28 โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 28 โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์

 

 

 

ถึงแม้ดวงตาแห่งสัจจะจะไม่สามารถทำให้มองทะลุผ่านสิ่งกีดขวางได้จริงๆ แต่ก็สามารถทำให้‘มองเห็น‘ไอพลังภายในเสลี่ยงหยกได้อย่างชัดเจน

 

มีคนนั่งอยู่ด้านในเสลี่ยงหยก

 

แต่หาใช่มีเพียงคนเดียวไม่ กลับมีถึงสอง

 

ยิ่งไปกว่านั้นมีคนหนึ่งที่มีไอพลังไม่เสถียร ดูเหมือนว่าจะต้องยาพิษ

 

นอกจากผู้ที่ต้องพิษแล้ว อีกคนหนึ่งน่าจะยังอยู่ในวัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ คะเนอายุดูคงเพียงเกินสิบขวบปีมานิดหน่อย

 

“คนที่ถูกวางยาคือพระนางลี่เฟย?”

 

ซูฉินคาดเดาในใจ สายตาสาดประกายความคิด

 

ในสิบปีมานี้แม้ซูฉินจะไม่ได้ออกจากวัดเส้าหลินไปไหนเลย แต่เขาก็ยังได้ยินศิษย์วัดรูปอื่นๆ พูดคุยเรื่องราวต่างๆ มาอยู่บ้าง และมีหลายครั้งหลายคราที่มันข้องเกี่ยวกับราชวงศ์ถัง

 

จักรพรรดิถังโปรดปรานพระสนมลี่เฟยเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงไม่เรียกตัวพระมเหสีไปเข้าเฝ้าเลยนานหลายปี

 

หากพระนางลี่เฟยไม่ได้ให้กำเนิดพระธิดามาเพียงผู้เดียว แต่แทนที่ด้วยการมีพระโอรส พระราชวังส่วนในคงไม่วุ่นวายเช่นที่เป็นในตอนนี้

 

แต่ในเมื่อเรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้แล้ว ตัวขององค์จักรพรรดิถังเองก็อายุโรยราลงเรื่อยๆ คลื่นใต้น้ำในรั้วในวังยิ่งมายิ่งก่อตัวเป็นคลื่นลูกใหญ่ มีทั้งที่ถาโถมเปิดเผย ทั้งคลื่นที่รอซัดสาดอย่างลอบเร้น

 

เหล่าราชโอรสต่างริเริ่มทำสงครามระหว่างกันมาเนิ่นนานแล้ว

 

“ใครบางคนในตำหนักในวางยาพิษลี่เฟย”

 

“คงเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วที่ให้พระนางลี่เฟยมาพำนักอยู่ที่วัดเส้าหลินสักระยะด้วยข้ออ้างว่ามาสักการะองค์ยูไล”

 

“เห็นได้ชัดว่าการมาในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อฝึกฝนบ่มเพาะ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องร้ายแรงประการหนึ่ง?”

 

ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ซูฉินก็คาดเดาถึงสาเหตุที่พระนางลี่เฟยมายังวัดเส้าหลินได้

 

การที่จะสามารถวางยาพระนางลี่เฟยได้อย่างโจ่งแจ้งเพียงนี้ เกรงว่าจะไม่สามารถละข้อสันนิษฐานที่ว่าเป็นฝีมือของเหล่าขุนนางได้

 

แม้แต่องค์จักรพรรดิยังไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกเหนือจากปล่อยให้พระนางลี่เฟยระเห็จมาพึ่งวัดเส้าหลิน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าราชสำนักวุ่นวายมากมายเพียงใด

 

กระนั้นการส่งพระสนมลี่เฟยมาที่วัดเส้าหลินย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดต่อตัวพระนางเอง

 

ในฐานะสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพอย่างวัดเส้าหลิน ไม่เคยแทรกแซงกิจการภายในด้านการปกครองอาณาจักร ตราบที่ลี่เฟยสามารถผ่านเข้าประตูวัดเส้าหลินไปได้ โดยพื้นฐานก็นับว่าปลอดภัยแล้ว

 

ขุนนางในราชสำนักแม้จะมีความสามารถมากล้น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับวัดเส้าหลิน

 

ตัวจักรพรรดิถังเองคงรู้ดีว่า เพียงตัวตนของลี่เฟยลำพังนั้นคงจะถูกปฏิเสธโดยวัดเส้าหลิน ดังนั้นพระองค์จึงโปรดให้ออกราชโองการเพื่อปกป้องพระนางลี่เฟย

 

“มีคนกล่าวเอาไว้ว่าศึกระหว่างอาณาจักรนั้นหนักหนานัก แต่เมื่อเทียบกับศึกภายในแล้วเห็นทีจะไม่มีค่าเพียงพอให้เอ่ยถึง…”

 

ซูฉินถอนหายใจด้วยอารมณ์อันหลากหลาย

 

“ด้านในเสลี่ยงหยก นอกเหนือจากพระนางลี่เฟยแล้ว อีกคนควรจะเป็นองค์หญิงราชวงศ์ถังในรัชสมัยนี้”

 

ซูฉินคิดอยู่เงียบๆ

 

ถ้าพระสนมลี่เฟยมาที่วัดเส้าหลินเพื่อหลีกหนีภัยร้ายจริงดังว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งลูกสาวของตนไว้ในรั้วในวัง

 

ยามเมื่อซูฉินกำลังคิดเรื่องนี้

 

เสลี่ยงหยกก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปในวัดเส้าหลินอย่างช้าๆ

 

เพื่อกันไม่ให้เหล่าศิษย์ไปรบกวนพระนางลี่เฟย เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจึงจัดแจงที่พำนักไว้เป็นพิเศษที่ป่าไผ่ซึ่งอยู่ถัดไปจากลานจิปาถะ

 

ลานจิปาถะตั้งอยู่ที่มุมขอบของวัดเส้าหลิน และป่าไผ่ยังห่างไกลออกไปมากยิ่งกว่าลานจิปาถะเสียอีก

 

เว้นไว้แต่ศิษย์ลานจิปาถะ ไม่มีทางที่ศิษย์คนอื่นๆ จะสามารถผ่านไปจนถึงจุดนั้น

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเนื่องจากตัวเขารับลี่เฟยเข้ามาแล้ว เขาควรจะปฏิบัติต่อนางให้ดีที่สุดมิใช่หรือ ไม่เช่นนั้นคงจะถูกว่ากล่าวว่าดูแลแขกเหรื่อไม่ดีเป็นแน่?

 

ถึงจะรู้ว่าวัดเส้าหลินคงจะต้องเจอเข้ากับปัญหาใหญ่ แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถกระทำได้อีกแล้ว

 

เขาจะฝ่าฝืนราชโองการของจักรพรรดิถังอย่างนั้นหรือ?

 

เมื่อพระสนมได้ย้ายเข้ามาพำนักที่นั่น เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างเตือนศิษย์แต่ละตำหนักไม่ให้เข้าใกล้ป่าไผ่

 

โดยเฉพาะลานจิปาถะ

 

ป่าไผ่อยู่ถัดไปจากลานจิปาถะ ตราบใดที่ศิษย์ลานจิปาถะประพฤติตนอย่างเหมาะสมย่อมไม่เกิดปัญหาใด

 

หลังจากนั้น ซูฉินก็กลับมาใช้ชีวิตดุจเดิม

 

ถึงแม้ยามนี้ที่วัดเส้าหลินจะมีพระสนมพำนักอยู่ แต่สิ่งต่างๆ ในวัดก็ไม่ได้แปรเปลี่ยนไป

 

คำกล่าวนั้นเป็นจริงขึ้นไปอีกเมื่อกล่าวถึงซูฉิน ที่เอาแต่ฝึกฝนและลงชื่อเข้าใช้ทุกวี่วัน

 

ในวันนี้ซูฉินกำลังจะไปลงชื่อที่ลานโพธิ์ เมื่อเดินผ่านป่าไผ่ พลันมีเสียงกระจ่างใสเจื้อยแจ้วดังมา

 

“พระตัวน้อยโปรดรอประเดี๋ยว”

 

ซูฉินหันศีรษะมองไปรอบข้าง มีเพียงเด็กหญิงตัวเล็กผิวเนียนใสราวกับแกะสลักขึ้นมาจากหยก วิ่งกระโจนเข้ามา

 

“ประสก”

 

ซูฉินลดสายตาลงและเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น

 

เธอคนนี้เป็นบุตรีของพระนางลี่เฟยและยังเป็นพระราชธิดาแห่งราชวงศ์ถังด้วย

 

“เจ้าเดินเร็วยิ่ง”

 

เด็กหญิงตัวเล็กหอบเหนื่อย มองมาที่ซูฉินด้วยตาสีดำกลมโต

 

“ประสกเอ๋ย ยามนี้ก็สายมากแล้ว เจ้าควรกลับไปพักผ่อนเสียเถิด…” ซูฉินย่อมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับองค์หญิง

 

ในใจของซูฉินนั้นคิดแต่เพียงว่าใครที่กล้ามารบกวนชีวิตที่แสนสุขสบายของเขาในตอนนี้ สมควรถูกตบให้แดดิ้น

 

“ข้าพักผ่อนไปแล้ว”

 

เด็กหญิงตัวเล็กมองไปที่ซูฉินอย่างสำรวมตนและพูดอย่างน่าสงสารว่า “เจ้าอยู่กับข้านานๆ ได้ฤๅไม่ ที่นี่มันน่าเบื่อมาก ข้าไม่มีใครให้คุยด้วยเลย”

 

“ประสก”

 

“อาตมามีบางอย่างต้องไปทำ”

 

ซูฉินขี้เกียจจะเสียเวลาไปกับเด็กตัวเล็กๆ จึงหันหลังและเดินจากไป

 

เหลือเพียงเด็กหญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง

 

“เจ้าพระตัวน้อยรูปนี้นี่……”

 

เด็กหญิงย่นจมูกเล็กน้อย

 

ไม่ว่านางจะไปอยู่ที่ใด แม้แต่ในวัง ทุกคนที่เห็นเธอย่อมแสดงความสุภาพและบางคนถึงกับประหม่า

 

แต่ซูฉินไม่มีอาการแบบนั้นเลย ตรงกันข้ามเสียอีก ดูเหมือนจะไม่สนใจตัวตนของเธอเอาเสียเลย

 

จากสัญชาตญาณเด็กหญิงแอบรู้สึกได้ว่าพระตัวน้อยที่ไล่เธอเมื่อครู่เหมือนจะเป็นคนที่ดูออกได้ง่ายดายธรรมดา แต่กลับไม่ง่ายเลย มีบางอย่างไม่ธรรมดาแฝงอยู่

 

ในขณะนั้น

 

“ฝ่าบาท”

 

“ฝ่าบาททรงสบายดีหรือไม่เพคะ?”

 

ข้ารับใช้รีบเดินมาหาเด็กหญิงตัวน้อย กล่าวถามด้วยท่าทีตระหนก

 

“ข้าสบายดี”

 

เด็กสาวส่ายหัวแล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้น “หงกงกงยอดเยี่ยมเพียงใดกัน?”

 

“หงกงกง?”

 

ข้ารับใช้ผงะไปชั่วครู่แล้วรีบกล่าวตอบไปว่า “หงกงกงเป็นขันทีชุดแดง ได้รับการแต่งตั้งจากองค์จักรพรรดิ เขามีความแข็งแกร่งถึงระดับชั้นที่สอง แม้จะอยู่ในวังก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงผู้หนึ่ง เขาจะไม่ยอดเยี่ยมได้เยี่ยงไร?”

 

หงกงกงเป็นขันทีที่สนับสนุนพระสนมลี่เฟยและคุ้มกันพระนางมาตลอดการเดินทางที่มายังวัดเส้าหลิน

 

ในช่วงไม่กี่ปี่ที่ผ่านมานี้หากไม่ใช่เพราะมีหงกงกงอยู่ พระสนมลี่เฟยก็มิรู้จะตกตายไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

 

แม้แต่ตอนที่มายังวัดเส้าหลินครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะหงกงกงคอยคุ้มกันตลอดทาง พระสนมลี่เฟยก็ไม่น่าจะมาถึงวัดเส้าหลินได้โดยมีชีวิตอยู่

 

“โอ้ เข้าใจแล้ว…”

 

เด็กหญิงพยักหน้าครุ่นคิด

 

 

หลังจากจัดการกับองค์หญิงแห่งต้าถังไปได้แล้ว ซูฉินก็มาที่ลานโพธิ์อีกครั้ง

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

ซูฉินกล่าวเงียบๆ ในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับโอสถ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์ ‘]

 

“โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์ ?”

 

รูม่านตาของซูฉินหดตัวลงเล็กน้อย

 

โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์เป็นโอสถในตำนานของวัดเส้าหลินและอาจจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างขึ้นมาได้สักเม็ดแม้จะผ่านไปอีกเป็นแสนปี

 

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าซูฉินลงชื่อรับโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์และโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่ไปมากมายเท่าใด แต่นี่เป็นคราแรกที่เขาได้รับโอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์

 

เมื่อผู้ฝึกฝนในวิชายุทธขึ้นไปถึงระดับชั้นที่หนึ่ง ถ้ามันผู้นั้นต้องการไปต่อ มันจักต้องฝึกฝน‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ในตน

 

ยามใดที่‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ควบแน่นจนถึงขีดสุด จะสามารถกลั่นจิตสัมผัสอันศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แสนมหัศจรรย์มีวิธีใช้งานไม่มีสิ้นสุด ทั้งรบกวนจิต สำรวจสภาพแวดล้อม และทำได้แม้กระทั่งฆ่าคนจากระยะไกล

 

เพียงหลังจากพวกระดับชั้นที่หนึ่งที่สามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้เท่านั้นจึงจะเข้าใกล้คอขวดของระดับตำนานยุทธได้อย่างแท้จริง

 

สำหรับการที่จะผ่านคอขวดนี้ไปได้นั้น สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับจิตที่สูงส่ง กายเนื้อ และกำลังภายใน

 

ไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ก็เท่ากับการผ่านเข้าสู่ระดับใหม่แล้ว

 

ยอดฝีมือระดับนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง

 

ถ้าแม้แต่ยอดปรมาจารย์ก็นับว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว จุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งยิ่งไม่หายากกว่าอีกหรือ?

 

คนเหล่านี้ล้วนเป็นการดำรงอยู่ของตัวตนที่คาดว่าจะสามารถทำลายคอขวดของระดับตำนานยุทธ

 

แล้วถ้าต้องการจะกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มันมีอีกวิธีหนึ่งนอกเหนือจากการใช้เวลาหลายสิบหลายร้อยปีในการบรรลุถึง

 

และวิธีนั้นก็คือการใช้โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์ !