กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 530
กู้ชูหน่วนเหนื่อยล้าจนนั่งลงข้างต้นไม้ใหญ่อย่างเหนื่อยหอบ

จอมมารยื่นน้ำมาให้นาง

กู้ชูหน่วนรับน้ำมาดื่มกินอย่างกระหายและพูดด้วยความคุ้นชิน “ขอบใจ”

“ท่านพี่หญิง ท่านไม่โกรธข้าแล้วหรือ?”

จากนั้นกู้ชูหน่วนจึงนึกได้

นางยังไม่รู้สึกหายโกรธเขาเลยนี่นา

“ท่านพี่หญิง ข้าเชื่อฟังท่าน ข้าไม่ฆ่าพวกเขา ท่านอย่าได้โกรธข้าหรือโมโหข้าอีกเลย”

จอมมารกางแขนเสื้อออกและค่อยๆ เช็ดคราบน้ำออกจากใบหน้าของนาง จากนั้นกล่าวอย่างสำนึกผิด “เมื่อก่อนเป็นเพราะข้าไม่มีประสบการณ์และไม่เข้าใจอะไร รอให้ข้ากลับไป ข้าจะต้องไปเรียนรู้กับพ่อครัวอย่างแน่นอน”

“ช่างเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้การทำอาหารอะไรทั้งนั้น”

นางอยากพูดว่า เจ้าไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนั้น แต่สุดท้ายคำนี้นางก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะเกรงว่าเมื่อพูดออกมาแล้วจะเป็นการทำร้ายจิตใจของเขา

“อาม่อรู้อยู่แล้วท่านพี่หญิงดีกับข้าที่สุด”

กู้ชูหน่วนสะกิดเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ที่กำลังนอนหลับ “ลุกขึ้นได้แล้ว พาพวกข้าลงจากหุบเขาก่อน มีเรื่องสำคัญ”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หาวและพูดขึ้นมาอย่างเอื่อยโอด “ข้าทั้งหิวทั้งง่วงมากเลย”

“รอให้ลงไปจากหุบเขา แล้วข้าจะซื้อหัวหมูย่างให้เจ้าสิบหัวเลย”

“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อยากกินที่นายท่านเป็นคนย่างให้เท่านั้น”

“ได้ ขอเพียงแค่ข้ามีเวลาว่าง ข้าจะย่างให้เจ้ากิน”

“นายท่านมักโกหกข้าเสมอ”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ส่ายหัว พึมพำอะไรบางอย่างในปากและใช้หางนับไปมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงพูดขึ้นมา “นายท่าน ท่านติดค้างหัวหมูย่างข้าทั้งหมดหกสิบเจ็ดหัวแล้ว”

“ไม่เยอะเช่นนั้นหรอก”

“เยอะเช่นนี้เลย ครั้งก่อนตอนที่อยู่จวนหานอ๋อง ข้าตอบตกลงว่าจะให้หัวหมูย่างข้าสิบหัว แต่สุดท้ายก็ไม่ให้ ครั้งก่อนตอนที่อยู่เผ่าหยกก็ตอบตกลงว่าจะให้หัวหมูย่างสามหัว……”

“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องนับแล้ว หกสิบเจ็ดก็หกสิบเจ็ด เจ้าพาข้าลงไปจากหุบเขาเสียก่อน”

“ข้าไม่มีแรง”

“หากเจ้าไม่พาข้าลงไปตอนนี้ เช่นนั้นแล้วหัวหมูย่างหกสิบเจ็ดหัวเจ้าก็อย่าได้หวังว่าจะได้กินสักหัวเลย”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ทำปากบูดบึ้ง

งูที่ดีจะเลี่ยงการโดนเอารัดเอาเปรียบ

ช่างเถอะ นายท่านออกคำสั่งมา เช่นนั้นมันก็ขอเป็นงูที่ดีแล้วกัน

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กำลังจะกลับคืนสภาพเดิม แต่จอมมารกลับพูดขึ้นมา

“ข้ารู้สึกว่าที่นี่คุ้นอย่างมาก เหมือนจะเคยผ่านมาแล้วหลายครั้ง?”

กู้ชูหน่วนพูดขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าเห็นว่าตรงไหนไม่คุ้นหรือ? ครั้งนี้เจ้าพูดกี่ครั้งแล้วว่าเป็นทางไปหุบเขาตันหุย”

“ไม่ใช่ หากเดินตรงไปจากตรงนี้ก็จะเป็นทางไปหุบเขาตันหุย เมื่อก่อนนักฆ่าโลหิตเคยพาข้าเดินอยู่เป็นประจำ”

“หุบปากได้หรือไม่ ส่วนทางลงหุบเขานั้นเชื่อฟังข้า เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ ยังไม่รีบพาพวกข้าลงไปอีก”

“เดี๋ยวก่อน ข้างหน้ามีคน” หูของจอมมารขยับและพูดขึ้นมาทันที

กู้ชูหน่วนตั้งใจฟังและได้ยินเสียงเกือกม้าดังขึ้นจากข้างหน้า จากนั้นจึงได้ยินเสียงพึมพำอย่างแผ่วเบา

กู้ชูหน่วนดึงจอมมารมาหาที่เพื่อหลบซ่อนและแอบฟังที่พวกเขาพูดคุยกัน

“ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเจ้าแห่งหุบเขาคิดอะไรอยู่ ที่ได้คิดจัดงานชุมนุมแบ่งปันยาอายุวัฒนะขึ้น เดิมทีจัดขึ้นที่อวิ๋นจงหลินก็ดีอยู่แล้ว แต่กลับจัดขึ้นในหุบเขาตันหุย”

“ก็แหงสิ ชาวตันหุยกู่ของเราอยู่อาศัยกันอย่างสันโดษในหุบเขาลึกและไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายนอก และคนในหุบเขาเองก็มีน้อยนักที่จะออกไปภายนอก และเราก็ไม่ต้อนรับคนภายนอกเข้ามายังหุบเขาตันหุยของพวกเรา แต่ครั้งนี้กลับจัดงานขึ้นในหุบเขา เช่นนั้นก็เป็นการอนุญาตให้คนภายนอกเข้ามายังหุบเขาตันหุยของพวกเราน่ะสิ?”

“พวกเจ้าไม่รู้อะไร ได้ยินมาว่าครั้งนี้ในหุบเขาของเราได้กลั่นยาอายุวัฒนะชั้นยอดขึ้นมาจำนวนมาก เจ้าแห่งหุบเขากลัวว่ายาอายุวัฒนะจะถูกขโมยไป หรืออาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ฉะนั้นจัดตัดสินใจจัดขึ้นภายในหุบเขาแทน”

“ในเมื่อก็ตัดสินใจว่าจะจัดขึ้นภายในหุบเขาแล้ว เช่นนั้นแล้วคนที่เราเชิญมาก็สามารถเชิญเข้าไปในหุบเขาได้เลยนะสิ เหตุใดถึงต้องอ้อมเสียไกลเช่นนี้ หลายวันมานี้ ข้าส่งคนเหล่านั้นเข้าไปยังในหุบเขาจนเหนื่อยล้าเหลือเกิน”

“เจ้าโง่ หุบเขาตันหุยคือที่ไหนกัน จะปล่อยให้คนอื่นเข้าไปง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร? หากพวกเขามีจิตใจคิดร้ายจะทำอย่างไร จำเป็นต้องปิดตาและพาพวกเขาอ้อมไปมาเสียก่อนสิ”

“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น” “ฟ้าใกล้มืดแล้ว เรารีบกลับกันก่อนเถอะ จะได้ไม่ถูกลงโทษ พรุ่งนี้เรายังต้องไปรับคนอีกกลุ่มหนึ่งอีก หลังจากนั้นก็เป็นงานการชุมนุมการแบ่งปันยาอายุวัฒนะแล้ว”

คนเหล่านั้นพูดคุยกันจนมาปรากฏตัวต่อสายตาของพวกเขา

กู้ชูหน่วนมองไปรอบๆ และเห็นว่ามีวัยรุ่นเจ็ดหรือแปดคน ทั้งหมดแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเทา บนเสื้อผ้าปักด้วยตัวอักษร “ตัน” ตัวใหญ่ นอกจากนี้ยังมีลวดลายหยินหยางอีกด้วย

เมื่อพิจารณาจากเสื้อผ้าและบทสนทนาของพวกเขา คนเหล่านี้คาดว่าน่าจะเป็นคนของหุบเขาตันหุย

ดวงตาของกู้ชูหน่วนกลอกกลิ้งไปมา

จอมมารขยับตัวออกห่างจากนางเล็กน้อย “ท่านต้องการทำอะไรน่ะ?”

ด้วยสายตาเช่นนี้ เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางกำลังคิดอะไรไม่ดีอยู่หรือไม่

“เจ้าทำสาส์นเชิญนั่นพังไปแล้วใช่หรือไม่?”

“ใช่……ใช่น่ะสิ มันขาดจนไม่สามารถนำมาต่อให้ติดกันได้แล้ว ข้าไม่สามารถทำให้มันกลับคืนสภาพเดิมได้หรอก”

“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าทำให้กลับคืนสู่สภาพเดิม แต่หากจัดการกับเจ็ดแปดคนเหล่านั้นคงไม่ยากเกินไปใช่หรือไม่” กู้ชูหน่วนชี้ไปที่ชายวัยรุ่นเจ็ดแปดคนที่อยู่ตรงหน้า

“ท่านพี่หญิง ข้าเห็นแผนการของท่านในแววตาของท่านแล้ว”

“เหลวไหล แผนการอะไรของเจ้า เดิมทีหุบเขาตันหุยก็เชิญเจ้า เพียงแต่เจ้าดันทำสาส์นเชิญพังเสียก่อน ฉะนั้นตอนนี้เจ้าไม่สามารถเข้าไปได้ และตอนนี้เราเพียงแค่ลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อจะได้เข้าไปก็แค่นั้นเอง เรื่องแค่นี้ไม่เกินไปหรอกน่า ถึงอย่างไรเสียเดิมทีเจ้าก็ควรต้องปรากฏตัวอยู่ที่นั่น”

“ท่านต้องการให้ข้าปลอมตัวเป็นพวกเขาเพื่อเข้าไป?”

“หุบเขาตันหุยมีการตรวจค้นที่เข้มงวดอย่างมาก ต่อให้ปลอมตัวเป็นพวกเขาก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขาแบกเกี้ยว (เก้าอี้เก๋ง) ไม่ใช่หรือ เรานั่งเกี๊ยวของพวกเขาเข้าไป”

“เช่นนั้นก็ต้องถูกตรวจค้นไม่ใช่หรือ?”

“ถึงตอนนั้นเมื่อสบโอกาสก็จัดการ ข้าเชื่อในความสามารถของเจ้าว่าเจ้าจะต้องพาข้าเข้าไปได้อย่างปลอดภัยใช่หรือไม่?”

กู้ชูหน่วนยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ซือม่อเฟยต้องขนลุกและหนักใจอย่างมาก

คำพูดนี้ราวกับว่า หากเขาไม่สามารถพานางเข้าไปได้ เช่นนั้นก็ถือเป็นการเสียหน้าอย่างมาก?

“ไปเถอะ ข้าจะรอเจ้า” กู้ชูหน่วนกะพริบตาเพื่อเป็นการให้กำลังใจเขา

จอมมารยิ้มออกมาอย่างลำบากใจ และในขณะที่เขายกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย ลูกศิษย์เจ็ดแปดคนของตันหุยกู่ก็ถูกพายุทรายพัดเข้าจนไม่สามารถลืมตาได้

และในขณะเดียวกัน จอมมารก็โอบเอวของกู้ชูหน่วนและกระโดดไปนั่งในเกี๊ยว

หลังจากที่พายุทรายผ่านไป ลูกศิษย์ของตันหุยกู่ต่างก็พูดขึ้นมา “แปลกเหลือเกิน อากาศก็ดีเช่นนี้ แต่กลับมีลมพายุขึ้นมา”

“หรือว่าฝนกำลังจะตก เช่นนั้นเรารีบกลับไปกันเถอะ”

ทุกคนต่างรีบแบกเกี้ยวกลับไปอย่างรีบร้อน

หนึ่งในลูกศิษย์กล่าวขึ้น “แปลกเหลือเกิน รู้สึกเหมือนว่าเกี้ยวนี่จะมีน้ำหนักมากขึ้น”

“ข้าก็รู้สึกว่าหนักขึ้น”

ผู้ที่เป็นหัวหน้าคอยดูแลอดไม่ได้ที่จะเขกหัวของพวกเขาคนละหนึ่งที

“แค่ให้พวกเจ้าแบกเกี้ยวเปล่าเท่านั้น แต่พวกเจ้ากลับบ่นมาตลอดทาง รีบเดินและหยุดพูดมากได้แล้ว”

คนแบกเกี้ยวรู้สึกขมขื่นแต่ไม่อาจพูดออกมาได้

ก่อนหน้านี้พวกเขาแอบอู้และบอกว่าหนักจริง แต่ตอนนี้มันมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นจริงๆ

ภายในเกี้ยว จอมมารขยับตัวเข้าใกล้เพื่อสูดดมกลิ่นหอมของสมุนไพรบนตัวนาง เขายิ้มและกล่าวว่า “ท่านพี่หญิง ท่านรู้สึกไหมว่าเรากำลังนั่งอยู่ในเกี๊ยวแต่งงาน”

กู้ชูหน่วนจ้องเขาตาเขม็ง

“เก็บความคิดอันสกปรกของเจ้าเดี๋ยวนี้”

เกี้ยวเดินทางไปอย่างราบรื่นตลอดทาง

หลังจากเดินทางมาเกือบสองชั่วยาม ตอนนี้ก็ได้มาถึงปากทางเขตอาคมของหุบเขาตันหุย

หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาหลายวันหลายคืน กู้ชูหน่วนเหนื่อยล้าจนแทบทนไม่ได้

นางรู้ว่าหลังจากมาถึงหุบเขาตันหุยแล้ว จะต้องมีการต่อสู้ที่ยากลำบาก ดังนั้นนางจึงนั่งหลับอยู่ในเกี้ยวและมอบหน้าที่อันยากลำบากในการบุกเข้าไปในหุบเขาตันหุยให้เป็นหน้าที่ของจอมมาร

หากแม้แต่หุบเขาตันหุยก็ไม่สามารถเข้าไปได้ล่ะก็ เช่นนั้นแล้วเขาก็ไม่สมควรเป็นผู้นำของเผ่าปีศาจอีกต่อไป