อย่าคิดจะรอดชีวิตกลับไปเลย โดย Ink Stone_Fantasy

“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก คนในแดนฝึกตนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ผู้หญิงที่ไม่แต่งงานมีอยู่เกลื่อนกลาด ไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียวเสียหน่อย” ฉินเวยเวยพูดเย้ยตัวเอง

“ถึงแม้จะพูดแบบนี้ ผู้หญิงที่ไม่แต่งงานมีอยู่เกลื่อนกลาดจริงๆ แต่ถ้าหาก…” พอพูดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ส่ายหน้าหัวเราะ ไม่สะดวกจะพูดประโยนถัดไป

แต่ฉินเวยเวยกลับหันมามองอย่างฉงนใจ ถามซักไซ้ว่า “แต่ถ้าอะไรเหรอ? นายท่านพูดมาตรงๆ ได้เลยค่ะ”

“ก็ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้หรอก แค่กลัวว่าพูดออกมาแล้วเจ้าจะเสียหน้า” เหมียวอี้หันมาถามว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าเหมือนจะไม่เคยคลุกคลีอยู่กับผู้ชายจริงๆ จังๆ สักทีเลยใช่มั้ย?”

ฉินเวยเวยหัวเราะแบบไร้เสียง “ไม่มีอะไรเสียหน้าหรอก นายท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่?”

“ข้าหมายความหมาย ผู้หญิงแบบนั้นมีอยู่เกลื่อนกลาด นั่นก็จริงอยู่ แต่ส่วนใหญ่พวกนางผ่านผู้ชายมาทั้งนั้น บางคนก็เข้ากันไม่ได้แล้วแยกทางกัน บางคนคำนึงถึงทรัพยากรฝึกคน คิดว่าอยู่คนเดียวก็ดีแล้ว แต่เจ้าไม่เคยผ่านประสบการณ์เรื่องชายหญิงมาก่อนเลย ถ้าไม่เคยผ่านสักครั้งแล้วบอกว่าจะไม่แต่ง ข้ารู้สึกว่าแปลกชอบกล ยอมแพ้ทั้งๆ ที่ไม่เคยลิ้มลองรสชาติ ไม่กลัวเสียใจทีหลังเหรอ?” เหมียวอี้ฉงนใจ

ฉินเวยเวยตอบจากใจว่า “ช้าเองก็เป็นผู้หญิงธรรมดา มีความปรารถนาแบบนี้เหมือนกัน ส่วนในอนาคตจะได้แต่งงานหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะไม่มีโอกาสแล้วกระมัง เรื่องในอนาคตใครก็พูดให้ชัดเจนได้ยาก”

“นั่นก็ใช่!” เหมียวอี้พยักหน้า “ก็อย่างที่ข้าบอก ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน ถ้าเจอคนที่เหมาะสมหรือเจอคนที่อยู่ในฐานะที่ไม่สะดวกจะเอ่ยปาก ข้าก็สามารถช่วยได้ ถ้าไม่สะดวกจะพูดกับผู้ชาย เจ้าก็ไปหาฮูหยินได้ ให้นางช่วยคิดหาวิธี อาศัยความสัมพันธ์ของเจ้ากับฮูหยิน ฮูหยินคงไม่ปฏิเสธที่จะช่วยแน่”

“น้ำใจของนายท่าน ข้าซาบซึ้งแล้ว!” ฉินเวยเวยเอียงหน้ามองไปยังคลื่นใสที่กระเพื่อมอยู่สองข้างเรือ พลางหัวเราะเงียบๆ “ไม่พูดเรื่องของข้าแล้ว ฮูหยินมักจะเอ่ยเรื่องรับอนุภรรยาของนายท่านบ่อยๆ เท่าที่ข้าสังเกตดู เหมือนฮูหยินจะมีเจตนาอย่างนั้นจริงๆ”

ถ้ามีเจตนาอย่างนี้จริงๆ ก็แปลกแล้ว นางเอ่ยถึงเรื่องของฝาแฝดอยู่บ่อยๆ! เหมียวอี้กำมือพลางไอแห้งๆ “เจ้าอย่าไปฟังนางพูดเหลวไหลเลย คำพูดแบบนี้ของผู้หญิง ไปคิดเป็นจริงเป็นจังไม่ได้หรอก”

ฉินเวยเวยกล่าวอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “ก่อนที่จะมา ฮูหยินสั่งข้าเอาไว้ ให้ข้าหาโอกาสถามว่านายท่านชอบผู้หญิงแบบไหน ถ้ามีคนไหนถูกใจก็ให้บอก ฮูหยินจะช่วยจัดการรับมาให้ท่าน! ข้ายืนยันมาแล้ว ว่าฮูหยินหมายความอย่างที่พูดจริงๆ”

พูดจริงก็แปลกแล้ว เกรงว่าถ้าเอ่ยชื่อใครคนนั้นก็คงซวย ผู้หญิงบ้านั่นกำลังทอดสอบข้าด้วยวิธีการทางอ้อมต่างหาก! เหมียวอี้ส่ายหน้าตอบอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่เคยนึกถึงเรื่องพรรค์นี้ แถมข้ายังไม่ค่อยมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงคนอื่น จะไปคิดได้อย่างไร” เขาหันมามองฉินเวยเวยศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ถ้าพูดถึงผู้หญิง ก็เหมือนจะได้ใกล้ชิดกับเจ้ามากกว่าคนอื่น แต่คงให้เจ้ามาเป็นอนุภรรยาข้าไม่ได้อยู่แล้วล่ะ? แบบนั้นหยางชิ่งคงเล่นงานข้าตาย!”

ฉินเวยเวยยิ้มบางๆ แล้วถามเหมือนล้อเล่นว่า “ถ้าตัดปัจจัยเรื่องพ่อของข้าออกไป นายท่านจะแต่งงานกับข้ารึเปล่า?”

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ใช่ว่าเราสองคนจะไม่เคยลองสักหน่อย เจ้าอย่าลืมนะ ว่าตอนแรกข้าไปสู่ขอเจ้ากับผู้การหยาง เราสองคนเกือบจะได้เป็นสามีภรรยากันแล้ว ผลเป็นอย่างไรเจ้ายังไม่รู้ชัดอีกเหรอ?”

ฉินเวยเวยพยักหน้า “รู้ชัดสิ! นายท่าน ถ้าตอนนั้นข้าไม่สนใจความเห็นของพ่อข้า แล้วต้องการจะแต่งงานกับท่านจริงๆ ท่านจะแต่งกับข้ารึเปล่า?”

คำถามนี้ควรค่าให้เหมียวอี้ครุ่นคิด เขาส่ายหน้าช้าๆ พลางตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน! ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีแล้ว สำหรับคนในแดนฝึกตน เวลาผ่านไปเร็วมากจริงๆ!”

สำหรับเหมียวอี้ ถ้านำเรื่องในตอนนั้นมาพูดถึงในตอนนี้ เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน สภาพจิตใจต่างออกไปแล้ว ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมาเยอะ ผ่านอันตรายมาเยอะ ทำเรื่องต่างๆ โดยไม่สนวิธีการ เรื่องหลอกเอาเงินหรือใส่ร้ายคนอื่นก็ทำมาเยอะเหมือนกัน

เมื่อมองย้อนไปอดีต เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไร้เดียงสาเกินไป โดยเฉพาะตอนที่สู้ตายไม่ยอมแพ้ที่ถ้ำล่องนิภา ต้องโดนกดดันถึงจะยอมแพ้ ภาพนั้นฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเขามากที่สุด พอมองย้อนไปก็รู้สึกว่า ต้องโง่ขนาดไหนถึงจะทำเรื่องแบบนั้นได้ ถ้ำนั้นไม่เกี่ยวกับตัวเองแท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะยอมสู้ตายเพื่อมัน ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนนี้คงยอมแพ้ไปเสียเลย รักษาชีวิตไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

และถ้าให้ตัวเองในอดีตมามองตัวเองในตอนนี้…

สายตาของเหมียวอี้เปลี่ยนเป็นเลือนรางนิดหน่อย พบว่าบนเส้นทางนี้ ตัวเองยิ่งเดินยิ่งไกลจริงๆ…

เมื่อไม่ได้คำตอบที่จริงจังชัดเจน ฉินเวยเวยก็ไม่ได้ถามอีก ดูจากผ้าคลุมที่อยู่บนไหล่ของเขา ทั้งยังมีคำพูดบอกใบ้เมื่อครู่นี้ ด้วยนิสัยใจคออย่างนาง ทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว นางคิดว่าเขาควรจะฟังออกสิถึงจะถูก แต่ดูจากปฏิกิริยาของเขา วันนี้นางถึงได้เข้าใจ ว่าผู้ชายคนนี้มีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำมาก เกรงว่าถ้าไม่เปิดเผยตรงๆ เขาก็ไม่มีวันรับรู้ถึงความรู้สึกของนางตลอดไป

ทว่าพอมาคิดทบทวนตัวเอง ก็พบว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่เงียบและเก็บตัวจริงๆ ถ้าพูดตรงเกินไปก็จะฟังดูไม่เข้าท่า ถ้าไม่ใช่เพราะอย่างนี้ บางทีเรื่องราวระหว่างทั้งสองอาจจะได้บทสรุปไปนานแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ตาม ตอนหลังอาจจะไม่มีอวิ๋นจือชิวมาเกี่ยวข้องแล้วก็ได้ และคงไม่จำเป็นต้องทรมานตัวเองมาหลายปีอย่างนี้ด้วย

ตัวเองเป็นอะไรไป? ฉินเวยเวยยิ้มขื่นขมในใจ ตั้งแต่วันที่เหมียวอี้แต่งงาน เดิมทีนางคิดว่าตัวเองจะเลิกใฝ่ฝันเพ้อเจ้อไปแล้ว ทำไมตอนนี้ตัวเองถึงเริ่มรุกเข้าถอยออก ทำไมเริ่มลังเลเดินกลับไปกลับมาอีกล่ะ?

เมื่อลองครุ่นคิดหาสาเหตุอย่างละเอียด ปัญหาเกิดขึ้นจากฮูหยินอวิ๋นจือชิว ถ้าไม่ใช่เพราะฮูหยินพูดอย่างชัดเจนว่าต้องการหาอนุภรรยาให้เหมียวอี้ ความคิดนี้ก็คงไม่ผุดขึ้นมาอีก และหัวใจที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งก็ค่อนข้างเด่นชัด เหมือนจะอยากคว้าโอกาสนี้ไว้ ราวกับคนที่ใกล้จะจมน้ำตาย แต่จู่ๆ ก็คว้าฟางช่วยชีวิตเส้นหนึ่งเอาไว้ได้ ถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าฟางเส้นนี้จะช่วยชีวิตตัวเองได้หรือไม่ แต่ก็ยังอยากไขว้คว้าเอาไว้ ไม่อยากปล่อยผ่านไป

เรือบนแม่น้ำสั่นโคลงเคลง ม่านบนห้องเรือเลื่อนลง สองคนที่ยืนอยู่บนหัวเรือเงียบงัน ต่างคนต่างกำลังครุ่นคิด…

ตอนที่กลับมาถึงเรือนพัก ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว หลินผิงผิงที่กำลังรอออกมาต้อนรับ ฉินเวยเวยที่ก้าวเข้าประตูลานบ้านสั่งว่า “เดี๋ยวเตรียมน้ำไว้ให้นายท่านอาบด้วยนะ”

“ไม่ต้องหรอก ดึกมากแล้ว ไม่ได้ไปทำอะไรมาด้วย” เหมียวอี้กล่าว

ฉินเวยเวยจึงบอกว่า “ฮูหยินได้สั่งไว้ก่อนจะมาค่ะ”

“ผู้หญิงคนนั้นปัญหาเยอะจริงๆ…” เหมียวอี้บ่นพึมพำกับตัวเอง เขาไม่เหมือนกับอวิ๋นจือชิว ถ้าจะให้เขาอาบน้ำวันละสองครั้งเหมือนนาง เขาทำไม่ได้จริงๆ

ไม่กี่วันต่อมา ฉินเวยเวยก็แทบจะปรนนิบัติเหมียวอี้อย่างรอบด้าน นางบอกถึงปัญหาของการอดอาหาร ขนาดน้ำชาที่เหมียวอี้ดื่ม นางก็ยังไม่ให้คนอื่นทำให้ นางยกมาวางตรงหน้าเหมียวอี้ด้วยตัวเอง พอเหมียวอี้บอกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ฉินเวยเวยก็จะอ้างอวิ๋นจือชิวอีก บอกว่าฮูหยินสั่งมา ทำให้เขาต้องกลอกตามองบน

ครั้งนี้เขานับว่าได้รับบทเรียนระยะยาวแล้ว ต่อไปนี้จะไม่พาคนของอวิ๋นจือชิวไปไหนด้วยอีก ไม่อย่างนั้นอิทธิพลของฮูหยินก็จะตามติดเหมือนเงาอยู่ตลอดเวลา…

หลังจากนั้นหลายวัน ประสาททองก็ให้คนมาส่งข่าว ว่าทางแดนโพ้นสวรรค์อนุญาตแล้ว อีกสองวันให้เดินทางไปพร้อมกับเยว่เทียนโป

ไม่รู้ว่าผู้ที่มาตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อีกฝ่ายเตือนเขาว่า ทางแดนโพ้นสวรรค์ก็มีคนไปด้วยเหมือนกัน คุณชายรองจะไปด้วยตัวเอง!

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็งงนิดหน่อย แค่การประลองของวิเศษสนามเดียวเท่านั้น อันหรูอวี้จะถ่อไปด้วยทำไม?

เขาไม่รู้เลยว่าหลังจากเจออันหรูอวี้แล้วจะเผชิญหน้าอย่างไร!

เขาอยากจะหลบเลี่ยงอันหรูอวี้ แต่ถ้าเขาไม่ไป เยารั่วเซียนก็จะไม่มีเส้นสาย ไม่มีใครหนุนหลัง นอกจากเขาแล้ว จะมีใครมาหนุนหลังให้เยารั่วเซียนได้ล่ะ? ไม่ว่าผลการการประลองของวิเศษจะแป็นอย่างไร ถ้าไม่มีใครคุ้มกันส่งออกไป เยารั่วเซียนก็จะอยู่สถานการณ์ที่อันตรายมาก!

หลังจากนั้นสองวัน เหมียวอี้ก็ยังแข็งใจพาฉินเวยเวยไปพบเยว่เทียนโปบนยอดเขา

เยว่เทียนโปมองฉินเวยเวยหลายครั้ง แล้วถามว่า “คนนี้ใคร? เหมือนจะคุ้นหน้านิดหน่อย!” เขาเคยเจอฉินเวยเวยตอนงานแต่งงานของเหมียวอี้ แต่เป็นตัวละครที่ไม่สำคัญ เขาจึงไม่เก็บมาใส่ใจก็เท่านั้น

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “เป็นทหารคุมที่คนในส่งมา!”

ฉินเวยเวยพูดไม่ออก แต่ตื่นเต้นกังวลหลังจากได้พบท่านทูตมากกว่า

เยว่เทียนโปอดไม่ได้ที่จะบอกว่า “เหอะๆ! เหมียวฮูหยินช่างเป็นคนยอดเยี่ยมจริงๆ นึกไม่ถึงว่าการสั่งสอนอบรมของบ้านประมุขปราสาทเหมียวจะเข้มงวดขนาดนี้!” เป็นการหยอกล้อว่าเมียคุ้มเข้มงวดเกินไป

“เฮ้อ! ใครว่าไม่ใช่ล่ะ!” เหมียวอี้ถอนหายใจ

“วี๊ด…” เสียงนกร้องดังอยู่บนฟ้า ‘วิหคเทพเมฆคราม’ สัตว์เทพของเยว่เทียนโปบินวนเข้ามา เยว่เทียนโปเหาะนำขึ้นฟ้าไปก่อน แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็ตามขึ้นไป ไปเหยียบอยู่บนหลังวิหคเทพแล้วบินด้วยความเร็วสูง

สมาชิกที่ติดตามไปด้วยคล้ายๆ กับคนที่ไปสำนักงามวิจิตรในปีนั้น แต่ขาดเฉิงอ้าวฟางไปหนึ่งคน มีเหมียวอี้อันหรูอวี้มาแทนที่

โชคดีที่อันหรูอวี้ออกเดินทางจากแดนโพ้นสวรรค์โดยตรง ไม่ได้ร่วมเดินทางไปกับขบวนนี้ แต่ตลอดทางเหมียวอี้ก็ยังครุ่นคิดถึงภาพสภาพการณ์หลังจากเจอหน้าอันหรูอวี้…

งานเริ่มวันที่สิบเก้า แต่วันที่สิบแปดก็มาถึงแล้ว คนที่คำนวณเวลาไม่ได้มีแค่พวกเยว่เทียนโป อำนาจของแต่ละแดนก็มาแล้วเช่นกัน ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล เรื่องเรื่องเดียวก็สะเทือนถึงคนมากมายขนาดนี้ สงสัยคนที่สนใจเยารั่วเซียนจะไม่ได้มีแค่นภาจอมมารแล้ว

ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นมีใครสนใจเยารั่วเซียนมากขนาดนี้ เหมียวอี้ที่กำลังครุ่นคิดซ้ำๆ แอบร้องในใจว่าท่าไม่ดีแล้ว ลองคิดถึงเรื่องเจดีย์งามวิจิตร เกรงว่าเรื่องเจดีย์งามวิจิตรจะดึงดูดความสนใจของแดนต่างๆ เข้าแล้ว เหมียวอี้นึกเสียใจทีหลังว่าทำไมลืมเรื่องที่แดนโพ้นสวรรค์เคยออกคำสั่งให้รวบรวมนักพรตหลอมของวิเศษ

ที่จริงสำนักงามวิจิตรไม่ต้อนรับให้แขกพวกนี้มาดูเรื่องน่าหัวเราะเยาะหรอก ต่อให้เจ้าจะปฏิเสธไปฝ่ายหนึ่งแล้ว แต่ก็ปฏิเสธฝ่ายอื่นๆ ไม่ไหว ในเมื่อคนระดับสูงของแต่ละแดนต้องการจะมาดู เจ้าก็ทำได้เพียงต้อนรับขับสู้

อาจจะเป็นเพราะศัตรูมักปรากฏตัวบนทางแคบ พวกเยว่เทียนโปเพิ่งจะมาถึง ฝ่ายอันหรูอวี้ก็มาถึงแล้ว คนฝั่งแดนเซียนรู้ว่านางจะมาถึงวันนี้ เดิมทีก็คิดจะมารอต้อนรับอยู่แล้ว

อันหรูอวี้ที่เหาะลงมาจากฟ้าเห็นเหมียวอี้ทันทีที่มองมา แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก สายตาหยุดอยู่ที่เขาครู่เดียว แล้วก็มองผ่านไป ไปทักทายกับบรรดาท่านทูตก่อน

ช่างเป็นจังหวะนรก คนของแดนปีศาจก็มาถึงแล้วเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าในนั้นจะมีจีเหม่ยเหมยด้วย

เหมียวอี้เห็นจีเหม่ยเหมยแล้ว จีเหม่ยเหมยก็เห็นเหมียวอี้แล้วเช่นกัน ทั้งสองสบตากันเล็กน้อยแล้วต่างคนต่างหันหน้าหนี เหมียวอี้ด่าในใจว่า ทำไมไปที่ไหนก็เจอแต่ผู้หญิงคนนี้ ทั้งยังมาเจอกันอีกในสถานที่ที่เขาฆ่าลูกชายของนางด้วย

“มีอะไรก็ไว้คุยกันตอนมาครบ ทุกคนแยกย้ายกลับห้องพักไปก่อน โอวหยางกวง มานี่หน่อย!” อันหรูอวี้สั่งให้ทุกคนแยกย้าย แล้วเดินออกไปกับสามีตัวเองตามลำพัง ถึงอย่างไรทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากัน ไม่มีใครรู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม

หลังจากกลับถึงที่พักแล้ว อันหรูอวี้ที่เข้ามาในโถงหลักก็ไล่คนอื่นๆ ออกไป อยู่กับโอวหยางกวงตามลำพัง

“มีเรื่องอะไร?” โอวหยางกวงถาม สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร เขาย่อมเห็นเหมียวอี้แล้วเช่นกัน

อันหรูอวี้นั่งลงช้าๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เหมียวอี้ก็มาแล้วเหมือนกัน!”

“ข้าเห็นแล้ว!” โอวหยางกวงตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

อันหรูอวี้ทำสีหน้าเย็นเยียบน่ากลัวทันที “ถ้าไอ้เหมียวจัญไรยังไม่ตาย ข้าก็กินนอนไม่เป็นสุข ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าคิดจะรอดชีวิตกลับไปเลย!”

“เจ้าอยากฆ่าเขาเหรอ?” โอวหยางกวงตกใจ

“เป็นความอัปยศใหญ่หลวงนะ! หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เป็นไปไม่ได้ที่หวนหวนกับหลางหลางจะไม่แต่งงานไปทั้งชาติ ถ้าผู้ชายในอนาคตของพวกนางพบว่าพวกนางเคยเสียตัวแล้ว ประกอบกับข่าวลือนั่น ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็รับสิ่งนี้ไม่ไหวหรอก มีเพียงแค่ให้ไอ้เหมียวจัญไรตายไป จึงจะเป็นการปลอบใจข้าได้! ดังนั้นเขาต้องตาย!” พอนึกถึงภาพที่ตัวเองนำเสื้อผ้าไปมอบให้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง นางก็โมโหจนตัวสั่น ไม่รู้ว่าลับหลังเขาง้างมือจะตบนางกี่ครั้งแล้ว

ถึงแม้โอวหยางกวงจะอยากให้เหมียวอี้ไปตาย แต่ก็รู้สึกว่าวิธีคิดของอันหรูอวี้สุดโต่งเกินไป จึงขมวดคิ้วถามว่า “ถ้าฆ่าเขาแล้ว เจ้ากลับไปจะอธิบายอย่างไร?”

อันหรูอวี้พลันเหลือบตาขึ้นมอง “ไม่ต้องให้พวกเราลงมือเองหรอก คนที่อยากจะฆ่าเขามีเยอะจะตาย เฟิงเป่ยเฉินก็อยากฆ่าเขา จีเหม่ยเหมยก็อยากฆ่าเขาเหมือนกัน พวกเราไม่ต้องลงมือเองหรอก พวกเราแค่ต้องสร้างโอกาสให้พวกเขาลงมือก็พอแล้ว เรื่องนี้เจ้าไปจัดการด้วยตัวเอง ไปติดต่อกับอีกสองแดน ข้าว่าพวกเขาก็ยินดีจะเล่นงานให้ไอ้เหมียวจัญไรถึงตายเหมือนกัน!”