ตอนที่ 407 ร่วมวางแผน
หลิงอวี่หนิงคนนี้มิธรรมดาเลย วันรุ่งขึ้นนางก็มาหาฟางซู่ซู่ที่จวนจริง ๆ
ขณะนั่งอยู่ในรถม้า สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คาดมิถึงว่าสนมนางนั้นจักให้ความสำคัญกับคุณหนูถึงเพียงนี้ ถึงขั้นส่งรถม้าของจวนอ๋องมารับท่านเองเจ้าค่ะ”
“คำพูดพวกนี้หากถึงจวนอ๋องมู่แล้วห้ามเอ่ยออกมาเด็ดขาด” แม้นางเอ่ยเตือนออกมา แต่มิได้มีความโกรธ แววตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สามารถหลอกฟางซู่ซู่ได้ขนาดนี้นางย่อมดีใจอยู่แล้ว
สาวใช้ก้มหน้าลงโดยมิได้กล่าวสิ่งใดอีกและทำหน้าที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเท่านั้น
มินานนายบ่าวทั้งสองก็มาถึงจวนอ๋องมู่ ทันทีที่รถม้าหยุดลงก็เห็นฟางซู่ซู่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินลงมาจากรถม้าก็รีบเข้ามาหยุดตรงหน้า “ในที่สุดน้องสาวก็มาถึงเสียที”
นางเดินเข้าไปเกี่ยวแขนของหลิงอวี่หนิงไว้ จากนั้นก็ดึงเข้าไปในจวน หลิงอวี่หนิงก็ตื่นเต้นมิน้อยแต่ต้องพยายามควบคุมสีหน้าท่าทางเอาไว้จึงยิ้มออกมาเบา ๆ แทน “แม่นางฟาง นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามีโอกาสเข้ามาในจวนอ๋องมู่ เป็นเพราะน้ำใจของพี่สาวแท้ ๆ ”
เมื่อเห็นความดีใจของอีกฝ่าย ฟางซู่ซู่ก็รู้สึกภูมิใจมิน้อย ตอนแรกที่ท่านปู่ให้เข้ามาในจวนอ๋องมู่ก็เพื่อเกียรติยศและความสงบสุขของนางในอนาคต
ฟางซู่ซู่ตบที่หลังมือของอีกฝ่ายเบา ๆ “หากวันหน้าเจ้าอยากมาก็มาได้เลย”
หากมีคนอยากช่วยนางต่อกรกับอันหลิงเกอ นางจักปล่อยโอกาสนี้ไปโดยง่ายได้เยี่ยงไร
หลิงอวี่หนิงก้มหน้าลงเพื่อซ่อนแววตาที่เต็มไปด้วยความสุข ดูท่าแล้วฟางซู่ซู่คงไร้สมองจริง ๆ รอนางได้เข้ามาอยู่ในจวนและได้หัวใจของมู่จวินฮานมาครอบครองเมื่อไร ตอนนั้นปล่อยให้อีกฝ่ายได้อยู่ในจวนต่อก็ถือเป็นการตอบแทนเล็กน้อยแล้วกัน
เป้าหมายของนางชัดเจนเพียงนี้ แต่ฟางซู่ซู่ก็มิได้สนใจเพราะนางมิได้รับความใส่ใจจากมู่จวินฮานอยู่แล้ว เหตุใดมิอาศัยมือของคนอื่นมาช่วยจัดการและยังเป็นการปกป้องชีวิตของตนไว้ได้อีกด้วย
ทั้งสองคนพบกันโดยต่างฝ่ายต่างก็มีเป้าหมายของตน จนเมื่อหลิงอวี่หนิงเข้ามานั่งในเรือนของฟางซู่ซู่แล้วสีหน้าเย้ยหยันจึงเผยออกมา
เป็นเรือนที่วังเวงยิ่งนัก มิได้มีการตกแต่งใดๆ เห็นได้ชัดว่าฟางซู่ซู่ไร้ความโปรดปรานอย่างแท้จริง !
หากนางได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในจวนนี้ นางจักมิยอมอยู่อย่างลำบากเยี่ยงฟางซู่ซู่เป็นแน่
นางคิดพลางเดินเข้าไปในห้องของฟางซู่ซู่ สาวใช้ก็นำชาและของว่างเข้ามาพอดี “แม้ที่เรือนของข้าสู้ตำหนักของอันผิงกงจู่มิได้ แต่สำหรับเราสองพี่น้องก็ถือว่าเพียงพอแล้ว”
ได้ยินที่ฟางซู่ซู่กล่าว มุมปากของหลิงอวี่หนิงก็กระตุกขึ้น
สู้มิได้ที่ไหนกันเล่า เรียกว่าเทียบมิติดจักเหมาะกว่า
“พี่สาว เหตุใดจึงมิเห็นท่านอ๋องมู่เลย ? หรือท่านอ๋องอยู่กับพระชายา ? ” เป้าหมายในการมาครั้งนี้ของนางก็คือการได้พบหน้ามู่จวินฮานอีกสักครั้ง จักกลับไปโดยที่ยังมิสมปรารถนาได้เยี่ยงไร ดังนั้นสิ่งแรกที่นางต้องการคือรู้ว่าเขาอยู่ที่ใด
ฟางซู่ซู่มองอีกฝ่ายอย่างสงสัย มิเข้าใจว่าเหตุใดอยู่ ๆ นางจึงถามหามู่จวินฮาน ทว่ายังมิทันเอ่ยปากถามก็ได้ยินหลิงอวี่หนิงกล่าวต่อ “ท่านควรออกไปให้ท่านอ๋องเห็นหน้าบ่อย ๆ มิเช่นนั้นจักครอบครองหัวใจท่านอ๋องได้เยี่ยงไร”
“น้องสาวคงลืมไปแล้วกระมัง เมื่อวานข้าเพิ่งบอกไปว่าวันนี้ท่านอ๋องและพระชายามิอยู่ ข้าจึงชวนเจ้ามาที่จวนได้” ฟางซู่ซู่ส่ายหน้าอย่างระอา
หลิงอวี่หนิงรู้สึกผิดหวังอย่างมาก เมื่อวานนางมัวแต่สนใจว่าจักได้เข้ามาจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
แต่ในเมื่อตอนนี้ท่านอ๋องมู่มิอยู่ นางจักพยายามผูกมิตรกับฟางซู่ซู่ไว้ก่อนแล้วกัน
คิดได้ดังนั้นนางจึงรีบพูดปลอบขึ้น “มิเป็นไรหรอก พี่สาวงดงามอ่อนหวานถึงเพียงนี้ ท่านอ๋องมู่ก็แค่เห็นแก่หน้าของท่านโหวจึงคอยเอาใจพระชายา ถ้าท่านอ๋องได้เห็นความดีของท่านจักมิมาหาได้เยี่ยงไร”
คำพูดนี้มิได้ทำให้ฟางซู่ซู่รู้สึกสงสัยแต่อย่างใด “ขอให้เป็นเช่นคำอวยพรของเจ้าแล้วกัน”
ระหว่างที่พวกนางสนทนากันก็เป็นช่วงกลางวันพอดี ทั้งสองจึงเตรียมตัวออกไปทานอาหาร
อันหลิงเกอที่เพิ่งกลับเข้ามาก็เห็นพวกนางเดินผ่านห้องโถงไป นึกมิถึงว่าฟางซู่ซู่จักพาสตรีอื่นเข้ามาในจวนเช่นนี้ หลังจากสบตากับฟางซู่ซู่แล้ว นางกำลังจักเดินผ่านหน้าสองคนนั้นไป
ฟางซู่ซู่ที่มิค่อยมีโอกาสได้เจออันหลิงเกอจักปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปง่าย ๆ ได้หรือ นางส่งเสียง หึ ออกมาแล้วเดินเข้าไปหาอันหลิงเกอพร้อมขวางทางเอาไว้
อันหลิงเกอหยุดฝีเท้าพลางมองไปยังฟางซู่ซู่ “เจ้ามาขวางข้าด้วยเหตุใด ? ”
นึกมิถึงว่าฟางซู่ซู่จักเข้ามาขวางทางเช่นนี้ ดูท่าทางแล้วพอมีแขกก็เลยกล้าขึ้นมากระมัง
ฟางซู่ซู่เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจักมองไปทางหลิงอวี่หนิง “ผู้นี้เป็นแขกของซู่ซู่ นางอยากพบพระชายามานานแล้ว นางเป็นบุตรีคนโปรดของแม่ทัพใหญ่ที่ร่วมศึกกับท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอมองฟางซู่ซู่เงียบ ๆ มิรู้ว่าอีกฝ่ายมีแผนอันใดกันแน่
ทั้งสามคนมองหยั่งเชิงกันโดยมิมีผู้ใดกล่าวสิ่งใดออกมาและเป็นฟางซู่ซู่ที่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พระชายาคงมิได้ป่วยหรอกนะเจ้าคะ ? หรือว่าที่จริงพระชายามิอยากสนใจซู่ซู่กันแน่ ? ”
ได้ยินคำพูดของฟางซู่ซู่แล้ว อันหลิงเกอก็หันไปมองหลิงอวี่หนิงที่อยู่ด้านข้าง ก่อนขมวดคิ้วขึ้นมาเพราะรู้สึกราวกับคุ้นหน้าสตรีผู้นี้มิน้อย แต่คิดมิออกว่าเคยพบที่ใดกันแน่
“*สุนัขดีมิขวางทาง แม้เจ้าเป็นเพียงสนมคงเคยได้ยินสุภาษิตนี้มาบ้างกระมัง” อันหลิงเกอมองสตรีสองคนที่อยู่ด้านหน้าแล้วก้าวออกไปทันที
เช้าวันรุ่งขึ้น อันหลิงเกอตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเรียกของปี้จู
“พระชายา ท่านตื่นสายอีกแล้วเจ้าค่ะ ! ”
ตื่นสาย…
วันนี้แล้ว !
อันหลิงเกอรีบลุกขึ้นนั่ง แต่มิทันระวังจนผ้าห่มร่วงลงจึงทำให้ปี้จูเห็นร่องรอยบนร่างกายที่หลงเหลือเอาไว้จากเมื่อคืนจนสิ้น
นางและมู่จวินฮานอยู่ด้วยกันทั้งคืน เรื่องพวกนี้สาวใช้ต่างก็รู้ดี
“เดิมทีบ่าวยังเป็นห่วงพระชายาอยู่ แต่ดูแล้วท่านอ๋องคงมิมีทางโปรดสตรีคนอื่นเป็นแน่…” ได้ยินคำพูดหยอกล้อของปี้จูแล้วอันหลิงเกอก็รีบดึงผ้าห่มขึ้นทันที
“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้ารีบออกไปได้แล้ว ข้าจักได้เปลี่ยนเสื้อผ้า” เมื่อเห็นอันหลิงเกอเขินอาย ปี้จูก็ได้แต่หัวเราะหน้าทะเล้น จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมหมิงซิน
วันนี้เป็นวันพิเศษ ฮ่องเต้ราวกับคิดหาวิธีดึงความสมดุลจากอำนาจของจวนอ๋องมู่และจวนโหวอันได้แล้วนั่นก็คือการประทานเช่อเฟยให้มู่จวินฮาน
กล่าวกันว่าวันนี้องค์หญิงของแคว้นชิงเยว่มาถึงต้าโจวเพราะเรื่องของเมืองเยว่เฉิง นางจึงสละตนเองเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
แต่ที่จริงแล้วเป้าหมายขององค์หญิงพระองค์นั้นชัดเจนอยู่แล้ว นางมาเพราะมู่จวินฮานและการบอกว่าแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ ผู้ใดมองก็รู้ว่าแคว้นชิงเยว่ต้องมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง !
นอกจากนี้ฮ่องเต้ยังเชิญอันหลิงเกอไปดูสามีของตนเลือกชายารองอีกด้วย คงคิดว่านางเป็นพระชายาที่ขี้หึงเป็นแน่
อันหลิงเกอเตรียมตัวเสร็จก็มารออยู่ที่นอกเรือนของมู่จวินฮาน
“พระชายา ท่านอ๋องเชิญท่านเข้าไปด้านในขอรับ” ให้นางเข้าไปหรือ ? มีเรื่องอันใดจักบอกนางหรืออย่างไร ?
เมื่อคืนนี้ หลังจากพวกเขาอยู่ด้วยกันทั้งคืนแล้ว ตอนเช้ามู่จวินฮานก็ไปจัดการงานราชการที่ห้องหนังสือ ดังนั้นทั้งสองคนนอกจากพูดกันทางภาษากายตลอดทั้งคืนแล้วก็ยังมิได้ปรึกษาเรื่องอื่นกันเลย
“ข้ารู้แล้ว” อันหลิงเกอมิได้ปฏิเสธ ก็จริงของเขาเพราะก่อนเข้าวังควรพูดกันให้รู้เรื่องเสียก่อนจักได้มิติดกับดักของฮ่องเต้เข้าง่าย ๆ
นางเข้าไปด้านในก็เห็นมู่จวินฮานกำลังเปลี่ยนชุดอยู่ ก่อนหน้านี้ตอนที่ทั้งสองคนใกล้ชิดกัน นางมิเคยสังเกตเขาในระยะประชิดเช่นนี้มาก่อน นางจึงอดเขินอายขึ้นมามิได้
…
*สุนัขดีมิขวางทาง หมายถึง คนดีจะไม่กีดกันหรือกีดขวางสิ่งที่ผู้อื่นทําเหมือนสุนัขชอบนอนขวางทางเดิน