แต่เรื่องเช่นนี้นางจะพูดออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร

แม้นางจะรู้ตัวว่าไร้อนาคต แต่ยังคงอยากมีชีวิตอยู่เพื่อพบหน้าบิดาอีกครั้ง ถึงต้องมีชีวิตอยู่แบบถูลู่ถูกังแล้วจะเป็นอะไรไป

เฟิงหนูมองดูต่งหมัวมัว ถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง “ถึงอย่างไรท่านราชครูก็เป็นเจ้านายและมีฐานะสูงส่ง ย่อมไม่ชอบให้ใครก้าวก่ายชีวิตของเขา เสวี่ยหนูใจร้อนเกินไปจริงๆ แม้ราชครูจะนิสัยดีมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักโกรธ ครานั้นราชครูจัดการกับพวกที่ย่ำยีของกินของเขา ล่วงเกินต่อศักดิ์ศรีของเขา แม้แต่หยวนเติงซือไท่ก็ห้ามไม่อยู่”

ต่งหมัวมัวฟังแล้วเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าต้องรอบคอบหน่อย พักนี้พระพันปีมีเรื่องต้องให้ราชครูช่วย จงอย่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องและเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกระทบต่อราชครู”

เฟิงหนูผงกศีรษะ “เจ้าค่ะ”

หลังทั้งสองสนทนากันแล้วก็พูดถึงเรื่องอื่นจิปาถะ และแล้วก็มีคนรับใช้มาถ่ายทอดวาจา บอกว่าพระพันปีจะเสด็จกลับวังแล้ว

เฟิงหนูฟังวาจาแล้วจึงลุกขึ้นเตรียมตัวพลางหลุดปากถามว่า “พระพันปีจะไม่ประทับที่วังโซ่วคังและย้ายไปประทับในวังตามฤดูกาลเช่นปีที่ผ่านมาหรือไม่”

ต่งหมัวมัวยิ้มอย่างจนใจ “ใช่ พระพันปีบอกว่าหากนางจะประทับย่อมต้องประทับที่ตำหนักกวงหมิง นั่นเคยเป็นวังที่ประทับของจักรพรรดินีหยวนเจิ้นผู้สถาปนาแคว้น แต่เจ้าก็รู้นี่นาว่าบัดนี้ที่นั่นใครครองอยู่ พระพันปีนิสัยรั้นเช่นนี้ตั้งแต่อยู่บ้าน ดังนั้นจึงสู้ยอมประทับตามมีตามเกิดในวังดีกว่า”

ดูท่าจนบัดนี้องค์หญิงเซ่อกั๋วกับพระพันปียังคงเข้ากันมิได้เหมือนน้ำกับไฟ

หรือจะบอกว่าตำหนักกวงหมิงนั้นเป็นเรื่องคาใจพระพันปีตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นจักรพรรดินีอยู่แล้ว ตำหนักกวงหมิงเป็นสัญลักษณ์แห่งความโปรดปรานสูงสุดขององค์จักรพรรดิที่มีต่อสตรีของตน ดังนั้นจักรพรรดินีหยวนเจิ้นที่เป็นที่รักแต่ผู้เดียวตลอดชีวิตในวังหลัง ร่วมกินร่วมนอนกับองค์จักรพรรดินั่นเป็นเกียรติและความโปรดปรานระดับใด

นั่นเป็นความฝันของสตรีทุกคนในวังหลัง ใช่ว่าจักรพรรดิทุกพระองค์ของอาณาจักรเทียนจี๋ล้วนจะเปิดใช้ตำหนักกวงหมิง เพราะที่นั่นเป็นตัวแทนหัวใจองค์จักรพรรดิ และเนื่องจากเคยเป็นวังบรรทมของจักรพรรดินีหยวนเจิ้น จึงเป็นวังหลังที่ศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรเทียนจี๋

จักรพรรดินีที่เกิดแต่ตระกูลตู้หลายสมัย นอกจากจักรพรรดินีสมัยที่หนึ่งแล้ว ไม่เคยมีจักรพรรดินีคนใดเคยเข้าไปประทับอีกเลย และนี่แทบจะเป็นไข้ใจของพระพันปี

ใครจะไปนึกถึงว่าหลังผ่านมาเป็นร้อยปี สุดท้ายกลับมีองค์หญิงที่เกิดแต่สนมคนหนึ่งเข้าไปอยู่!

นี่ย่อมเป็นเรื่องที่พระพันปีทนไม่ได้ แต่องค์จักรพรรดิผู้ทรงเชื่อฟังพระมารดาเสมอมา ครานี้กลับใจแข็งเป็นเหล็ก ยืนกรานหนักแน่นถึงความตั้งใจของตน ทั้งยังให้องค์หญิงเซ่อกั๋วซึ่งเป็นองค์หญิงคนโตเป็นผู้ถือพู่กันกุมอำนาจใหญ่การเกษียรฎีกาด้วยหมึกแดง

พระพันปีแค้นและชังองค์หญิงเซ่อกั๋วจับใจ ไม่เคยนับญาติกับนางเลย ส่วนองค์หญิงเซ่อกั๋วยิ่งไม่ต้องพูดถึง…วางมาดใหญ่โตกว่าพระพันปีด้วยซ้ำ

เฟิงหนูก็เป็นสตรี จึงย่อมเข้าใจความขุ่นแค้นชิงชังในใจของพระพันปี

ต่งหมัวมัวแลดูเฟิงหนู พลันลดเสียงลงกระซิบว่า “เยี่ยนจื่อเจ้าอายุไม่น้อยแล้ว ความอดทนของพระพันปีมีจำกัดนะ”

ห้วงเวลาที่ราชครูเร่ร่อนอยู่ภายนอก มีคุณชายสี่ตระกูลชิวอยู่เป็นเพื่อนว่ากันว่าข้างกายคุณชายสี่ไม่เคยขาดหญิงงาม ใครจะไปรู้ว่าเขาจะใช้แผนหญิงงามต่อราชครูผู้ไม่ประสาหรือไม่

ทั้งพระพันปีกับหยวนเติงซือไท่ไม่มีทางยอมให้ผู้ที่มิใช่คนของนางปรากฏข้างกายราชครูแน่

เฟิงหนูตัวแข็งแล้วหลุบตาลงผงกศีรษะ “เจ้าค่ะ”

จากนั้น นางลุกขึ้นส่งต่งหมัวมัวและพวกออกไป

ต่งหมัวมัวรีบนำทุกคนไปที่ปากประตูตำหนักเทวะ ก็เห็นข้าหลวงใหญ่สองคนยืนรออยู่ที่ประตูอย่างนอบน้อมแล้ว พระพันปีเกาะแขนฮวาหนูเยื้องย่างอย่างสง่าออกจากด้านใน แม้สีหน้าจะยังคงเรียบเฉยเหมือนก่อนเข้าไป แต่ต่งหมัวมัวอยู่ข้างกายพระพันปีมานานปี จะมิรู้ได้อย่างไรว่าสีหน้านั้นแสดงว่าพระองค์พระอารมณ์ยังไม่เลว

ต่งหมัวมัวถอนใจเฮือกใหญ่ ตรงเข้าไปหาอย่างยิ้มแย้ม “พระพันปีเพคะ”

พระพันปีพยักพระพักตร์ โบกมือทำทีให้ต่งหมัวมัวประคองพระองค์จากไป ขณะเดียวกันก็แสดงทีท่าให้คนอื่นๆ ของตำหนักเทวะไม่ต้องรอส่ง

หลังตั้งขบวนเรียบร้อย พระพันปีกับคณะก็จากไปช้าๆ

จนกระทั่งเกือบไม่เห็นตำหนักเทวะแล้ว ต่งหมัวมัวจึงทูลเสียงเบาว่า “บ่าวเห็นพระพันปีพระอารมณ์ไม่เลว ด้านท่านราชครูราบรื่นดีใช่ไหมเพคะ”

พระพันปีพยักพระพักตร์ มุมปากแย้มสรวลน้อยๆ “ไม่ผิด ครั้งนี้ราชครูตรงไปตรงมาดี ช่วยทำนายให้ข้าเป็นมงคลมาก เห็นได้ชัดว่าการตั้งรัชทายาทพระโพธิสัตว์คุ้มครอง พวกเราต้องจัดแจงเรื่องลำดับต่อไปให้ดีก็จะเป็นไปตามครรลอง ให้หลานข้าได้กุมอำนาจที่เดิมทีควรเป็นของเขา”

ต่งหมัวมัวงงงัน “พระองค์กับท่านราชครูหารือเรียบร้อยแล้ว…แต่งตั้งองค์ชายสาม…”

“แค่กๆ” พระพันปีพลันทรงไอ กล่าวเรียบๆ ว่า “กลับกันเถิด ข้าชักวิงเวียน ไปเรียกหมอหลวงหลัวมาดูหน่อย”

ต่งหมัวมัวกลอกตา “เพคะ! บ่าวจะรีบให้คนไปตามหมอหลวงเพคะ”

พระพันปีพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย แล้วยกขบวนออกจากตำหนักเทวะอย่างเอิกเกริก

เห็นขบวนของพระพันปีหายลับไปในทิวไม้บุปผาใบหญ้ารำไรไกลออกไป เฟิงหนูก็หันกายเงียบๆ สั่งเด็กหญิงรับใช้ข้างกาย “ข้าจะไปเก็บดอกบัวให้ราชครู”

เด็กหญิงรับใช้ผงกศีรษะรับคำ เฟิงหนูจึงมุ่งไปทางสระบัวเล็กๆ ใกล้ตำหนักเทวะ ในสระบัวน้ำเย็นเขียวคราม ฤดูสารทดอกบัวบานจนใกล้โรยแล้ว เหลือแต่ก้านดอกกระจัดกระจายอยู่รวมกับก้านใบที่โรยแล้วเต็มสระ

นางเด็ดบัวตูมสองดอก มองดูก้านใบที่เหี่ยวเฉาเหล่านั้น ดวงตาฉายแววรันทดถากถางตนเอง

โชคชะตาของพวกนางที่เป็นข้าทาสประดานี้ ดูเหมือนไม่มีวันเป็นตัวของตัวเองได้เลย

ไม่ต้องพูดถึงว่าราชครูอดกลั้นต่อเสวี่ยหนูครั้งหนึ่ง จะยังยอมอดกลั้นเป็นครั้งที่สองได้หรือไม่

หากถึงเวลานั้นนางทำเอาราชครูมีโทสะ ด้านพระพันปีไม่ต้องหวังอยู่แล้วว่าจะส่งคนมาช่วยนาง

นางก็แค่ข้าทาสรับใช้หน้าไม่อายที่บังอาจยั่วยวนราชครูเท่านั้น ตายแล้วก็จงตายไปเถิด

เฟิงหนูร้องเชอะอย่างถากถางตนเอง

อย่าว่าแต่องค์พระพันปีเองก็ถูกฝ่าบาทเซ่อกั๋วค่อยๆ ควบคุมไว้มากขึ้นเรื่อยๆ แพ้หรือชนะล้วนเป็นพวกเจ้านาย ต่อให้พระพันปีแพ้อย่างมากก็แค่ถูกกักบริเวณ แต่พวกนางที่เป็นคนสนิทรับใช้ข้างกายเล่าจะมีจุดจบที่น่ารันทดเพียงใด

ก็คงจะเหมือนใบและก้านที่เหี่ยวเฉาเต็มสระ ซึ่งในที่สุดก็หลุดร่วงกลายเป็นโคลนตมกระมัง

ชีวิตที่เหมือนจอกแหน ไม่เคยเป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว!

นางจิตใจปั่นป่วน มิรู้ว่าโกรธหรือเสียใจ จึงอดใจมิได้ขยี้ดอกบัวตูมสองดอกในมือจนแหลกไปโดยไม่รู้ตัว

เสียงบุรุษที่รื่นหูจู่ๆ ก็ดังขึ้นด้านหลังนาง “สาวน้อย ย่ำยีดอกไม้ที่ยากจะพานพบในฤดูสารทเช่นนี้ มิสู้มอบให้ข้าน้อยดีกว่า”

เฟิงหนูที่จมอยู่ในความคิดตกใจ พลันยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณ ปลายนิ้วกุมมีดในแขนเสื้อชั่วพริบตาและดีดไปข้างหลังโดยตรง

เดิมทีซวงไป๋คิดมาเก็บดอกบัวบ้างเพื่อนำไปไว้ในตำหนักเทวะ นึกไม่ถึงว่าจะปะกับสตรีนางหนึ่งกำลังย่ำยีบุปผาในที่นี้ เขาจึงส่งเสียงห้าม แต่เห็นอีกฝ่ายพอยื่นมือก็ออกกระบวนท่าสังหารอย่างไร้สาเหตุ

เขาเบี่ยงกายเล็กน้อย มีดของอีกฝ่ายพาดบนคอเขาในพริบตา ซวงไป๋ไม่หลบ แต่ดวงตาคู่นั้นฉายประกายเย็นเยียบแวบหนึ่ง ใบหน้างดงามที่เดิมทีเปื้อนยิ้มพลันเปลี่ยนเป็นอึมครึม