจงโจว แล้วก็มิใช้ร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิดของจิ๋งจิ่ว จึงรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ
ในบรรดาผู้แสวงมรรคาทั้งยี่สิบหกคน ยังมีใครที่มีการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดยากคาดคะเนได้เช่นนี้อีก? หรือคนผู้นั้นจะมิใช่ผู้แสวงมรรคา อาจจะเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในโลกนี้?
ในขณะที่เขาเตรียมจะพังกำแพงเข้าไปสู้ต่อ บนถนนที่อยู่ห่างออกไปพลันมีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ามิใช่กองกำลังจากเจ้าหน้าที่ในอำเภอ หากแต่เป็นทหารม้าของแคว้นหลัว
สายตาของชายชุดดำเปลี่ยนอีกครั้ง ในใจครุ่นคิดว่าหรือยังมีใครที่คิดจะปกป้องผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้นี้อีก? เขาจึงไม่ได้ลังเลอีก หากแต่หมุนตัวแล้วหายตัวไปในบ้านเรือน
เจียงรุ่ยลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก พิงกำแพงหอบหายใจ ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ แล้วก็ยังมีความรู้สึกสับสน
ทันใดนั้นเขาผละออกมาจากกำแพงเหมือนถูกน้ำร้อนลวก เพราะเขาคิดขึ้นมาได้ว่าเงาดำที่เหมือนภูติผีสายนั้นอยู่ด้านหลังกำแพง
พูดไปแล้วก็แปลก เห็นๆ อยู่ว่าเงาที่เหมือนภูตผีสายนั้นมาช่วยเขาไว้ แต่ทำไมเขากลับหวาดกลัวอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าหวาดกลัวกว่าคนชุดดำที่คิดจะฆ่าเขาเสียอีก
……
……
เหอจานเข้าไปในวังของแคว้นจ้าวอย่างเงียบเชียบ กลับเข้าไปในห้อง ถอดผ้าสีเทาที่คลุมใบหน้า เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดขาว ถึงแม้จะเขาจะเรียนวิชาแปลกประหลาดยากคาดคะเนได้มาจากขันทีชราแซ่หงแล้ว แต่การที่ต้องรุดกลับมาจากแคว้นหลัวภายในเวลาคืนเดียวมันก็ยังรู้สึกลำบากอย่างมาก และที่สำคัญกว่านั้นก็คือเจตน์กระบี่ของคนชุดดำผู้นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
เขาเพียงแค่อยากจะกลับไปดูคนผู้นั้นหน่อย จะได้ไม่ลืมอีกฝ่าย คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญได้เจอกับผู้แสวงมรรคาอีกคนหนึ่ง
เขาคล้ายจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร และรู้ว่าหลังจากนี้อีกฝ่ายจะต้องหลบซ่อนอยู่ในเงามืดต่อไป จึงล้มเลิกความคิดที่จะใช้กำลังของราชสำนักในการค้นหาตัวอีกฝ่าย
แสงอาทิตย์ยามเช้าปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย เขาล้างหน้าล้างตาอย่างง่ายๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ หยิบเอายาเม็ดหนึ่งออกมาจากในกล่อง ใช้ผ้าไหมห่อเอาไว้อย่างดีจากนั้นเดินออกมาจากในห้อง
เขาเดินอยู่ในวัง เหล่าขันทีนางกำนัลและองครักษ์ที่เจอเขาต่างพากันเปิดทางและกล่าวทักทายเขา
“เหอกงกง!”
“คารวะเหอกงกง”
“อรุณสวัสดิ์เหอกงกง”
เหอจานเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเฉยชา มาถึงหน้าตำหนัก ผลักประตูห้องทรงพระอักษรออก
เขามองฮ่องเต้ที่ยังคงซูบผอมและใบหน้าขาวซีดที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะผู้นั้น พลางกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ฝ่าบาท ถึงเวลาเสวยโอสถแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
……
……
ถงเหยียนเก็บสมุดเล่มนั้นเข้าไปในช่องลับ หยิบเอารายงานที่ลูกน้องของตัวเองเคยส่งมาให้แล้วเริ่มพลิกอ่านอีกครั้ง พยายามที่จะหาคำตอบของคำถามเหล่านั้นที่อยู่ในรายงานเหล่านี้ให้ได้
รายงานข่าวที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาหลายวันมานี้ย่อมต้องเป็นเรื่องที่เมืองเป๋ยไห่ที่อยู่ทางเหนือของแคว้นฉินได้ก่อกบฏอย่างเป็นทางการ
เทพแห่งการต่อสู้ซึ่งเป็นบุตรชายคนที่สองแห่งเรือนเจ้าเมืองเป๋ยไห่ ตอนอายุสิบห้าปีก็ได้แสดงความแข็งแกร่งของตัวเองออกมา เขานำกองทหารรบชนะติดต่อกันห้าเมือง จนกองทัพแคว้นฉินต้องพ่ายแพ้ล่าถอยไป แต่จากข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่ถงเหยียนได้รับมา ภายในกองทัพห้าส่วนที่เทพแห่งการต่อสู้ผู้นั้นเป็นคนนำ อย่างน้อยมีชาวหูอยู่ถึงสองส่วน
เมืองเป๋ยไห่ทำหน้าที่รักษาชายแดนทางเหนือของแคว้นฉิน ทำศึกกับชาวหูมาเป็นเวลานานหลายปี ใครจะไปคิดบ้างว่าชาวหูจะจับมือกับพวกเขาและยินดีช่วยอีกฝ่ายรบ
“ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ไป๋ต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรไปบ้าง” เขาครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
ช่วงนี้ไม่มีข่าวดี คนชุดดำที่ลอบสังหารเหล่าผู้แสวงมรรคาผู้นั้นก็ยังไม่ถูกจับ กระทั่งร่องรอยแม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี ส่วนเงาที่เหมือนภูตผีของแคว้นหลัว….เขาคิดถึงเหอกงกงที่กำลังโด่งดังอยู่ในวังของแคว้นจ้าวผู้นั้นขึ้นมา บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าเหลวไหล
แต่ไหนแต่ไรมาโชคของพี่เหอนั้นดีอย่างมาก หรือพอมาที่นี่แล้วโชคเหล่านั้นจะหายไปทั้งหมด?
เขายังคงไม่เชื่อว่าเหอกงกงผู้นั้นจะเป็นเหอจาน ไม่ใช่เป็นเพราะว่าการเป็นขันทีนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากและขายหน้า หากแต่เป็นเพราะเขาไม่ยินดีที่จะเชื่อ
เมื่อปีที่แล้วกษัตริย์เลอะเลือนที่มีชื่อเสียงของแคว้นจ้าวผู้นั้นได้ตายลงไป ในเรื่องราวที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและแผนการชั่วร้ายเรื่องนั้น เหอกงกงนั้นมีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างมาก โหดร้ายไร้ความเมตตา กระทั่งในตอนที่สังหารขันทีชราแซ่หงที่ถ่ายทอดวิชาให้เขาใบหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนสี
มีบางคนเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าตอนที่ฮ่องเต้แคว้นจ้าวองค์ปัจจุบัน หรือก็คือองค์รัชทายาทในขณะนั้นถือมีดแทงผู้เป็นบิดาของตัวเอง มือของเหอกงกงยังกุมมือของเขาไว้แน่น
ถงเหยียนไม่มีเพื่อน มีเพียงเหอจานเพียงคนเดียว
เขารู้ว่าหลายปีนี้เหอจานต้องเจอกับเรื่องอะไร จึงไม่อยากให้อารมณ์หรือจิตใจของเขาต้องเปลี่ยนไปเพราะเรื่องเหล่านั้น
เพราะหากเป็นแบบนั้นเขาคงจะรู้สึกผิด
……
……
บนถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ เสียงฝีเท้าม้าดังสนั่น
ประตูเรือนของเจ้าเมืองเปิดอยู่ก่อนแล้ว แม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งขี่ม้าพุ่งเข้าไป เมื่อเข้าไปถึงสวนด้านหลังก็กระโดดลงจากม้า
แม่ทัพหนุ่มผู้นี้ดูองอาจผ่าเผย ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยพละกำลัง หากมองลึกเข้าไปในสายตา จะเห็นได้ถึงความรู้สึกโหดร้าย
เขารับเอาผ้าขนหนูที่คนใช้ส่งมาเช็ดเนื้อเช็ดตัว
ผ้าขนหนูสามารถเช็คเศษหิมะที่อยู่บนชุดเกราะได้ แต่กลับไม่สามารถเช็ดรอยคราบเลือดที่แข็งตัวไปแล้วเหล่านั้นได้
แม่ทัพหนุ่มมองดูร่างกายของตนเอง เลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร สืบเท้าเดินเข้าไปยังสวนด้านหลัง
เมื่อเห็นเขาหายเข้าไปในสวน ลูกน้องและสาวใช้ที่รอรับใช้เหล่านั้นต่างพากันถอนใจออกมา
แม่ทัพหนุ่มคือบุตรชายคนที่สองของท่านเจ้าเมือง แล้วก็เป็นเทพแห่งการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงของดินแดนทางเหนือของแคว้นฉิน มีชื่อว่าไป๋โจ้ว
คนที่อยู่ในเรือนเจ้าเมืองต่างเคารพและยำเกรงเขาเป็นอย่างมาก กระทั่งเขาเดินไปไกลแล้วถึงจะกล้าพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์อะไรบางอย่างเสียงเบาๆ
ที่บอกว่าวิพากษ์วิจารณ์นั้นก็เป็นแค่การชื่นชมในความกล้าและความสามารถทางการทหารของเทพแห่งการต่อสู้ แต่แน่นอนว่ายังมีเรื่องความผูกพันที่เขามีต่อองค์หญิงตกยากที่อยู่ในสวนดอกไม้ด้านหลังผู้นั้นด้วย
…………………………………………………………..