ตอนที่1355 หวังซงมาแล้ว!

 

ปังงง!

 

จอกชาในมือหวังซ่งถูกบดละเอียดเป็นผุยผงทันควัน

“เย่หยวน? ดี! ดีมาก! หาญกล้าปีนขึ้นหัวข้าถึงเพียงนี้! ข้าจะทำให้เจ้าเห็นเองว่า สิ่งใดเรียกว่า หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด!”

หวังซ่งกัดฟันกรอดอย่างโกรธจัด คู่ดวงตาแดงกล่ำประดุจเพลิงสีโลหิตลุกโชกช่วง

หากเพลิงพิโรธนี้สามารถฆ่าเย่หยวนได้ ป่านนี้คงแผดขยายนับล้านลี้ผลาญร่างอีกฝ่ายจนเกรียมได้แล้ว

เขาเพิ่งได้รับรายงานจากทางตำหนักเจ้าเมืองกุยฉางว่า น้องชายของเขาหวังซูและจอมเทพโอสถสองดาวอย่างหวังซวนเฟยเสียชีวิตทั้งคู่โดยน้ำมือของชายหนุ่มนามว่าเย่หยวนแห่งหอมหาสมบัติ!

ทันทีที่ทราบข่าวนี้  เขาพลันโกรธเป็นฝืนเป็นไฟขึ้นในทันที

หวังซ่งมาอายุมากกว่าหวังซูอยู่มากสำหรับเขาแล้วอาจกล่าวได้ว่า เหมือนเป็นทั้งพี่ชายและพ่อของหวังซูในเวลาเดียวกัน สองพี่น้องคู่นี้สนิทกันยิ่งกว่าอะไร

กว่าสามสิบปีแล้วที่น้องชายของเขาเดินทางไปช่วยเหลือตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉาง ทีแรกหวังซูถูกส่งตัวไปคนเดียว แต่เป็นหวังซ่งที่ทาบทามขอให้ผู้อาวุโสหวังซวนเฟยเดินทางไปพร้อมกับเขาด้วย เพื่อช่วยเหลืออีกแรง

เขาวางแผนไว้ว่า ให้หวังซูออกไปเกี่ยวเก็บประสบการณ์ให้เยอะๆ ทั้งหมดก็เพื่อตำแหน่งประมุขตระกูลของหวังซูในอนาคต

แต่หวังซ่งกลับไม่คิดไม่ฝัน กลับมีไอ้เด็กเหลือขอจากไหนไม่ทราบ บังอาจคร่าชีวิตน้องชายบังเกิดเกล้าของเขาลงเช่นนี้

 

สำหรับตัวหวังซ่งเอง ความทะเยอทะยานของเขามิได้หยุดลงแค่เมืองหมิงหยาง หรือตระกูลหวังเล็กๆแห่งนี้แน่นอน ดั่งว่ามังกรตัวนี้กำลังขดหางซุ้มซ่อนอยู่ใต้ทะเลลึกเพื่อรอวันผงาด

ดังนั้นแล้ว เขาจึงพยายามปลุกปั้นน้องชายของเขาขึ้นรับตำแหน่งประมุขตระกูลหวังแทนตัวเขา

ทว่าทันทีที่ทราบข่าวการตายของน้องชาย ประดุจภาพวาดฝันทั้งหมดแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี

 

“เจ้า! มานี่!”

หวังซ่งคำรามลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว

 

“ขอรับนายท่าน!”

คนรับใช้ผู้หนึ่งเร่งตรงเข้ามารับสั่ง

 

“เตรียมลูกมังกรเทวะให้ข้าออกเดินทางโดยเร็ว! ไม่…ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ทันที!!”

 

 

คนรับใช้ผู้นี้สีหน้าซีดกลัวอย่างมาก เขาเร่งผงกศีรษะเปล่งเสียงรับคำรัวๆ

ลูกมังกรเทวะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เร็วกว่าลูกมังกรทั่วไป ซึ่งประสิทธิภาพระหว่างลูกมังกรสองสายพันธุ์นี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ความเร็วของลูกมังกรเทวะนับเป็นสิบเท่าทวีของลูกมังกรทั่วไป

แม้แต่ในเมืองหมิงหยางยังมีผู้ครอบครองลูกมังกรเทวะไม่ถึงห้าคน และสามในห้าล้วนเป็นคนของตำหนักเจ้าเมือง

 

หวังซ่งที่เรียกใช้ลูกมังกรเทวะทันทีโดยไม่ลังเล จะเห็นได้ชัดว่า เขาโกรธจัดขนาดไหนในตอนนี้

ไม่นานเกินรอ เขาก็ตรงดิ่งออกจากเมือง ควบทะยานลูกมังกรเทวะตัดเมฆาข้ามหุบเขาเป็นทางทอดยาวสุดสายตา

 

 

…………………….

 

 

หลังจากที่ตระกูลหวังหายสาบสูญไปจากเมืองกุยฉาง ณ เมืองกุยฉางในปัจจุบันก็กลับสู่ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขอย่างหาประหลาดใจ

ส่วนฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองแทบไม่มีบทบาทหรือออกมาเคลื่อนไหวใดๆเลย ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยมีอยู่ก็มิปาน

สำหรับเรื่องหวังซูถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมโดยเย่หยวน พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะปริปากเอ่ยออกมา

แน่นอนว่า พวกเขาไม่สมควรขยับขยายสานความเรื่องพวกนี้ต่อเช่นกัน

 

ในตอนนี้ เย่หยวนได้กลับเข้าสู่การเก็บตัวอีกครั้ง

ภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ เย่หยวนกำลังบุกทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายอย่างเต็มอัตราสูบ เพียงพริบตาครึ่งปีได้ผ่านพ้นไป

อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนจำต้องผิดหวังในท้ายที่สุด เขาตระหนักได้ว่านี่มิใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด

 

โอสถบ่มเพาะพลังกลับไม่เพียงพอต่อความต้องการเขาเลย!

โอสถบ่มเพาะปราณที่ใช้เพื่อบ่มเพาะพลังของเย่หยวนโดยเฉพาะ หากเทียบชั้นกับโอสถบ่มเพาะพลังสำหรับขายในหอมหาสมบัติ  ของที่เย่หยวนใช้เหนือกว่าอย่างเทียบไม่ติด

กระนั้นเองค่าวัตถุดิบในการหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะพลัง กลับมีราคาที่สูงกว่าตอนหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะมาก

แม้จะได้รับการสนับสนุนจากหอมหาสมบัติ แต่นี่กลับไม่สามารถจัดหามาได้เพียงพอต่อเงื่อนไขที่เย่หยวนต้องการได้เลย

ภายใต้ความสิ้นหวังในด้านข้อกำจัดนี้ เย่หยวนจึงทำได้เพียงดูดซับพลังวิญญาณจากฟ้าดินเพื่อบ่มเพาะไปเรื่อยๆเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความเร็วในการพัฒนาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

 

“ข้าดันไปสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังวิปลาสชนิดใดเข้ากันแน่? ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของข้าจึงกลายมาเป็นหลุมลึกไม่มีสิ้นสุดแบบนี้! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าไม่สามารถจ่ายไหวแน่นอน!”

หลังจากขัดสมาธิบ่มเพาะพลังได้ระยะหนึ่ง เย่หยวนก็บ่นขึ้นมาให้หวูเฉินฟัง

 

หวูเฉินตื่นตะลึงอยู่ข้างกายเย่หยวนมานานแล้ว ยามได้ยินเช่นนั้นจึงตอกสวนเสียงเย็นว่า

“หยุดอวดความฉลาดได้แล้วกระมัง! หากวรยุทธบ่มเพาะพลังของเจ้าถูกเผยแพร่ออกไปทั่วมหาพิภพถงเทียน ต่อรวยล้นฟ้าเพียงใดก็ไม่สามารถคว้ามันมาครอบครองได้! แม้เจ้าจำต้องใช้พลังปราณเทวะปริมาณมหาศาลกว่าคนอื่นๆมาก แต่หากต้องแลกมาด้วยความเร็วในการผึดปรือที่แสนวิปลาสเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ยอมทั้งนั้น! เจ้ามีพัฒนากรเร็วกว่าคนอื่นเฉลี่ยแล้วถึงหลายสิบทวีเท่า!”

 

เย่หยวนพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า

“แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เงื่อนไขที่ร่างกายข้าต้องการกลับมากเกินไป หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ข้าจะไปหาผลึกปราณเทวะมามากมายจากไหนกัน?”

 

 

หวูเฉินพยักหน้าคล้ายเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ และกล่าวเสริมว่า

“มันก็จริง เงื่อนไขที่ร่างกายเจ้าต้องการมหาศาลเกินไปจนเป็นปัญหา แต่หากแลกมาด้วยสามารถย่นเวลานับหลายพันปีแห่งการฝึกปรือแสนขมขื่นได้ สิ่งนี้กลับคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม พึงทราบไว้ คนอื่นๆใช้เวลานับพันปีกว่าจะเลื่อนระดับได้สักครั้ง แต่เจ้าใช้เวลาเพียงแค่ร้อยปี แค่นี้ก็มหัศจรรย์เกินพอแล้ว!”

 

เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างไร้ประโยชน์ว่า

“ดูท่าข้าจำต้องเดินทางไปยังเมืองหลวงหวูเมิ่งโดยเร็วที่สุด เมืองกุยฉางแห่งนี้เล็กเกินไป และมิอาจตอบสนองความต้องการของข้าได้อีกแล้ว แม้จะมีผลึกปราณเทวะมากมายเพียงใด แต่ทรัพยากรในเมืองนี้กลับเริ่มไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับข้าแล้วเช่นกัน!”

 

หวูเฉินกล่าวต่อว่า

“อืม ใกล้ได้เวลาออกเดินทางแล้วจริงๆ อย่างไรก็ตาม…เรื่องแม่สาวตระกูลเหลียงนางนั้น เจ้าจะวางแผนจัดการอย่างไร?”

 

เย่หยวนชะงักทื่อไปทันทีที่ได้ยิน ก่อนครุ่นคิดเล็กน้อยและกล่าวตอบว่า

“คงต้องนำไปด้วย ข้าทำให้กลุ่มอิทธิพลภายในเมืองกุยฉางขุ่นเคืองไม่น้อย ไม่สามารถปล่อยให้นางอยู่คนเดียวได้ ยิ่งไปกว่านั้นเอง ด้วยนิสัยของเฉินหย่งหนาน บางทีมันอาจระบายความโกรธใส่นางแทน”

 

หวูเฉินลูบเครายาวพลางสนุกมือและกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า

“หุหุ ก็ดีไม่น้อย นางเองก็ทั้งสวยและจิตใจดี หากพาไปด้วยนางอาจเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าในอนาคต และที่สำคัญเลย…สามารถบ่มเพาะพลังร่วมกันได้ด้วย นางจักต้องเป็นคู่ฝึกเต๋าที่ดีของเจ้าแน่นอน!”

 

สีหน้าเย่หยวนผันเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬในบัดดลและกล่วาว่า

“หากไม่สามารถช่วยชีวิตหลินเสวียได้ เย่คนนี้จะไม่ขอแต่งงานอีกเลยชั่วชีวิต! ท่านอาวุโสโปรดอย่ากล่าวถึงเรื่องเช่นนี้อีกเลย!”

 

แต่หวูเฉินกลับหัวเราชอบใจ ก่อนเอ่ยปากกล่าวขึ้นอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า

“แล้วถ้าหากวันหนึ่งเจ้าสามารถช่วยชีวิตนางกลับมาได้จริงๆล่ะ? ที่เหลือจะเอาอย่างไรต่อ?”

 

เย่หยวนอดสำลักมิได้เมื่อได้ยินแบบนั้น ยามนี้ถึงกับเงียบกริบ

คำถามนี้เขาไม่เคยนำมาคิดเลยสักครั้ง

หรือบางที…เขาอาจจงใจไม่นำมาคิดเลยต่างหาก

 

 

………………………

 

 

บูมมม!

ประตูหน้าของหอมหาสมบัติถูกใครบางคนระเบิดออกภายในหนึ่งฝ่ามือ

 

“ไปเรียกเย่หยวนออกมาพบข้าผู้นี้! มิฉะนั้นข้า,หวังซ่งจะทำลายหอมหาสมบัติให้สิ้นซากเพียงข้ามวัน!”

ครึ่งปีผ่านไป ในที่สุดหวังซ่งก็มาถึงเมืองกุยฉางในท้ายที่สุด

การกระทำอันโผงผางของเขาได้กลายมาเป็นจุดสุดใจของทุกคน แค่พริบตาเดียวปราฏฝูงชนแห่เข้ามารอยล้อมจนทั่วบริเวณ

เรียบง่ายและหยาบคายในเวลาเดียวกัน เขามิได้ต้องการมาที่นี่เพื่อฟังเหตุผลใดอื่นอีกต่อไป

เขามาที่นี่เพื่อฆ่าคน!

เลือดต้องล้างด้วยเลือด!

 

 

“เขาผู้นี้เป็นใครกัน? ไฉนทรงพลังปานนี้?”

 

“นั้นสิ เขาผู้นี้เป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลาย พินิจจากจุดนี้ก็แกร่งกล้ายิ่งกว่าท่านเจ้าเมืองแล้ว! หอมหาสมบัติบังเอิญไปกระตุ้นการดำรงอยู่ระดับชั้นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

 

“อืมม.. เดี๋ยวก่อน…ข้าจำได้แล้ว! หวังซ่งผู้นี้มิใช่พี่ชายของหวังซูหรอกรึ? เขามาที่นี่เพื่อล้างแค้น!”

 

 

…………………….

 

 

หวังซ่งหาได้เจตนาปิดบังตัวตนแต่อย่างใด ในไม่ช้าก็มีบางคนคาดเดาตัวตนของเขาได้ทันที พร้อมทำเอาฝูงชนตะลึงงันกันเป็นแถว

รองเจ้าเมืองหมิงหยาง รีบเร่งตรงมายังเมืองกุยฉาง

เมืองกุยฉางกับเมืองหมิงหยางอยู่ห่างไกลกันมาก ต่อให้ควบทะยานลูกมังกรตลอดทาง ยังต้องใช้เวลากว่าสองถึงสามปี

ทว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเพิ่งผ่านไปได้ครึ่งปีเศษ เห็นได้ชัดว่า หวังซ่งรีบมาเป็นการด่วนจี๋

หวังซ่งที่เข้ามาสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ ต่างทำให้ผู้คนพากันตื่นตระหนกหนัก

 

ในไม่ช้าหยางรุยก็ปรากฏตัวขึ้น

หัวคิ้วขมวดเข้มมุ่นหงิก เขาเอ่ยกล่าวแผดเสียงเย็นขึ้นว่า

“หวังซ่ง นี่หมายความว่าอย่างไร? เห็นพวกเราหอมหาสมบัติง่ายต่อการรังแกมากกระมัง?”

 

หวังซ่งกล่าวตอกเสียงขรึมว่า

“หอมหาสมบัติหาใช่กลุ่มอำนาจที่ควรต่อแย ทว่า…พวกหอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉางกลับง่ายมากที่จะลงมือ! เจ้าคงเป็นประมุขหอมหาสมบัติสาขานี้? ส่งตัวเย่หยวนออกมาซะ มิฉะนั้นวันนี้ข้าจะเป็นคนรื้อหอมหาสมบัติของเจ้าเอง!”

 

กลิ่นอายสุดแกร่งกร้าวของหวังซ่งแพร่กระจายออกมา สร้างแรงคุกคามกดหยางรุยมิให้ขยับตัวไปไหนได้เลย

อาศัยเพียงความแข็งแกร่งของหยางรุย นั้นกลับไม่พออุดร่องฟันของหวังซ่งได้เลยด้วยซ้ำ

 

หยางรุยกัดฟันแน่นพยายามต้านทนแรงคุกคามอันหนักอึ้ง เขาเค้นเสียงเย็นเอ่ยขึ้นว่า

“หากข้าไม่ส่งตัวเขาออกมาล่ะ?”

 

คู่ดวงตาของหวังซ่งพลันหรี่แคบลงในทันใด ประกายแสงเย็นโฉบวาบ หวังซ่งเพียงสะบัดฝ่ามือออกไปเบาๆเท่านั้น!

 

หยางรุยคาดไม่ถึงเลยว่า หวังซ่งจะกล้าลงมือประเจิดประเจ้อกลางถิ่นคนอื่นได้ขนาดนี้ ส่งผลให้เขามิได้เตรียมพร้อม ขณะเร่งโคจรพลังปราณเทวะเพื่อปัดป้อง ยามนี้กลับสายเกินไปเสียแล้ว

 

บูมมมม!

หยางรุยทรุดลงกันพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงเกินตอบโต้

 

หวังซ่งระเบิดพลังเปี่ยมจิตสังหารพุ่งพล่านจนล้นปรี่ ขณะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า

“ฝ่ามือนี้ถือเป็นบทเรียน อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือสังหารเจ้าจริงๆ! ต่อหน้าข้าผู้นี้ เจ้ากลับไม่ต่างจากมดตัวหนึ่ง! และถึงแม้ว่าข้าจะสังหารเจจ้าลงไปจริงๆ แต่หอมหาสมบัติจะทำอะไรข้าได้ขนาดไหนเชียว?”

 

หวังซ่งผู้นี้เป็นคนใจร้อนเอาแต่ใจ หอมหาสมบัติหาได้อยู่ในสายตาของเขาเลย

ด้วยสถานะศักดิ์ของเขา หวังซ่งไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวหอมหาสมบัติเลย!