บทที่ 6 หากชายใดไร้ซึ่งศักดิ์ศรี มันผู้นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัข (ปลาย)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 6 หากชายใดไร้ซึ่งศักดิ์ศรี มันผู้นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัข (ปลาย)

2 วันผ่านไป

บัดนี้ เยี่ยฉวนสามารถตอบโต้ได้ทีละน้อยแล้ว เมื่อเริ่มต่อสู้ เขากลับพบว่าความสามารถในการป้องกันของเงาลวงตรงหน้าตนนั้น ไม่เพียงแต่อยู่ในระดับดี แต่ดีเสียยิ่งกว่าความสามารถในการป้องกันของเขาก่อนหน้านี้เสียอีก

สำหรับเยี่ยฉวนแล้ว การป้องกันนี้เป็นเพียงการฟาดฟันลงไปบนอากาศ ไม่ว่าเขาจะโจมตีเช่นไรก็ไม่มีความหมายเลยแม้แต่น้อย ฝ่ายตรงข้ามสามารถแก้ทางได้อย่างสมบูรณ์แบบ แน่นอน นี่เป็นการดีสำหรับเขา เพราะเท่ากับว่าเงาลวงนี้กำลังสั่งสอนว่าการป้องกันที่ดีควรทำอย่างไร

ข้างในหอคอยเวลาค่อย ๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่ว่าจะเป็นการกินหรือการนอนหลับพักผ่อน เยี่ยฉวนลืมจนหมดสิ้น ในเวลานี้เขาสนใจแต่เพียงฝึกฝนวิชากระบี่กับเงาลวงตาเท่านั้น ในระหว่างนี้ ความแข็งแกร่งและความรวดเร็ว รวมถึงความสามารถในการตอบโต้ของชายหนุ่มก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก

การค้นพบในข้อนี้ทำให้เยี่ยฉวนรู้สึกสุขใจยิ่งนัก และยิ่งมานะฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ

ภายนอกหอคอย ฝั่งตระกูลเยี่ย

เยี่ยกู่เดินกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างได้ใจเข้าไปในห้องของผู้เฒ่าตระกูลเยี่ย “ท่านผู้เฒ่า จากการสืบเสาะเหตุการณ์ที่หนานซานคราวนี้ทำให้ข้ารู้อะไรดี ๆ มา ถึงแม้นักฆ่าที่ข้าส่งไปจะลงมือกำจัดเจ้าเยี่ยฉวนนั่นไม่สำเร็จ แต่ผู้รอดชีวิตตระกูลหลีเห็นเต็มสองตาเลยว่าจุดตันเถียนของมันได้ถูกทำลายไปแล้วแน่ ๆ หึ !”

เมื่อได้ยินดังนั้นผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยก็ลืมตาขึ้นในทันที “เจ้าแน่ใจ ?”

เยี่ยกู่พยักหน้า “จริงแท้แน่นอนขอรับ ข้าไปถามมาจากของผู้รอดชีวิตตระกูลหลีนั่นมาด้วยตัวเอง พวกมันบอกว่าจุดตันเถียนของเยี่ยฉวนถูกทำลายแล้วจริง ๆ”

“คงเป็นพระเจ้าที่ต้องการทำลายมัน เจ้าเยี่ยฉวน ฮ่าฮ่า…” ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยหัวเราะเยาะหยันไม่หยุดอยู่ภายในห้อง

“จุดตันเถียนเสียหาย !”

“ถ้าเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีจุดตันเถียนแล้วละก็ คงไม่มีอะไรนอกจากคอไว้ให้บั่น …เพราะว่ามีจุดตันเถียนอยู่นั่นแหละพวกเราถึงได้มีสิทธิ์เรียกตัวเองว่าผู้ฝึกยุทธ์ได้ยังไงล่ะ”

“จุดตันเถียนของเยี่ยฉวนได้รับความเสียหาย เรียกได้ว่าป่านนี้มันคงกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะมีทักษะความสามารถการต่อสู้เก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่อาจใช้ลมปราณได้แล้ว ไม่มีทางที่คนอย่างมันจะกลับมาแข็งแกร่งได้ดั่งเดิมเลย”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยก็ได้เอ่ยขึ้นอย่างไม่รั้งรอ “เยี่ยกู่ ข้าวานเจ้าไปเรียกทุกคนในตระกูลเรามารวมตัวกันทีสิ ถึงเวลาต้องกำจัดตัวปัญหาในอนาคตได้แล้ว !”

ผู้เฒ่านามเยี่ยกู่สั่นศีรษะ “ไม่ !” ก่อนจะมองไปยังผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยแล้วกล่าวว่า “ช้าก่อน ท่านผู้อาวุโส เยี่ยฉวนนับว่าทำความดีความชอบให้กับตระกูลเยี่ยเอาไว้ไม่ใช่น้อย หากเราชิงสังหารมันเสียตั้งแต่ตอนนี้ มีแต่จะทำให้คนอื่น ๆ ลุกฮือขึ้นมาเสียเปล่า ๆ แล้วยังพานจะถูกคนในตระกูลเยี่ยด้วยกันติฉินนินทาเอาได้ว่าเราไม่แยแสต่อผู้ที่มีสายเลือดเดียวกัน ซ้ำร้ายเยี่ยหลางก็เพิ่งได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลคนใหม่ไป ความเป็นและความตายล้วนขึ้นอยู่กับเขา หากเจ้าลงมือกำจัดเยี่ยฉวน คนนอกจะคิดอย่างไร ? พวกนั้นจะต้องคิดว่าเป็นฝีมือของพวกเราอย่างแน่นอน หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปมิแย่เอาหรือ ข้าเกรงว่าตระกูลหลีจะอาศัยจังหวะนี้ก่อความยุ่งยากเอาน่ะสิ !”

ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยย่นคิ้วเล็กน้อย “ตามความเห็นของเจ้าแล้ว พวกเราควรทำอย่างไร ?”

เยี่ยกู่คลี่ยิ้มเย็น “ไม่ใช่ว่าเยี่ยหลางท้าประลองเดิมพันเอาชีวิตกับมันแล้วหรือ ? ถ้าเยี่ยหลางสังหารมันในเวลานั้น คงจะเป็นช่วงที่เหมาะสมเลยทีเดียวด้วยจะไม่มีผู้คนครหาได้ นอกจากนี้เยี่ยหลางก็จะได้แสดงความเก่งกาจออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ แล้วผู้คนในเมืองชิงก็จะยอมรับความต่างชั้นนี้ได้ ไม่เพียงเท่านั้น แต่เมื่อทั้งสองมาถึงที่ลานประลองแล้ว แม้ว่าผู้นำตระกูลจะออกจากด่านกักตัวบำเพ็ญตนและสังเกตได้ถึงความผิดปกติ ก็ใช่ว่าจะสามารถพูดอะไรได้จริงหรือไม่ ?”

ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “จริงตามเจ้าว่า อย่างไรซะ จุดตันเถียนของเยี่ยฉวนก็ถูกทำลายไปแล้ว นั่นไม่ใช่อุปสรรคที่ใหญ่โตอะไร”

เมื่อกล่าวดังนั้น แววทั้งคู่ก็เปล่งประกายเย็นเยียบ “อย่างไรเสียช่วงระหว่างนี้ก็อย่าปล่อยให้มันได้อยู่สุขสบายมากนัก ถ่ายทอดคำสั่งข้าออกไป นับต่อแต่นี้ให้หยุดส่งเงินส่งอาหารให้เยี่ยฉวนและน้องสาวมัน ยกเลิกและริบอำนาจสิทธิพิเศษในฐานะผู้สืบทอดตระกูลเยี่ยคนก่อนคืนกลับมาให้หมด เยี่ยฉวนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการฝึกศิลปะการต่อสู้หรือออกจากจวนตระกูลเยี่ยแม้แต่ก้าวเดียว นอกจากนี้ ยาและสมุนไพรของเยี่ยหลิงก็ให้งดจนหมดสิ้น ฮืม… หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าเราต้องหมดเงินรักษาไปกับอาการป่วยของนางตั้งเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะที่จริงแล้วนางยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ข้าคนนี้เป็นได้ขับไล่นางออกจากตระกูลเยี่ยไปเสียนานแล้ว !”

เยี่ยกู่อมยิ้ม “ตอนนี้จุดตันเถียนของเยี่ยฉวนได้รับความเสียหายอย่างหนักจนไม่อาจฟื้นคืน หากแม้จะพูดว่ามันกลายเป็นคนไร้ประประโยชน์ ก็ถือว่าไม่ได้กล่าวเกินไปนัก”

ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยพยักหน้าเห็นพ้องด้วย “เยี่ยหลางเพิ่งจะพลังตื่นขึ้นมา ถ้าเขาต้องการอะไร คนตระกูลเยี่ยก็ควรไปสรรหามาให้ เราควรทำทุกอย่างเพื่อให้เยี่ยหลางรู้สึกพึงพอใจ นอกจากนี้แล้ว เขาสามารถเข้าไปในโรงฝึกเพื่อดูหรือฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ได้ตลอดเวลา ข้าอนุญาต”

เยี่ยกู่พยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว และก็จริงของท่าน เยี่ยหลิงไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว หรือเราควรให้นางแต่งงานกับบ่าวรับใช้ในตระกูลดี ?”

ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยหลับตาลงอย่างเฉื่อยชา “อันนั้นก็แล้วแต่เจ้าเลย !”

ภายในหอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนราบอยู่กับพื้นและกำลังอ้าปากค้างหอบหายใจอย่างดุเดือด ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล โชคไม่ดีนัก หลังจากที่เขาทะลวงขึ้นขั้นที่หกผสานลมปราณได้ ที่จริงแล้วบาดแผลเหล่านี้ควรสมานและหายไปได้เอง ทว่าอย่างไรแล้วความเจ็บปวดก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ….แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น หากทว่านี่ก็ถือว่ามากเกินไปในช่วงสองถึงสามวันที่ผ่านมาอยู่ดี

ความสามารถในการต่อสู้ของเยี่ยฉวนแต่เดิมนั้นไม่ได้แย่ เขาถือเป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธระดับหัวกะทิรุ่นเยาว์ของเมืองชิง หลังจากผ่านการฝึกฝนมาได้สองสามวัน ความสามารถของชายหนุ่มก็นับกว่ากล้าแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก !

“รู้สึกอย่างไรบ้าง ?” เสียงหญิงลึกลับดังขึ้น

เยี่ยฉวนยิ้มกว้าง “ข้ารู้สึกดีทีเดียว”

หญิงลึกลับกล่าวต่อ “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เส้นทางของเจ้าในอนาคตย่อมต้องลำบากยิ่งกว่านี้ ข้าไม่จำเป็นต้องสาธยายว่าการเสาะแสวงหาเต๋าแห่งกระบี่นั้นยากยิ่งดั่งการดำดิ่งลงเหวอันมืดมิดเพียงไร ตัวเจ้าเองไม่เหลือจุดตันเถียนอีกแล้ว ดังนั้นหนทางของเจ้าจะยากยิ่งกว่าผู้อื่นเป็นร้อยเท่าพันทวี เจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้มากขึ้นในวันต่อ ๆ ไป”

ดวงตาของเยี่ยฉวนค่อย ๆ ปิดลง “อันความเจ็บปวดทุกข์ทรมานนั้นข้าไม่เคยเกรงกลัว”

เยี่ยฉวนและน้องสาวเติบโตขึ้นมาในตระกูลเยี่ย มีความยากลำบากอะไรที่ยังไม่เคยเจออีกบ้าง ? เขาไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่รู้ต้นกำเนิดของตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังเคยสามารถไต่เต้าไปจนถึงตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลเยี่ยได้ และถึงแม้ตัวเขาจะสิ้นหวังในการต่อสู้ แต่บัดนี้เขาได้ก้าวมาถึงขั้นผสานลมปราณได้แล้ว ดังนั้นถึงน้องสาวจะเจ็บป่วย แต่ก็ยังมีความหวัง ต่อให้ตัวเขาต้องแบกรับความทุกข์ใด ๆ ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เขาก็เต็มใจที่จะทำ !

หลังจากได้พักช่วงสั้น ๆ เยี่ยฉวนจึงค่อยกลับออกมาจากหอคอยแห่งเรือนจำนั้น

เขาไม่ได้สำเร็จกายทิพย์ ดังนั้นการกินอาหารจึงยังจำเป็นอยู่

หลังจากเยี่ยฉวนเข้าห้องมาได้ไม่นานนัก เยี่ยหลิงก็เดินตามเข้ามา นางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มและก้มศีรษะลง จากนั้นจึงยื่นขนมปังสีขาวให้สองก้อนพลางกระซิบเสียงเบา “ท่านพี่กินสักหน่อยเถิด…”

เยี่ยฉวนพลันขมวดคิ้ว “ทำไม เกิดอะไรขึ้น ? ไหนเจ้าเงยหน้าขึ้นซิ”

เยี่ยหลิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ฉับพลันสีหน้าของเยี่ยฉวนก็เปลี่ยนไป ด้วยมีใครบางคนประทับรอยฝ่ามือสีแดงไว้บนแก้มข้างขวาของน้องสาวเขา !

“มันเกิดอะไรขึ้น !” แววตาของเยี่ยฉวนมีไอเย็นแผ่ออกมา

เยี่ยหลิงส่ายหัวน้อย ๆ ของนาง “ไม่ ไม่มีอะไร ข้าได้รอยช้ำนี้มาโดยบังเอิญเจ้าค่ะ !”

เยี่ยฉวนดึงตัวเยี่ยหลิงเข้ามาหา “ท่านพี่ผู้นี้จะบอกความจริงเจ้าอย่างหนึ่งนะ ข้ายังไม่ตาย ข้าสามารถช่วยเจ้าได้ !!”

น้ำตาของเยี่ยหลิงพลันร่วงริน นางเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม “ท่านพี่ ห้องครัวไม่ได้ส่งอาหารมาให้เราวันนี้ ดังนั้นข้าจึงไปที่นั่นด้วยตัวเอง หัวหน้าครัวหวังให้ข้ามาเพียงเท่านี้ แล้วข้าจะกินอาหารเหลือเดนพวกนี้ได้อย่างไร ? มันเน่าเสียหมดแล้ว ทั้งยังมีหนอนอยู่ข้างในนั้น ข้าที่รู้สึกไม่พอใจเลยต่อว่าออกไป หัวหน้าครัวหวังบอกว่าท่านพี่ไม่ใช่ผู้สืบทอดตระกูลเยี่ยแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่มีสิทธิ์ได้กินอาหารดี ๆ อีก แล้วเขายังบอกอีกว่า ถ้าหากข้าอยากได้อาหารนัก ข้าก็ต้องไปนอนกับเขาหนึ่งคืน… พอข้าตวาดเขา เขาก็เลยตีข้า”

ใบหน้าของเยี่ยฉวนนิ่งเกร็งดุจน้ำแข็ง สองมือกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ “หากชายใดไร้ซึ่งศักดิ์ศรี มันผู้นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัข !”

เยี่ยฉวนพลันคว้ามือเยี่ยหลิงไว้อย่างสุดทน เขาพาน้องสาวเดินออกจากห้อง และตรงไปที่ห้องครัวตระกูลเยี่ยในทันที