บทที่ 448 บทสรุป

บทที่ 448 บทสรุป

“ไอ้เด็กเวรนี่! เจ้ากล้าดีอย่างไร!” เมื่อเห็นว่าเซียวเฟิงต่อยหมัดที่สามเข้าไปที่กลางอกของซีเหมินชุยเสวีย ซีเหมินเว่ยก็ตกใจและโกรธเป็นอย่างมาก ชายชราตะโกนขึ้นเสียงดังก่อนจะเขวี้ยงกระบี่ของตัวเองพุ่งตรงไปยังเซียวเฟิงอย่างรวดเร็วราวกับมันกลายเป็นลำแสงที่พุ่งออกจากมือของเขาไปแล้ว!

เซียวเฟิงที่อยู่ในโหมดชูร่าแผ่ขยายขอบเขตของการรับรู้ไปทั่วทุกบริเวณโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ทุก ๆ อย่างรอบ ๆ ตัวเขาหยุดนิ่งและเคลื่อนไหวช้าลง ทว่าดาบลำแสงเล่มนี้กลับยังคงมีความเร็วการเคลื่อนที่สูงราวกับมันอยู่เหนือขอบเขตของชูร่าไปมาก และเพียงพริบตาเดียว มันก็มาปรากฏอยู่ต่อหน้าเซียวเฟิงอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว!

สีหน้าของเซียวเฟิงเปลี่ยนไปในทันที เขารีบเอี้ยวตัวเพื่อหลบ ทว่าความเร็วของดาบลำแสงนั้นยังสูงเกินกว่าที่ตนจะสามารถหลบได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะหลบได้ก็จริง แต่ก็ยังมีบางส่วนของลำแสงผ่านโดนตัวเขาอยู่ดี

“ตาแก่นี่!”

ความเจ็บปวดแสดงออกบนสีหน้าของเซียวเฟิงชัดเจน รวมไปถึงน้ำเสียงที่เปล่งวาจาออกมานั่นด้วย เพราะไหล่ของตัวเองนั้นมันเกือบจะถูกตัดขาดไปแล้ว!

ไหล่ทั้งไหล่เกือบจะขาดสะพายแล่งแยกเป็นสองส่วนจากร่างกาย! กระบี่ลำแสงนั้นคมมาก ๆ! ชัดเจนว่าซีเหมินเว่ยนั้นมีเจตนาฆ่าเขาอย่างแน่นอน!

และถ้าหากเซียวเฟิงไม่หลบมันก่อนล่ะก็ บางทีหัวของเขาอาจจะหลุดลงไปกองกับพื้นแล้วก็ได้

“อย่าอวดดีนัก!” ชายเครายาวตะโกนเสียงดัง เขาชักกระบี่ที่อยู่ข้างกายออกมาหมายจะปัดป้องการโจมตีออกไปเพื่อหยุดซีเหมินเว่ยไว้ ทว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังช้าเกินไป นั่นเพราะไม่มีใครคิดว่าซีเหมินเว่ยจะโจมตีปุปปับเช่นนี้ เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครคาดคิดว่าเซียวเฟิงจะฆ่าซีเหมินชุยเสวียนั่นแหละ ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น และทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็น่าเหลือเชื่อเกินไปด้วย

ทางด้านจางจงเหลียงเองก็มองทุกอย่างด้วยสายตาที่ปราดเปรื่อง แต่แม้ว่าเขาจะมองเห็นการกระทำของซีเหมินเว่ย แต่ก็ไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายไว้ทันเช่นกัน กระบี่ที่พุ่งด้วยความเร็วประดุจแสงเล่มนั้นเร็วเกินกว่าความเร็วของเขาจะหยุดไว้ได้ เขาเองก็ทำได้เพียงยืนดูเซียวเฟิงไหล่ฉีกเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ร่างสีดำขนาดใหญ่ร่างหนึ่งก็กระโจนเข้ามาในขณะนั้น มันเร็วมาก ๆ รวมถึงบนเรือนร่างนั้นก็กำยำราวกับหมีป่าตัวเขื่องก็มิปาน มันคือ คิงคอง!

พื้นลานฝึกสอนสั่นสะเทือนไปทั่วกับการทิ้งตัวของมัน แต่นั่นไม่ใช่จุดจบ คิงคองลงพื้นเพื่อหยั่งเท้าและกระโจนพุ่งใส่ซีเหมินเว่ยเหมือนปืนใหญ่มนุษย์ ไม่สิ ด้วยขนาดของมัน มันเหมือนรถถังคันใหญ่ที่มีแขนขาเหมือนมนุษย์กำลังพุ่งเข้าใส่เป้าหมายโดยปราศจากความหวาดกลัว!

ความเร็วของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าความดุร้ายที่มีเลยแม้แต่นิดเดียว! ทั้งจางจงเหลียงและชายเครายาวที่เห็นเช่นนั้นต่างก็แสร้งทำเป็นพวกตนตามความเร็วที่เห็นไม่ทัน หรือบางที…นี่อาจจะหมายถึงการที่พวกเขาทั้งสองอนุญาตให้คิงคองสามารถฆ่าซีเหมินเว่ยได้!

“อยากตายก็เข้ามา!”

ทันทีที่ซีเหมินเว่ยหันมองตามเสียง เขาก็พบว่าร่างขนาดใหญ่ประดุจหมีของคิงคองกำลังจะเข้ามาประชิดตนแล้ว เขาเดือดดาลขึ้นอีกครั้งก่อนจะยกหลังมือขึ้นตบคิงคองไปเต็มแรง

ตึง!

คิงคองไม่ได้หลบหรือหนีการโจมตีนั้นแต่อย่างใด เขาเลือกยกแขนขวาขึ้นชกกลับและปะทะเข้ากับหลังมือของซีเหมินเว่ยอย่างจังจนเกิดเสียงดังสนั่นกลางอากาศ แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย!

กร๊อบ!

กึก!

ขณะที่ห้วงอากาศกำลังสั่นสะเทือน เสียงของกระดูกที่แตกหักก็ดังขึ้นมา และเมื่อทุกอย่างสงบลง พวกเขาก็พบว่าเจ้าของเสียงกระดูกแตกนั้นคือ คิงคอง! แขนที่ใหญ่กำยำและหนาเหมือนเอวผู้ชายของมันกำลังบิดจนกลับหน้ากลับหลังไปหมด!

แต่ไม่ใช่แค่คิงคองเท่านั้นที่บาดเจ็บ เพราะแม้แต่ซีเหมินเว่ยเองก็ยังมีสภาพไม่สู้ดีนัก การปะทะกันเมื่อครู่ทำให้แขนที่ใช้โจมตีของเขาเกิดเคล็ดรุนแรง นอกจากนี้คลื่นอัดกระแทกที่มาจากหมัดของคิงคองก็ยังปะทะเข้าที่อกของเขารุนแรงจนชายชราผู้นี้ถึงกับกระอักเลือดไปด้วย

การที่แขนของคิงคองที่มีร่างกายแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเหล็กกล้าถึงขั้นแตกหักได้ มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าฝ่ามือของซีเหมินเว่ยแข็งแกร่งขนาดไหน กระนั้นแล้วสีหน้าของคิงคองก็ยังคงไม่เปลี่ยน ราวกับว่าแขนข้างที่หักนั้นไม่ใช่ของตน ภายในแววตาที่จ้องมองไปยังเป้าหมาย ยังคงเปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาตและจิตสังหารดังเดิม เส้นเลือดขนาดใหญ่ที่พาดผ่านอยู่บนกล้ามเนื้อนั้นเหมือนงูตัวใหญ่ที่กำลังเลื้อยไปมาบนหินก้อนยักษ์ มือข้างที่เหลือของคิงคองกำหมัดแน่นก่อนจะยกขึ้นหมายจะต่อยลงไปที่อกของซีเหมินเว่ยอีกครั้ง!

“หยุดนะ…”

อย่างไรก็ตาม ซีเหมินเว่ยที่พึมพำถ้อยคำออกมานั้นไม่ได้พูดกับคิงคองแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นบนลานฝึกซ้อมกำลังดึงดูดสายตาของเขาไปอยู่

ภาพที่เขาเห็น คือเซียวเฟิงที่มีสีหน้าดุร้ายที่ซึ่งไม่ได้สนใจบาดแผลขนาดใหญ่ที่ไหล่ซ้ายของตนเลย เขาคนนั้นกำลังกำหมัดขวาแน่นจนเส้นเลือดที่ลำคอเปล่งปูดขึ้นมาอย่างชัดเจน การไหลเวียนเลือดที่เร่าร้อนนั้นบ่งบอกความคิดเขาได้อย่างง่ายดาย เซียวเฟิงกำลังจะโจมตีซีเหมินชุยเสวียที่หมดสภาพแล้วอีกครั้ง!

เขาเล็งที่หัวของอีกฝ่ายไว้ราวกับจะทุบหัวของซีเหมินชุยเสวียให้แตกกระจายเหมือนลูกแตงโม!

“ไอ้เด็กเปรต! เจ้าจะกล้าดีเกินไปแล้ว!”

ซีเหมินเว่ยหวาดผวาเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าตนไม่สามารถหยุดเซียวเฟิงได้แน่ ๆ เพราะการโจมตีระยะไกลด้วยกระบี่เพียงหนึ่งเดียวของเขาถูกใช้ไปแล้ว ผนวกกับคิงคองเองก็กำลังจะฆ่าเขาด้วยกำปั้นอันทรงพลังนั้น แน่นอนว่าถ้าโดนเข้าไป ยังไงตัวเขาก็ไม่รอด

เมื่อเห็นแล้วว่าสถานการณ์กำลังกลับตาลปัตร ซีเหมินชุยเสวียและซีเหมินเว่ยได้รับความทุกยากมามากพอ จางจงเหลียงก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมาในที่สุด

“พอได้แล้ว”

น้ำเสียงที่แผ่วเบาและนุ่มนวลแผ่กระจายไปเป็นวงกว้างเสมือนผิวน้ำที่สงบนิ่งมาตลอด ถูกกวนด้วยหยดน้ำเล็ก ๆ จนเกิดเป็นคลื่นสยายตัวออกไป ทว่าเสียงนั้นกลับทำให้เซียวเฟิงและคิงคองผู้ที่ซึ่งกำลังจะลั่นไกการโจมตีออกไปอีกครั้งรู้สึกได้ถึงตรวนอันอ่อนโยนกำลังรัดตรึงร่างพวกเขาไว้ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังรู้สึกได้ว่าจิตอาฆาตของพวกตนถูกลดหลั่นลงไปด้วย!

เซียวเฟิงและคิงคองต่างพากันถอยหลังออกไปนิดหน่อย พวกเขารู้สึกว่าพละกำลังและความแข็งแกร่งของตนมันหายไปแทบจะหมดเลย ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความตกใจในระดับหนึ่ง นั่นเพราะตอนนี้โหมดไร้เทียมทานมันถูกเปิดอยู่ทั้งคู่ พวกเขาควรจะเปี่ยมด้วยพลัง แต่มันกลับกลายเป็นทั่วทั้งร่างไม่มีสิ่งที่ควรจะมีอยู่ไปแล้ว!

“นายเป็นยังไงบ้าง?” เซียวเฟิงยืนอยู่ข้าง ๆ คิงคองก็จริง แต่สายตาของเขาก็ยังคงมองซีเหมินชุยเสวียที่นอนอยู่บนพื้นอยู่ ในขณะเดียวกันก็มองซีเหมินเว่ยที่แขนเคล็ดไปด้วย แววตาของเซียวเฟิงระหว่างที่ถามนั้นยังคงไม่ละทิ้งความเหี้ยมโหดลงไป

“ผมยังสู้ไหวครับ! นายท่านเป็นอะไรมากหรือเปล่า?”

คิงคองจับแขนที่หักผิดรูปแล้วหักกลับไปดังเดิมโดยที่ไม่ได้แสดงความเจ็บปวดอะไร

“งั้นก็มาลุยกันต่อเลย!”

แววตาของเซียวเฟิงแสดงความหนักแน่นและร้ายกาจอีกครั้ง เขาตั้งใจแล้วว่าจะต้องปิดฉากซีเหมินชุยเสวียให้ได้เช่นเดียวกับคิงคองเองก็เตรียมจะพุ่งเข้าปิดฉากทางซีเหมินเว่ยด้วยเหมือนกัน

“พอแล้ว หยุดซะ”

มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จางจงเหลียงจะได้ยินบทสนทนาของเซียวเฟิงและคิงคอง เขาชะงักไปครู่หนึ่งกับความดื้อรั้นนี้ก่อนจะพูดซ้ำอีกครั้ง ครั้งนี้เขาโบกมือเบา ๆ ขณะพูดออกไปด้วย ซึ่งตอนนั้น ร่างของชายเครายาววัยกลางคนก็หายไปจากข้างกายของเขาและไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเซียวเฟิงและคิงคองเพื่อกันพวกเขาออกจากซีเหมินเว่ยและซีเหมินชุยเสวียแล้ว

เซียวเฟิงมองไปยังจางจงเหลียงก่อนจะหันไปมองที่ชายเครายาวตรงหน้าเขาแทน ในที่สุดจิตสังหารและความดุร้ายบนใบหน้าของเขาก็เริ่มจางหายไปเช่นเดียวกับดวงตาที่กลับเป็นปกติ เส้นเลือดดำที่ปูดใหญ่บริเวณคอเองก็หายไปด้วยเฉกเช่นคิงคองที่กลับไปเยือกเย็นอีกครั้ง

“การประลองได้จบลงแล้ว ท่านซีเหมิน ข้าคิดว่าตระกูลซีเหมินของท่านเป็นฝ่ายสูญเสียมาก่อน ดังนั้นข้าจะไม่สนใจเรื่องที่ท่านจะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงบัญญัติโบราณในครั้งนี้ ท่านสามารถพาร่างหลานชายท่านกลับไปได้ และข้าจะยึดตามกฎบัญญัติโบราณที่สืบทอดกันมา นับจากวันนี้เป็นต้นไป การหมั้นหมายและการแต่งงานของตระกูลซางกวนที่มีให้ไว้กับตระกูลซีเหมินจะไม่ถูกกล่าวถึงขึ้นมาอีก”

น้ำเสียงของจางจงเหลียงนั้นจริงจังมาก ๆ และนี่คือบทสรุปของเรื่องในวันนี้

“ข้าได้ทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าท่านเจ้าตระกูลจางไปจริง ๆ ดังนั้นตระกูลซีเหมินของข้าขอน้อมรับผลของบัญญัติโบราณในครั้งนี้และจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”

ซีเหมินเว่ยผู้ที่แขนเคล็ดไปข้างหนึ่งกำหมัดด้วยมือที่ยังเหลืออีกหนึ่งข้างขณะฟังจางจงเหลียงพูด เขาดูไม่พอใจเล็กน้อย กระนั้นเขาก็เลือกที่จะหันหน้าและเดินเข้าไปยังลานฝึกซ้อมเพื่อนำร่างของซีเหมินชุยเสวียที่หมดสติไปแล้วพร้อมกับเดินไปหยิบกระบี่ของตนก่อนจะจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ไม่แม้แต่จะหันมามองเซียวเฟิงกับคนอื่น ๆ ด้วยแววตาเกลียดชังหรือไม่สบอารมณ์อะไรทั้งนั้น

แม้ว่าภายในใจของซีเหมินเว่ยนั้นต้องคิดอะไรอยู่แน่ ๆ แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ได้เปิดเผยมันออกมาต่อหน้าจางจงเหลียงแต่อย่างใด

ในฐานะที่เป็นอดีตเจ้าตระกูลซีเหมิน เขาย่อมสามารถรับรู้ได้ดีอยู่แล้วว่าจางจงเหลียงไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่าย ๆ แน่ ๆ หากเมื่อไหร่เขาเผลอหลุดพูดอะไรออกมา สิ่งอื่น ๆ ที่ซ่อนเอาไว้ก็จะไม่สามารถปกปิดจากจางจงเหลียงได้อีก

อย่างที่สอง เขารู้ว่าเรื่องในวันนี้นั้น จางจงเหลียงพยายามประนีประนอมตระกูลซีเหมินมามากแล้ว อย่างที่เขาได้บอกไว้ในตอนท้ายว่า ตระกูลซีเหมินนั้นเป็นฝ่ายสูญเสียก่อน และมันก็เป็นจางเซียวเฟิงที่เข้ามาเป็นมือที่สามแย่งเอาซางกวนซีเฟยที่มีสัญญาหมั้นหมายกับตระกูลซีเหมินไป สิ่งนี้หมายถึง การลักพาตัวแบบกลาย ๆ แน่นอนว่าจางจงเหลียงเองก็คงจะรู้สึกผิดอยู่เช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกใจที่คนคนนี้จะไม่เข้ามาขัดขวางเมื่อตอนที่ซีเหมินเว่ยเข้าไปยุ่งกับการประลองหลั่งเลือด นอกจากนี้ยังยอมให้เขาเข้าไปช่วยซีเหมินชุยเสวียออกมาด้วย

ตอนนี้ ภายในใจของซีเหมินเว่ยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขารับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่มาจากผู้ถูกขับไล่แห่งตระกูลจางคนนั้นได้ และมั่นใจว่าหากไม่มีการห้ามปราม ซีเหมินชุยเสวียจะต้องถูกฆ่าตายจากการโจมตีครั้งสุดท้ายนั่นแน่ ๆ!

ไม่เพียงเท่านั้น ชายร่างใหญ่ดำทมิฬเองก็ปล่อยจิตสังหารใส่เขาด้วยเช่นกัน หากเรื่องนี้ยังดำเนินต่อ เขาเองก็จะถูกฆ่าตาม ๆ กันไป

สิ่งนี้ทำให้ซีเหมินเว่ยเงียบลงไป เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ผู้ถูกขับไล่และชายร่างดำนั้นมาจากไหน และไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองคนนี้ถึงต้องการจะฆ่าเขาโดยไม่คิดถึงชีวิตตนเองขนาดนี้! ความเหี้ยมโหดของทั้งสองทำให้ซีเหมินเว่ยพูดไม่ออกอยู่เป็นเวลานาน

อย่างที่สาม จิตอาฆาตที่ปกคลุมไปทั่วทั้งลานฝึกซ้อมมันกดดันเขาไว้ไม่ให้พูดอะไรมากไปกว่านี้ แม้จางจงเหลียงจะสั่งให้หยุดแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่าถ้าหากยังอยู่ที่นั่นนานกว่านี้ พวกนักสู้เลือดร้อนทั้งสองคนนั้นจะเปลี่ยนใจกลับมาทำร้ายพวกเขาอีกหรือเปล่า ตอนนี้ซีเหมินชุยเสวียก็ตกอยู่ในอาการโคม่า เขารับรู้ได้ถึงชีพจรชีวิตอันแผ่วเบานั้น แต่ตัวเขากลับไม่มีความมั่นใจเลยว่า หากยังคงดื้อดึงต่อ ตนเองจะมีความสามารถมากพอที่จะปกป้องซีเหมินชุยเสวียได้หรือเปล่า ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ หมายถึง เขามีชีวิตของอัจริยะประจำรุ่นเป็นเดิมพัน ดังนั้นแล้วซีเหมินเว่ยจึงไม่กล้าเอาสิ่งนี้ไปเสี่ยงและยอมเลิกราแต่โดยดีเพราะกลัวว่ามันจะสายเกินไปหากเขาไม่หยุด

อันที่จริง ไม่เพียงแต่ซีเหมินเว่ยที่รู้สึกหวาดกลัว เพราะแม้แต่จางจงเหลียงและชายเครายาวที่ยืนมองเซียวเฟิงเงียบ ๆ เองก็ยังรู้สึกแบบเดียวกัน พวกเขาต่างตกใจกับการที่เซียวเฟิงสามารถทำเรื่องเหี้ยมโหดได้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง คนคนนี้คิดจะฆ่าซีเหมินชุยเสวียจริง ๆ!

แล้วแบบนี้จะให้พวกเขาทนอยู่กับความโหดร้ายนี้โดยไม่ทำอะไรเลยได้อย่างไร?

“ไปกันได้แล้ว”

เซียวเฟิงหันไปมองยังจางจงเหลียงและชายเครายาววัยกลางคนก่อนจะหันไปทางอื่นแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรมากนัก

ผลลัพธ์ในวันนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเซียวเฟิงโดยไม่ต้องสงสัย จืออี้ปลอดภัย แถมเขายังได้บัญญัติโบราณช่วยทำให้มั่นใจด้วยว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดี ตามที่ได้ตกลงกันไว้ นั่นเท่ากับว่าในอนาคต ตระกูลซีเหมินจะไม่สามารถใช้สัญญาใด ๆ มาพาตัวจืออี้ไปแต่งงานด้วยได้อีก ซึ่งทางตระกูลซางกวนเองก็ต้องรับความจริงนี้ด้วยว่างานหมั้นได้ถูกยกเลิกลงแล้ว

ถึงแม้ว่าเซียวเฟิงและคิงคองจะเสียแขนกันไปคนละข้าง และไม่ว่าแผลเหล่านั้นจะร้ายแรงถึงเพียงไหน แต่ด้วยความสามารถในการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจของพวกเขา เพียงไม่กี่วันเดี๋ยวพวกเขาทั้งสองก็หายดีเป็นปกติ

ส่วนสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เซียวเฟิงรีบหนีออกจากจางจงเหลียงนั่นก็เพราะ ตัวเองไม่รู้ว่าคนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ และการที่เขากลับมาอยู่ที่บ้านตระกูลจางเช่นนี้ เขาเองก็ไม่ต่างจากลูกแกะ

ตลอดมานั้นจางจงเหลียงเรียกชื่อเซียวเฟิงว่า ‘เซียวเฟิง’ มาตลอด เขาไม่เคยเพิ่ม ‘จาง’ ที่เป็นชื่อตระกูลลงไปหน้าชื่อลูกชายคนนี้แม้แต่ครั้งเดียว นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าจางจงเหลียงให้อิสระกับเซียวเฟิงมากขนาดไหน และนี่จึงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกไม่สบายใจยามที่ต้องกลับมายังบ้านตระกูลจางเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงอยากจะรีบออกไปให้เร็วที่สุด

เขาหันหน้าและเตรียมที่จะออกไปพร้อมกับคิงคองและจืออี้ในจังหวะที่จางจงเหลียงยังไม่ได้สติกลับมาดีนัก

“หยุด”

ทว่ามันก็สายเกินไป เพียงได้ยินเสียงราบเรียบของผู้เป็นบิดาลอยมาตามลม หัวใจของเซียวเฟิงก็ดิ่งลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเสียแล้ว

“นายพาเธอไปก่อ…”

ด้วยหัวใจที่ไม่หนักแน่น เซียวเฟิงรู้ดีว่าการกลับมายังบ้านตระกูลจาง สิ่งที่ยากที่สุดคือการออกไปอีกครั้ง เพราะงั้นเขาจึงตั้งใจจะให้คิงคองพาจืออี้หนีออกไปก่อน เพราะหลังจากที่จางเสี่ยวหยูพาตัวจืออี้มายังบ้านตระกูลจาง เซียวเฟิงก็ไม่เชื่อใจจางเสี่ยวหยูไปด้วยอีกคน

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เซียวเฟิงจะได้พูดจบ ดวงตาของเขาก็มืดดับลงพร้อมกับร่างของตัวเองที่ล้มลงไปกับพื้นอย่างไร้ซึ่งสติ