ตอนที่ 186.1 เป็นไข้ใจจนล้มป่วย เสี่ยงบุกตำหนักเฟิงจ๋า (1)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ลู่ชิงฝูรู้เพียงว่าสตรีในวังสูงส่งสง่างาม วิธีการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามก็ล้วนเงียบเชียบ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะมีการใช้อำนาจบาตรใหญ่มาระบายโทสะใส่กันในวังเช่นนี้ด้วย ผมเผ้าถูกอีกฝ่ายดึงจนเจ็บไปหมด จึงร้องอย่างเจ็บปวดว่า “พระสนมรองหยุด——”

ขันทีสองนายที่ตามเจี่ยงอวี๋มาตลอดทางเห็นเข้า ก็มองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

คนหนึ่งกล่าวเสียงเบาว่า “เข้าไปห้ามดีหรือไม่” อีกคนมีประสบการณ์มาอยู่บ้างจึงครุ่นคิดพักหนึ่ง “ดูก่อนดีกว่า อย่างไรเสียตรงนี้ก็ไม่มีคน หากรุนแรงกว่านี้ค่อยเข้าไปช่วยแล้วกัน”

ขณะที่ขันทีทั้งสองกำลังซุบซิบกัน ผมเผ้าของลู่ชิงฝูโดนดึงไว้แน่นจนทนไม่ไหว แม้นางจะรู้ว่าฐานะสู้เจี่ยงอวี๋ไม่ได้ แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ที่ตระกูลประคบประหงมมาอย่างดี ซ้ำวันนี้ยังได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮาและไท่จื่อ เพียงพริบตาก็พลันตัดสินใจว่าจะไม่สนใจสิ่งใดแล้ว จึงพลิกมือไปจับมือของเจี่ยงอวี๋ไว้แล้วผลักออกอย่างแรง!

เจี่ยงอวี๋รูปร่างเตี้ยกว่าลู่ชิงฝูเล็กน้อย เพื่อจะได้รับความโปรดปรานจากไท่จื่อ นางจึงกินน้อยรักษาหุ่นให้อ้อนแอ้นอรชร ผอมจนแขนขาไม่มีเรี่ยวมีแรง ไม่นึกมาก่อนว่าลู่ชิงฝูจะต่อต้าน จึงรับมือไม่ทันขึ้นมาฉับพลัน จนก้าวถอยไปหลายก้าว ซวนเซไปมา แล้วตกลงไปยังทะเลสาบเยว่หยาที่อยู่ข้างๆ

น้ำกระเซ็นดัง ‘ตู้มมมม!’ สาวใช้รีบเข้าไปตะโกนเรียกอยู่ขอบฝั่งอย่างตกใจ “พระสนมรอง——”

ลู่ชิงฝูก็ตกใจจนตะลึงงัน

ขันทีสองนายหลุดจากภวังค์ได้ก็รีบแสดงตัว คนหนึ่งลงน้ำไปช่วยเจี่ยงอวี๋ อีกคนก็รีบไปดึงตัวลู่ชิงฝูมาไว้ข้างๆ แล้วกล่าวเสียงเบา “หากไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ คุณหนูลู่รีบกลับไปเสียตอนนี้ แล้วทำเป็นว่าไม่เคยเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาก่อน”

ลู่ชิงฝูไหนเลยจะไม่ฟัง รีบพยักหน้าแล้วเดินซวนเซจากไป

ขันทีที่ลงน้ำไปยามนี้สำลักน้ำค่อกแค่ก เนื้อตัวหนาวสั่น นำเจี่ยงอวี๋ที่กึ่งๆ รู้สึกตัวขึ้นมา แล้วช่วยกันกับสาวรับใช้และขันทีอีกคนแบกกลับตงกง

พอถึงห้องบรรทม ขันทีวางพระสนมรองลงบนเตียง เห็นนางลุกขึ้นบ้วนน้ำออกมาหลายคำ แล้วล้มตัวนอนลงไปใหม่ นางหลับตาแน่นสนิทเพราะได้รับความตกใจเป็นอย่างมาก สติจึงยังไม่กลับมาสมบูรณ์ ปากพึมพำไม่หยุด “…เจ้าวางแผนฮุบตำแหน่งพระชายา…มันเป็นของข้า…มีสิทธิ์อันใด…เหตุใดไม่ยกให้ข้า…เหตุใดกูกูทำกับข้าเช่นนี้…”

ด้านนอกประตู ไท่จื่อข้ามประตูสลักดอกไม้เข้ามา คิ้วขมวดมุ่นมองไปยังด้านใน แล้วเรียกคนให้ไปตามหมอหลวงมา

อวิ๋นหว่านชิ่นไตร่ตรองครู่หนึ่งจึงผลักประตูออก ไท่จื่อขวางไว้ไม่ทัน เห็นนางก้าวข้ามคานประตูเข้าไปแล้ว

เจี่ยงอวี๋อยู่บนเตียงกึ่งหลับกึ่งตื่น ได้ยินฝีเท้าเบาๆ ใกล้เข้ามา ตากระตุกลืมขึ้นเห็นเงาคนที่คุ้นเคยเดินมาข้างเตียง สองมือวางอยู่บนอกนาง พลันหวีดร้องอย่างแรง “เจ้า…เจ้าเข้าห้องข้าได้อย่างไร เจ้ามาทำอันใดที่นี่…”

อวิ๋นหว่านชิ่นมุมปากขยับ ผลักร่างอ่อนปวกเปียกของเจี่ยงอวี๋ สองมือกางออกมากดบนอกนางไว้ดังเดิม “พระสนมรองตกน้ำจนความจำเสื่อมเชียวหรือ วันนี้ข้าก็มาช่วยงานที่ตงกงเช่นเคย ได้ยินพระสนมรองตกน้ำ ไท่จื่อทรงให้คนเรียกหมอหลวงแล้ว แต่ทรงทราบว่าข้ามีฝีมือด้านการแพทย์อยู่นิดหน่อยจึงให้มาดูพระสนมก่อน”

พึ่งจะกล่าวจบ มือของนางก็เริ่มออกแรง เจี่ยงอวี๋รู้สึกเพียงอกของตนมีอะไรบางอย่างตีขึ้นมา จึงลุกขึ้นแล้วโน้มตัวลง จมูกปากบ้วนน้ำออกมา ซ้ำยังมีดินโคลนเล็กๆ ออกมาด้วย ไอออกมาสองสามทีจึงรู้สึกดีขึ้น สติก็กลับคืนมาไม่น้อย

พอได้สติ เจี่ยงอวี๋ก็ชี้ไปนอกประตู “พอได้แล้ว! รอหมอหลวงมาก็ไม่มีอันใดแล้ว! เจ้าไปซะ!”

อวิ๋นหว่านชิ่นมองนาง “ข้ารอให้หมอหลวงมาถึงก่อนค่อยไปดีกว่า เห็นสีหน้าของพระสนมรองแล้วมิกล้าวางใจเจ้าค่ะ”

“ที่นี่ไม่มีใคร จะแสดงละครไปเพื่ออันใด! เป็นห่วงข้างั้นรึ จะเอาอกเอาใจไท่จื่อน่ะสิ! ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องการให้เจ้าอยู่ด้วย ไสหัวไป!” เจี่ยงอวี๋นึกถึงฉากที่ตนเห็นที่ศาลาริมน้ำวันนั้นก็ยิ่งโมโห น้ำและโคลนถูกสำลักออกมาจนหมดไส้หมดพุง แต่น้ำเปรี้ยวๆ [1]นั้นยังไหลออกมาไม่หยุด จึงทุบเตียงคราหนึ่ง

“เอาอกเอาใจไท่จื่อ” อวิ๋นหว่านชิ่นคิ้วกระตุก หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ล้อเล่นกับจริงจังก้ำกึ่ง “พระสนมกล่าวเช่นนี้ ข้าเอาอกเอาใจไท่จื่อไปเพื่อการใด ต่อให้ข้าจะเอาอกเอาใจพระองค์มากเท่าใด ฮองเฮาก็ไม่ยกตำแหน่งพระชายาให้อยู่ดี”

คำที่กล่าวมาทำให้นางอดคิดมากไม่ได้

กล่าวจบก็ทำตามที่เจี่ยงอวี๋ต้องการ หมุนตัวกลับเดินออกไป

เจี่ยงอวี๋ฟังจนตะลึง ยิ่งนึกไปถึงเรื่องของลู่ชิงฝูเรื่องนั้น พลันร้องไห้ออกมาเสียงดัง ทุบเตียงระบายอารมณ์ด้วยความเคียดแค้น ความโกรธแค้นที่มีต่อเจี่ยงฮองเฮาลุกลามไปทั่วทั้งร่างในยามนี้

อวิ๋นหว่านชิ่นเดินออกมาก็ทำการปิดประตูให้เบาๆ พลางเห็นหมอหลวงมาพอดี

หมอหลวงประจำตงกงอายุไม่น้อย เป็นคนที่ไท่จื่อไว้ใจ เขากำลังจะเดินเข้าไปแต่กลับโดนอวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยขัดไว้ก่อน “ตอนที่ท่านหมอจับชีพจรดูอาการให้พระสนมรอง ให้ลองตรวจฟู่เคอ[2]ดูว่าผิดปกติอันใดหรือไม่ แล้วรายงานแก่นางไปตรงๆ เสีย”

ฟู่เคอ หมอหลวงเฒ่าฉงน

ขนาดไท่จื่อก็ยังมองไปยังนาง

ในเมื่อเจี่ยงอวี๋โวยวายก่อเรื่องจนตกน้ำมาถึงขั้นนี้ เชิญหมอหลวงมาก็เป็นลิขิตสวรรค์ เช่นนั้นก็เพิ่มไฟไปอีกหน่อยแล้วกัน ให้นางรู้ว่าตนเป็นหมากที่หมดประโยชน์ในมือของฮองเฮาแล้ว

อวิ๋นหว่านชิ่นมองไท่จื่อคราหนึ่ง “พระสนมทั้งสามคนของไท่จื่อ มีสองนางนั้นล้วนมีโอรสให้ท่านได้ แต่พระสนมรองอยู่กับท่านนานที่สุด มีความใกล้ชิดมากกว่าสองนางนั้น แต่กลับไม่เคยมีทายาทให้ท่านเลย ไม่มีความสงสัยบ้างหรือเจ้าคะ”

ไท่จื่อทราบมาบ้าง แต่ไม่คิดว่าเจี่ยงฮองเฮาจะใจดำอำมหิตได้ถึงเพียงนี้ เพื่อให้หลานสาวแท้ๆ ยอมเป็นหมากให้พระนางอย่างตายใจ กระทั่งตัดหนทางการมีบุตรของนางลง ไท่จื่อคิ้วขมวดแน่น “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

อวิ๋นหว่านชิ่นบอกกล่าวเรื่องราวให้ฟังไปคราหนึ่ง

ไท่จื่อสูดหายใจลึก หมอหลวงเฒ่าได้ยินก็ถึงกับตกใจ นานทีเดียวกว่าจะเรียกสติกลับมาได้ แล้วเข้าด้านในไป

เห็นหมอหลวงเข้าไปแล้ว ไท่จื่อกับอวิ๋นหว่านชิ่นสบตากันคราหนึ่ง แล้วจึงเดินลงทางเดินไปด้วยกัน

เรื่องที่เหลือก็ให้เจี่ยงอวี๋รับรู้ด้วยตัวเองเถิด

ผลประโยชน์ระหว่างป้าหลานตระกูลเจี่ยงพัวพันลึกซึ้ง รับประกันไม่ได้ว่าเจี่ยงอวี๋จะหันคมดาบมาทางป้านางได้หรือไม่ แต่ก็ต้องลองดูกันสักตั้ง หากท้ายที่สุดเจี่ยงอวี๋ออกมาโวยวายเปิดโปง นางก็จะเป็นพยานบุคคลที่ดีในการโจมตีฮองเฮา

รอให้เจี่ยงอวี๋รู้ว่าป้าแท้ๆ ของตนเอานางมาเป็นหมากที่ใช้แล้วทิ้ง ที่แท้กูกูนั่นแลที่เป็นหินก้อนใหญ่ที่สุดที่ขัดขวางการชิงตำแหน่งพระชายาของไท่จื่อ จะตัดสินใจอย่างไร ทั้งคู่ก็คงจะควบคุมไม่ได้ อวิ๋นหว่านชิ่นทำได้ถึงแค่ตรงนี้ ที่เหลือก็ทำได้เพียงมองดูเรื่องราวที่เป็นไปอย่างเงียบๆ

เดินพ้นลานตำหนักมา อวิ๋นหว่านชิ่นก็มองไปทางตะวันตกของตงกง บนใบหน้าปรากฏสีหน้าที่อ่านไม่ออก “ยามนี้ฮองเฮาคงจะเสด็จไปสวนหลวงแล้วกระมัง”

ไท่จื่อหยุดฝีเท้าลง ดวงตาฉายแววฉงนชัด เอ่ยตอบ “ใช่ บรรดาคุณหนูของขุนนางในราชสำนักล้วนไปรวมตัวกันอยู่ที่สวนหลวง ฮองเฮายามนี้น่าจะอยู่ต้อนรับพวกนางที่นั่น แล้วร่วมกันชมดอกไม้ในสวน ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี”

อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นมองตะวัน “ฮองเฮาคงไม่กลับตำหนักเฟิงจ๋าก่อนถึงยามเว่ย[3]หรอกกระมัง”

ไท่จื่อเข้าใจในที่สุดว่านางจะทำอะไร “เจ้าจะไปตำหนักเฟิงจ๋า ทำอันใดหรือ” ความคิดนี้ราวกับจะแอบไปทำอะไรอย่างไรอย่างนั้น

อวิ๋นหว่านชิ่นมองไท่จื่อ “เรื่องที่หอละครว่านฉ่ายระเบิดนั่น ไท่จื่อรู้ตัวการมานานเล้ว เพียงแต่ไม่มีหลักฐาน หรือต่อให้มี ตำหนักเฟิงจ๋าก็เป็นที่ที่ไม่สามารถค้นหาได้ตามใจชอบ วันนี้งานเลี้ยงคึกคัก ตำหนักเฟิงจึงมีคนเข้าๆ ออกๆ แบกของขวัญช่วยงานมากมาย เหมาะแก่การเข้าไปหานัก”

[1] น้ำเปรี้ยว เปรียบเปรยว่าเป็นอารมณ์ที่คับแค้นใจ

[2] ฟู่เคอ เกี่ยวกับสูตินารีเวช

[3] ยามเว่ย บ่ายโมงถึงบ่ายสาม