ตอนที่ 94 ปราณโลหิตกับกระบี่ยันต์

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 94 ปราณโลหิตกับกระบี่ยันต์ โดย Ink Stone_Fantasy

สำหรับอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว วิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดถือเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ถ้าหากใช้ได้ถูกต้องไม่แน่อาจหลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณหรือโอสถพลังหยินที่มีประโยชน์หลายอย่างก็เป็นได้

แต่ตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว!

ในเมื่อวิญญาณราชาปีศาจถูกหลอมสร้างเป็นโซ่ตรวนวิญญาณแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

“ช่างเถอะ! มีโซ่ตรวนวิญญาณที่หลอมสร้างมาจากวิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดเส้นนี้แล้ว ไม่แน่เจ้าแน่เด็กคนนี้อาจจะมีหวังที่จะชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกมาได้” ศิษย์พี่หวงถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็สบตากันยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

พูดถึงเงื่อนไขของวิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุด ศิษย์พี่หวงผู้เป็นหัวหน้าสาขาฝึกศพย่อมต้องการสิ่งนี้มากกว่าผู้ใด

คนอื่นใช้วิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดหลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณหรือโอสถ แต่ถ้าหากเขามีมันล่ะก็ กลับสามารถใช้มันฝึกฝนเคล็ดวิชาหลายอย่างที่แต่เดิมไม่สามารถฝึกฝนได้ ตลอดจนทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากด้วย

แต่ตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว

หลังจากจากเวลาครึ่งเช้าผ่านไป

ผู้ท้าสู้บนลานประลองที่หนึ่งก็ค่อยๆ เริ่มลดน้อยลง จนบางครั้งเม็ดทรายไหลลงไปครึ่งหนึ่งถึงมีคนขึ้นไปท้าสู้บนลานประลอง

ประจักษ์ชัดว่าหลังจากผ่านการประลองอันดุเดือดมาหลายครั้ง ผู้ที่ยังกล้าท้าสู้ศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกนั้นมีไม่มากแล้ว

สำหรับศิษย์พี่ใหญ่แห่งสาขาเก้าทารกอย่างสือชวน ท้ายสุดแล้วก็ไม่ได้เลือกท้าสู้บนลานประลองที่หนึ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าในช่วงเช้านั้น เขาชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับที่สิบห้าบนลานประลองที่สองได้ตั้งแต่เมื่อไหร่

มาจนถึงตอนนี้เจ้าเด็กเกาชงก็ยังไม่ได้ขึ้นไปท้าประลอง แต่กลับมองมาที่หลิ่วหมิงด้วยสายตาที่เยือกเย็นอยู่ตลอด เจตนาเขานั้นไม่ต้องบอกก็สามารถรับรู้ได้

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มเล็กน้อย และเขาก็ไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย

จนในที่สุด เมื่อศิษย์ผู้หนึ่งบนลานประลองพ่ายแพ้แล้วอาจารย์จิตวิญญาณตั้งนาฬิกาทรายอีกครั้ง เม็ดทรายละเอียดในนั้นค่อยๆ ไหลลงไป จนเมื่อมันไหลไปได้สองในสามส่วนก็ยังไม่มีคนขึ้นไปท้าสู้บนลานประลอง

ตอนนี้ศิษย์บริเวณรอบๆ ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณแต่ละคนต่างก็มองมาอย่างใจจดใจจ่อ

เม็ดทรายละเอียดค่อยๆ ไหลลงไปจนกระทั่งเหลือแค่หนึ่งในสี่ส่วน…หนึ่งในห้าส่วน…หนึ่งในแปดส่วน…

สีหน้าของเกาชงที่เดิมทีจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความเยือกเย็นก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

ผ่านไปสักครู่ เมื่อเขามองไปที่นาฬิกาทราย แล้วมองไปทางหลิ่วหมิงที่ไม่ยอมเคลื่อนไหวใดๆ เขาก็เกิดอาการลังเลขึ้นมา

“ศิษย์น้องเกาอย่าเสียเวลาอีกเลย เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี่รู้แผนของเจ้าแล้ว และเมื่อเลยเวลาไปศิษย์น้องก็จะไม่สามารถขึ้นไปท้าสู้บนลานประลองนี้ได้แล้ว เจ้าเด็กนั่นตั้งใจให้เจ้าละทิ้งสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกไปพร้อมกัน” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนกล่าวออกมาด้วยความกระวนกระวาย

“ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะทำแบบนี้ อย่างมากข้าก็แค่ไม่เข้าร่วมท้าสู้ชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก และยอมเสียเวลาไปพร้อมกับเขา” เกาชงกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง

“แต่ว่าศิษย์น้องเกาไม่เพียงแค่จะพลาดการชิงตำแหน่งในลานประลองแรก อาจจะต้องรอจนถึงการท้าสู้ของลานประลองสุดท้ายสิ้นสุดเขาถึงยอมขึ้นไปก็เป็นได้ แต่ศิษย์น้องเกาไม่อาจยืดเยื้อเวลาออกไปได้อีกแล้ว ถ้าหากเจ้าไม่เข้าร่วมการท้าสู้บนลานประลองแรกไม่เพียงแต่จะทำให้ตนเองเสียชื่อเสียงเท่านั้น แม้แต่หน้าอาจารย์อาก็จะไม่เหลือด้วย” เมื่อชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนเห็นเม็ดทรายเหลืออยู่แค่หนึ่งในสิบส่วน ก็กล่าวออกมาด้วยความร้อนใจ

เกาชงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ลังเลอะไรอีกแล้ว

“ศิษย์พี่เกา สำหรับเจ้าเด็กสารเลวนั่นมันไม่คุ้มที่ท่านจะทำเช่นนี้ อย่างมากก็แค่ให้ศิษย์พี่คนอื่นๆ จัดการกับเขาก็ได้แล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะมีความสามารถในการชิงสิบอันดับแรกมาได้” มาถึงจุดนี้แล้วมู่หมิงจูก็เอ่ยปากออกมาอย่างอดไม่ได้

“ไม่ผิด ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าค่อยมาท้าสู้กับเขาละกัน ถึงแม้พลังของข้าจะไม่สามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกได้ แต่ยังพอที่จะเข้าไปในยี่สิบอันดับแรกได้” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนพยักหน้ากล่าวออกมา

“ก็ได้ คงได้แต่ทำตามที่เจ้าบอกก่อน ข้าจะไม่ยอมทำให้อาจารย์ผิดหวังอย่างแน่นอน ถ้าเด็กนี่พลังไม่เท่าไหร่ล่ะก็ ให้ศิษย์พี่ซิ่งรับมือกับเขาก็เพียงพอแล้ว ถ้าหากในตอนท้ายเขาสามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกได้จริงๆ ข้าเองก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสต่อสู้กับเขา” เกาชงมองไปยังส่วนบนของนาฬิกาทรายที่เหลือเม็ดทรายอยู่น้อยนิด แล้วในที่สุดก็กัดฟันกล่าวออกมา

จากนั้นเท้าทั้งสองค่อยๆ สั่นไหว แล้วกลายเป็นเงาก่อนที่จะปรากฏตัวบนลานประลอง

บนลานหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ถึงได้มีรอยยิ้มปรากฏออกมา

ในขณะเดียวกันหลิ่วหมิวก็ยิ้มบางๆ ออกมา

“ข้าขอท้าสู้ศิษย์พี่เถี่ยที่เป็นศิษย์แกนนำอันดับห้า” เกาชงกวาดสายตาไปยังใต้ธงที่อยู่แถวต้นๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น

“เจ้าอยากจะท้าสู้กับข้า ดีมาก ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าแท้จริงแล้วชีพจรจิตวิญญาณพสุธาในตำนานจะน่ากลัวสักแค่ไหนกัน” ศิษย์แกนนำที่อยู่ใต้ธงเสาที่ห้าเป็นชายหนุ่มใส่ที่เก็บผมไม้ พอเขาได้ยินเช่นนี้ก็ลุกขึ้นมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

เขาเป็นถึงศิษย์ที่มีชื่อจารึกอยู่อันดับที่ห้าบนแผ่นศิลาจันทรา ซึ่งเหมือนกับสี่อันดับแรกที่ไม่มีใครกล้าท้าสู้มาก่อน

“ศิษย์น้องจาง ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเด็กเถี่ยเจี้ยนผู้นี้ดูเหมือนกับว่าจะเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสาขายันต์มหาเวทย์ใช่ไหม แต่เขาไม่สนใจวิชาเขียนยันต์เหล่านั้นของเจ้าเลยฝึกฝนวิชาที่ผนึกยันต์กับกระบี่มาโดยตลอดใช่ไหม?” ทันใดประมุขนิกายปีศาจก็เอ่ยปากถามออกมา

“เรียนท่านประมุข ที่เจ้าเด็กเถี่ยเจี้ยนผู้นี้ฝึกฝนหลักๆ ก็คือวิชากระบี่ยันต์ที่ผู้อาวุโสผู้หนึ่งในสาขาข้าได้ทิ้งไว้ในสมัยก่อน ท่านเองก็รู้ว่าการประลองใหญ่ในครั้งก่อนนั้น เป็นเพราะว่าเขาเพิ่งจะได้ฝึกฝนวิชากระบี่ยันต์ได้ไม่นาน จึงเกือบจะไม่สามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกได้ ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปนานเช่นนี้คิดว่าวิชากระบี่ยันต์ที่ฝึกฝนคงไม่ธรรมดาแล้ว” อาจารย์อาจางแห่งสาขายันต์มหาเวทย์ที่เคยพบเจอกับหลิ่วหมิงในตอนนั้นฝืนยิ้มกล่าวออกมา

“ไม่คาดคิดว่าเจ้าเด็กนี้จะทำความเข้าใจวิชากระบี่ยันต์ได้จริงๆ นับได้ว่าสติปัญญาเหนือกว่าผู้คนอื่นๆ มาก เสียดายที่นิกายเราไม่ได้ฝึกฝนกระบี่เป็นหลักเหมือนนิกายจันทราสวรรค์ เลยไม่อาจชี้แนะให้เขาได้” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวออกมาด้วยความเสียดาย

“อนาคตของเขาคงต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาของตัวเขาเองแล้ว” อาจารย์อาจางเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร

เวลานี้ คู่ต่อสู้ทั้งสองบนลานประลองต่างก็ลงนามความเป็นความตายแล้ว และหลังจากที่ม่านแสงคุ้มกันเปิดออกมา การต่อสู้อันดุเดือดก็เริ่มขึ้นในทันที

ชายหนุ่มใส่ที่เก็บผมไม้ลูบมือข้างหนึ่งไปยังแขนเสื้อควักกระบี่ไม้สีเหลืองจางๆ ยาวหลายชุ่นออกมา แล้วโยนมันขึ้นไปในอากาศจากนั้นก็ยกมือขึ้น ยันต์สีเงินจางๆ ผืนหนึ่งลอยออกไป พริบตาเดียวก็จมหายเข้าไปในกระบี่ไม้

ครู่เดียวกระบี่เล่มนี้ก็ส่งเสียงดังยาวออกมา

อักขระสีเงินแต่ละตัวก็ปรากฏขึ้นบนนั้น

ชายหนุ่มทำท่ามือด้วยมือเดียวอีกรอบ แล้วชี้ไปยังด้านหน้า ฉับพลันกระบี่ไม้ก็ลางเลือนหายไปในอากาศ

เกาชงรู้สึกแค่ว่ามีคลื่นพลังไร้รูปก่อตัวขึ้นตรงอากาศด้านหน้า แล้วกระบี่ไม้เล่มนั้นก็ปรากฏออกมาราวกับปีศาจร้าย

ภายใต้ความตกตะลึงงัน เขาสะบัดแขนเสื้อโดยไม่ต้องคิด แล้วแสงสีเลือดกลุ่มหนึ่งก็ม้วนตัวออกไป

แต่ขณะนี้เถี่ยเจี้ยนกลับได้ร่ายคาถามาจากที่ไกลๆ เสร็จแล้ว

เสียงดัง “ฟรึ่บ!” กระบี่ไม้ลางเลือนหายไปอย่างแปลกประหลาดในพื้นที่ที่แสงสีเลือดม้วนตัวผ่าน

จากนั้นก็มีกระบี่ไม้ที่คล้ายกันสิบกว่าเล่มก็ล้อมร่างเกาชงไว้ หลังจากที่เปล่งแสงสีเงินออกมา มันก็ส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ม้วนตัวเป็นกระบี่แสงขนาดใหญ่พุ่งไปยังเกาชงทันที

ช่วงเวลานี้ราวกับว่ามันจะสับร่างเกาชงให้แหลกละเอียด

อานุภาพน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

ศิษย์แต่ละคนที่ดูอยู่ด้านล่างต่างก็ส่งเสียงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ

มู่หมิงจูก็มีสีหน้าซีดขาวขึ้นมาเป็นอย่างมาก

“ทำลายซะ!”

ท่ามกลางกระบี่แสงจ้ากลับมีน้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้นมา หลังจากที่เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น ห่วงไอหมอกสีเลือดก็ค่อยๆ ขยายขนาดขึ้นมา

กระบี่แสงที่ดูคมกริบเหล่านั้นฟันลงบนห่วงไอหมอกสีเลือดราวกับว่าฟันลงบนเหล็กบริสุทธิ์จนค่อยๆ กระเด็นออกไป หลังจากที่ถูกปราณโลหิตม้วนตัวออกไปอย่างรุนแรงแล้วก็ค่อยๆ ถูกทำลายจนแตกละเอียด

เสียงดัง “เพล้ง!”

เกาชงก้าวยาวๆ ออกมาจากปราณโลหิต หลังจากที่แขนข้างหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนดูลางเลือน ก็สามารถคว้ากระบี่เล็กสีเงินจางๆ ขนาดยาวหลายชุ่นออกมาจากกระบี่ที่แตกละเอียดได้เล่มหนึ่ง

เถี่ยเจี้ยนที่อยู่ไกลออกไปเห็นเช่นนี้ สีหน้าที่ซึมกระซือก็อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น แต่กลับทำท่ามือด้วยมือทั้งสองด้วยความตกใจอยู่ไม่หยุด

กระบี่เล็กสีเงินในมือพยายามดิ้นสลัดบิดไปมาราวอสรพิษน้อย เหมือนกับว่ามันจะหลุดจากมือออกไปได้

เกาชงเห็นเช่นนี้ กลับแสดงสีหน้าดูเหยียด แล้วฝ่ามือทั้งสองก็ประกบเข้าหากัน และถูไปมาในทันที

ภายใต้การสั่นไหวของไอหมอกเลือด แสงสีเงินบนกระบี่ก็หายไป แล้วกลับมาเป็นกระบี่ไม้สีเหลืองเล่มนั้นเหมือนเดิม

และในขณะเดียวกัน เถี่ยเจี้ยนกลับอ้าปากกระอักเลือดออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดขาว ร่างของเขาอ่อนระโหยโรยแรงไร้ชีวิตชีวาขึ้นมา

เกาชงหัวเราะอย่างเยือกเย็น และโยนกระบี่ไม้ในมือทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินตรงไปยังด้านหน้า

“ข้ายอมแพ้!”

ครั้งเถี่ยเจี้ยนไม่รอให้เกาชงเดินเข้ามาถึง เขารีบหัวเราะอย่างขมขื่น และยอมรับความพ่ายแพ้

ดูเหมือนว่าทั้งสองใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวในการต่อสู้กัน

ผู้คนบริเวณลานประลอง ต่างก็จ้องมองจนต้องอ้าปากค้างกันอีกครั้ง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ หดรูม่านตาลง

“ศิษย์พี่ท่านประมุข ถึงแม้มันจะจางมาก แต่เห็นได้ชัดว่ามันคือปราณโลหิตที่มีแต่อาจารย์จิตวิญญาณเท่านั้นที่สามารถควบคุมมันได้! เจ้าเด็กเกาชงนี้ทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน? อาจารย์อาจางเป็นศิษย์ในสาขาของตนถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ สีหน้าที่ชะงักงันในตอนแรกกลับได้สติขึ้นมาแล้วถามออกไปในทันที

“ไม่ผิด เจ้าไอโลหิตนั่นเป็นไอของปราณโลหิตที่ศิษย์น้องท่านประมุขเชี่ยวชาญที่สุด แต่เกาชงยังไม่ได้เข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ พลังภายในก็ยังเป็นอากาศธาตุ แล้วทำไมถึงได้กลั่นตัวเป็นปราณโลหิตได้!” ศิษย์พี่หวงแห่งสาขาฝึกศพสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามออกมาเช่นกัน

กุยหรูฉวนและอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าตื่นตกใจเช่นกัน

“ศิษย์น้องทั้งหลายไม่ต้องตกใจไป! ที่เกาชงทำแบบนี้ได้ เป็นเพราะว่าครั้งก่อนอาจารย์อาเยี่ยนได้มาพบกับเจ้าเด็กนี้ด้วยตนเอง และยังมอบโลหิตจิตวิญญาณของอสูรมังกรให้หยดหนึ่ง” ประมุขนิกายปีศาจตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน

“โลหิตจิตวิญญาณของอสูรมังกร” อาจารย์จิตวิญญาณเหลยได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม

“ไม่ผิด ถึงแม้ตอนนั้นอาจารย์อาเยี่ยนจะไม่ได้สังหารมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณตัวนั้น แต่ก็ไม่ได้กลับมามือเปล่า โดยได้โลหิตของอสูรมังกรตัวนี้มาหลายหยด” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวอย่างช้าๆ

……………………………………….