ตอนที่ 530 ดอกเบญจมาศที่ชอบร้องไห้

พันธกานต์ปราณอัคคี

ในยุคดึกดำบรรพ์ เป็นยุคที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น สิ่งมีชีวิตนานาชนิดจึงก่อกำเนิดขึ้น ผืนแผ่นดินอุดมไปด้วยแร่ธาตุมากมาย เอื้อประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเพียรของมนุษย์ ปีศาจ และอสูรเป็นอย่างยิ่ง ขนาดที่ว่าเหล่าพืชวิญญาณยังแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่หลังจากโลกเซียนตัดขาดจากโลกมนุษย์ หนทางสู่การเป็นเซียนก็หยุดลงนับแต่นั้นเป็นต้นมา 

 

 

เมื่อวิถีแห่งสวรรค์ซึ่งพิถีพิถันเรื่องความสมดุล เกิดความเสียหายเกินกว่าจะเยียวยา ธรรมชาติจึงหลงเหลือพลังชีพไว้เพียงหนึ่งสายให้กับวิญญาณนับหมื่นบนโลกมนุษย์ ซึ่งพลังชีพสายนี้ก็คือจุดกำเนิดของโลกวิญญาณ 

 

 

หรือพูดได้ว่า โลกวิญญาณในตอนนี้ ก็คือโลกดึกดำบรรพ์ในอดีต ซึ่งไม่เหมือนโลกมนุษย์ที่มีเพียงมิติเดียว โลกวิญญาณมีถึงสามพันมิติ โดยแต่ละมิติต่างมีถ้ำสวรรค์ของตน 

 

 

หลายหมื่นปีมานี้ เมื่อปราณวิญญาณในทุกโลกวิญญาณอ่อนกำลังลง ก็จะถูกพลังลึกลับทำให้แยกตัวออกจากกัน กลายเป็นดาวตก หายไปในพริบตา 

 

 

ซึ่งดาวตกเหล่านี้ได้ไปรวมตัวกันในที่ที่ไม่มีใครรู้ ก่อนแบ่งเป็นอาณาเขตดวงดาวต่างๆ อยู่ระหว่างโลกวิญญาณและโลกมนุษย์ ซึ่งก็คือ แดนวิญญาณ 

 

 

แดนสวรรค์มี่หลัวตู เป็นหนึ่งในแดนวิญญาณ 

 

 

พอเข้าสู่แดนสวรรค์มี่หลัวตู ดวงดาวที่เห็น คือส่วนที่โลกวิญญาณอ่อนแรงลง แตกออกจากกัน แล้วรวมตัวกันกลายเป็นรูปร่างต่างๆ 

 

 

ส่งผลให้ภายในดวงดาวเหล่านี้มีทิวทัศน์ที่ไม่เหมือนกัน บ้างก็เป็นโลกธรรมชาติที่เปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ บ้างก็เป็นถ้ำที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูงละทิ้งไปหรือเหลือทิ้งไว้ ยังมีบางแห่งน่าจะเป็นเพียงที่ดินรกร้าง กระทั่งบางแห่งยังเห็นร่องรอยบางสำนัก หลายรูปแบบ แตกต่างกันไป 

 

 

เหล่านี้คือดินแดนทวีปแห่งเทพของผู้บำเพ็ญเพียรตามแต่ละวิถีแห่งเซียน ซึ่งไม่เสียดายที่จะละทิ้งอคติที่มีต่อการออกเดินทางสำรวจแดนวิญญาณร่วมกัน เพราะบอกไม่ได้แน่นอนว่า จะหาทางเข้าแดนวิญญาณได้จากดาวดวงใด 

 

 

เมื่อผู้อับโชค แต่มีความมุมานะ บำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์ถึงระดับก่อกำเนิด จนสามารถเข้าไปในโลกวิญญาณได้ก่อนเวลาอันควร แล้วบำเพ็ญเพียรในสิ่งแวดล้อมแบบนั้น การก้าวหน้าไปอีกขั้นย่อมไม่ใช่ความฝันที่คนโง่พูดกันอย่างแน่นอน พูดได้ว่า เมื่อเทียบกับการบำเพ็ญเพียรที่ยากลำบากเป็นอย่างยิ่งในโลกมนุษย์แล้ว ความเสียใจครั้งสุดท้ายย่อมเป็นอันตกไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยสถานการณ์ต่างกันราวฟ้ากับเหว 

 

 

ดังนั้น หลังจากเข้ามาในแดนวิญญาณ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรในระดับก่อกำเนิดแล้ว ในที่ที่มีปราณวิญญาณเข้มข้นนี้ การฝึกวิชานับว่าไม่ใช่สิ่งสำคัญ ที่สำคัญสุดกลับเป็นการบุกเบิก  

 

 

มีดาวหลายสิบล้านดวงในแดนวิญญาณ ดวงดาวที่ได้รับการสำรวจจะถูกบันทึกลงในแผนผังแห่งดวงดาว ไว้ใช้ร่วมกันทั้งสามฝ่าย 

 

 

ดวงดาวซึ่งคณะผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มของมั่วชิงเฉินมาถึง เพิ่งถูกบุกเบิกไปแล้วก่อนหน้านี้ เพียงแต่ขณะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดกำลังเคลื่อนย้ายปราณวิญญาณ กลับมีลางสังหรณ์ว่า บริเวณโดยรอบอาจถล่มลง จึงรีบถอยออกมาก่อนอย่างช่วยไม่ได้ จึงเกิดเป็นคณะเดินทางผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกลุ่มนี้ขึ้นมา 

 

 

ข่าวเหล่านี้ กลุ่มของมั่วชิงเฉินล้วนรู้กันหมด แต่ที่สุดแล้วสภาพดวงดาวเป็นอย่างไรนั้น พวกเขาไม่รู้จริงๆ 

 

 

หลังจากมั่วชิงเฉินเบิกตา มือข้างหนึ่งก็จับธนูเขียวซ่อนเร้น อีกข้างหนึ่งกลัดระเบิดสะท้านฟ้า แล้วจึงเริ่มสำรวจมองรอบๆ  

 

 

ป่าไม้มืดครึ้ม ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ จึงน่าจะเข้ามาในพื้นที่ที่เป็นธรรมชาติ 

 

 

ปราณวิญญาณเข้มข้นพุ่งเข้าใส่ตรงหน้า ห่อหุ้มนางไว้ตรงกลาง พลังสายนี้เบาบางกว่าตอนอยู่กลางอากาศขณะเข้าสู่แดนวิญญาณครั้งแรก แต่มีพลังเต็มเปี่ยมกว่าพลังชีพจรวิญญาณที่ดีที่สุดในสายบำเพ็ญเพียรเทียนหยวน ซึ่งพอดีกับระดับบำเพ็ญเพียรของนางในตอนนี้ จึงสามารถดูดซับได้อย่างเต็มที่โดยไม่เจ็บปวด 

 

 

ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ขณะดูดซับปราณวิญญาณระหว่างดินฟ้า แก่นทองหมุนขึ้นลงโดยไม่รู้ตัว พอมั่วชิงเฉินรู้สึกถึงแรงกระตุ้นอย่างหนึ่ง ก็ตัดสินใจนั่งขัดสมาธิ เข้าฌานบำเพ็ญเพียร 

 

 

ต้องรู้ว่าที่นี่นั้น เพียงนั่งอยู่อย่างเดียว ก็อิ่มเอมกว่าการออกไปวางค่ายกลดูดซับปราณวิญญาณเพียงผิวเผินที่ด้านนอก การกินโอสถรวมวิญญาณ หรือการกำหินวิญญาณขณะบำเพ็ญเพียรเป็นไหนๆ 

 

 

มั่วชิงเฉินรีบยับยั้งความหลงใหลเช่นนี้ไว้ แล้วทำให้จิตสัมผัสกลายเป็นเส้นเล็กๆ ออกไปสอดแนมเงียบๆ  

 

 

เคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา ทำให้เกิดความร้อนในระดับหนึ่ง การที่นางรวบรวมจิตสัมผัส แล้วทำให้กลายเป็นเส้นเส้นหนึ่ง ออกสำรวจโดยรอบ แม้ช้ากว่าการเปิดจิตสัมผัสทั้งหมด แต่อยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัย ถ้าไม่ได้พบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงกว่านางอีกขั้น ผู้ที่อยู่ระดับเดียวกันก็ยากจะพบว่านางกำลังใช้จิตสัมผัสในการสำรวจอยู่ 

 

 

ผ่านไปสักพัก มั่วชิงเฉินค่อยเก็บจิตสัมผัสคืนกลับ สีหน้าจึงจริงจังขึ้นมา 

 

 

ลำพังในรัศมีหนึ่งพันลี้ ก็มีปีศาจอสูรที่มีลมปราณแข็งกร้าวและเย่อหยิ่งแล้ว ดวงดาวเล็กๆ แห่งนี้ สมแล้วที่เป็นส่วนหนึ่งซึ่งแตกออกจากของโลกวิญาณ 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้ามาในที่นี้ได้มีทั้งสิ้นสามสิบคนด้วยกัน แต่ในรัศมีหนึ่งพันลี้กลับไม่มีแม้แต่เงาของพวกเขา มั่วชิงเฉินแม้ประหลาดใจ แต่กลับโล่งอกอยู่บ้าง การออกสำรวจเพียงลำพังเช่นนี้ สะดวกกว่ามาก โดยเฉพาะการที่ความลับของเพลิงแก้วใจกระจ่างรั่วไหลออก ถ้าเดินทางร่วมกับผู้บำเพ็ญเพียรชาย นางก็ต้องแบ่งสมาธิมาคอยระวังอยู่ตลอด 

 

 

แม้จะมีตัวช่วยในการเลื่อนระดับ แต่กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายหรือขั้นสมบูรณ์แล้ว สิ่งยั่วยวนใจที่เห็น ไม่ได้เล็กไปกว่าแดนวิญญาณเลย 

 

 

การอยู่ในที่แปลกถิ่น ทำให้ไม่กล้าผลีผลามเหาะเหินเดินอากาศ มั่วชิงเฉินเดินๆ หยุดๆ เมื่อพบเห็นพืชวิญญาณหายากก็เด็ด แล้วโยนลงในสวนสมุนไพรพกพาของตน ซึ่งก็เก็บได้ไม่น้อยเลยทีเดียว 

 

 

เดินทางเช่นนี้มาครึ่งค่อนวัน ก็พบกับภูผาสูงชันในป่าลึกจนได้ มั่วชิงเฉินแหงนหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงเมฆหมอกลอยปกคลุมถึงกลางภูผา ที่น่าแปลกก็คือ จากกลางภูผาลงมาเล็กน้อย มีดอกไม้วิญญาณคล้ายดอกเบญจมาศสีแดงดอกใหญ่ ขนาดเท่าโอ่งเก็บน้ำใบหนึ่งงอกออกมาในแนวขวาง ด้านบนมีหมอกสีแดงลอยอยู่ชั้นหนึ่ง สะดุดตาเป็นพิเศษ 

 

 

ตลอดทางมา มั่วชิงเฉินจัดการกับอสูรวิญญาณระดับล่างไปจำนวนหนึ่ง ทิวทัศน์ในป่าส่วนใหญ่ก็คล้ายๆ กัน พอเห็นดอกไม้สีแดงริมผาดอกนี้ ก็ชอบใจ บิดร่างเหาะไปกลางอากาศ 

 

 

แต่ยิ่งเข้าใกล้ดอกเบญจมาศแดงเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกถึงปราณวิญญาณชีพที่พลุ่งพล่าน มั่วชิงเฉินหยิบถุงมือไหมฟ้าที่ใช้เด็ดพืชวิญญาณที่ต้องทนุถนอมโดยเฉพาะขึ้นมาสวม แล้วค่อยๆ เข้าใกล้ดอกเบญจมาศแดง 

 

 

หลังจากใช้ทักษะเคล็ดวิชาวิญญาณเล็กน้อย ก็สามารถสร้างรัศมีพลังรอบดอกเบญจมาศแดงได้ ดีที่ตอนเด็ดไม่สูญเสียปราณวิญญาณ มั่วชิงเฉินยื่นมือไปยังรากแก้วของดอกเบญจมาศแดง และตอนนี้เองที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น หมอกสีแดงกลุ่มหนึ่งพลันพ่นออกจากดอกเบญจมาศแดง เข้าใส่มั่วชิงเฉินตรงๆ 

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ประมาท นางได้บอกให้สัตว์อสูรคอยคุ้มกันตนเอง ตอนเด็ดดอกเบญจมาศแดงแล้ว ตอนนี้เมื่อเปลี่ยนเป็นถูกดอกเบญจมาศแดงโจมตีฉับพลัน แม้ตกใจ แต่ก็ไม่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก เขย่งเท้าเล็กน้อย อาศัยแรงสะท้อนจากหน้าผา ถีบตัวเองให้ดีดออกอย่างรวดเร็ว แล้วบิดกายหลบหมอกสีแดงขณะร่างลอยอยู่กลางอากาศ ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นผ้าขาวบางห่อหุ้มร่างไว้อย่างแน่นหนา 

 

 

ดอกเบญจมาศแดงพลันสั่นอย่างแรง กลีบดอกที่มีมากกว่าพันกลีบหุบเข้าหากัน ก่อนดีดใส่มั่วชิงเฉิน 

 

 

มั่วชิงเฉินจับกริชฟันปลา แล้วออกแรงตัดกลีบดอกที่พุ่งเข้าใกล้ตนเองก่อน แต่กลับพบว่า กริชฟันปลาอันแหลมคมสุดจะเปรียบ ทำได้เพียงทิ้งรอยตื้นๆ สีขาวไว้บนกลีบดอกเท่านั้น 

 

 

และในระยะเวลาอันสั้น กลีบดอกเหล่านี้ก็พุ่งขึ้นฉับพลัน สอดประสานสลับฟันปลา จนกลายเป็นตาข่ายดอกไม้แดง คลุมตัวมั่วชิงเฉินไว้กลางตาข่าย 

 

 

ในตาข่ายดอกไม้ร้อนเป็นอย่างยิ่ง มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกเหมือนอยู่กลางทะเลเพลิง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แต่กลีบดอกในตาข่ายที่คล้ายลิ้นเล็กๆ สีแดงยังแกว่งไกวไม่หยุด บนกลีบยังมีหนามถี่ยิบงอกออกมาด้วย 

 

 

แล้วลิ้นแดงเหล่านั้นก็ไม่เกรงใจ โลมเลียมั่วชิงเฉินทันที 

 

 

ซึ่งถ้าถูกลูกเล่นเหล่านี้เลีย ก็เท่ากับถูกมีดพันหมื่นเล่มเฉือนเนื้ออย่างที่พูดกันจริงๆ 

 

 

มั่วชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อ ร่มไม้ไผ่สีเขียวคันหนึ่งบินขึ้น หมุนลอยอยู่บนศีรษะ ส่องแสงสีเขียว พลางปล่อยไอเย็นออกมา พัดคลื่นความร้อนออกไป 

 

 

ร่มไผ่เหมันต์กันความร้อนได้ แต่ไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีใส่ร่างเจ้าของ พอเห็นลิ้นแดงเป็นร้อยม้วนเข้ามา มั่วชิงเฉินก็ยกมือขึ้น ขว้างลูกหนามเหล็กเป็นร้อยใส่ 

 

 

ลูกหนามเหล็กเหล่านี้มีรูปร่างกลม คล้ายต้นกระบองเพชรทรงกลมที่มีหนามแหลมปกคลุมทั้งต้น พอขว้างออก นิ้วมือทั้งสิบของมั่วชิงเฉินก็ดีดติดต่อกัน เปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นกลุ่มๆ ตกลงบนลูกหนามเหล็ก 

 

 

พอลิ้นดอกไม้แดงสัมผัสถูกเปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่มีลูกหนามเหล็กฝังอยู่ ก็ร้องโหยหวน ก่อนถอยออกอย่างรวดเร็ว ตาข่ายดอกไม้ด้านนอกตกใจ จึงคลายตัวออก 

 

 

มั่วชิงเฉินรีบดีดตัวถอยหลัง พลางใช้สายตาเย็นชามองดูดอกเบญจมาศแดง 

 

 

กลับได้ยินเสียงหนึ่งดังมา “โอ๊ยยย…เจ็บจะตายอยู่แล้ว…” 

 

 

พอมั่วชิงเฉินเห็นดอกเบญจมาศแดงบานๆ หุบๆ ก็อดแปลกใจไม่ได้ “เจ้ากำลังพูดอยู่หรือ” 

 

 

“ไร้สาระ!” กลีบดอกเบญจมาศแดงขยับ ไม่รู้ทำไม มั่วชิงเฉินถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่ามันกำลังงอน 

 

 

“เจ้าเป็นสัตว์อสูรที่แปลงร่างได้ใช่ไหม” 

 

 

ในดินแดนธรรมชาติ สัตว์อสูรบางตัวมีความสามารถในการเลียนแบบพืช เพื่อความสะดวกในการหาอาหารหรือซ่อนตัว 

 

 

เสียงอ่อนแรงดังมาอีก “ข้าเป็นสัตว์อสูรที่ไหน หรือเจ้ามองไม่ออกว่า ข้าเป็นดอกเบญจมาศที่สวยงามมากดอกหนึ่ง” 

 

 

มั่วชิงเฉินทำหน้าไม่ถูก “ข้ามองออก” 

 

 

ดอกเบญจมาศแดงแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง แต่กลับหุบกลีบ ร้องไห้โฮขึ้นมา 

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกสนใจพืชวิญญาณที่พูดได้ยิ่ง จึงไม่สนใจเสียงร้องไห้ของมัน ถือกริชฟันปลาเดินเข้าหา 

 

 

“เจ้า เจ้าจะทำอะไรน่ะ” กลีบดอกเบญจมาศแดงหุบแน่นขึ้น แล้วเอนหลบไปด้านหลัง  

 

 

มั่วชิงเฉินควงกริชฟันปลาในมือ พลางพูดจริงจัง “ข้าตัดสินใจจะขุดเจ้าออก ไปปลูกในสวนสมุนไพรข้า” 

 

 

พูดจบนางก็ตั้งสติ รอดอกเบญจมาศแดงจู่โจม ใครจะรู้ว่าดอกเบญจมาศแดงกลับยิ่งเสียใจ ยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปอีก  

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก ไม่ส่งเสียง ขยับกริชฟันปลาอย่างรวดเร็ว ขุดหินหน้าผารอบดอกเบญจมาศแดงออกมาจนหมด ตอนนางสวมถุงมือไหมฟ้าจับก้านดอกเบญจมาศแดงนั้น ดอกเบญจมาศแดงก็ร้องไห้เสียงดังอย่างไม่บันยะบันยัง 

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าดอกไม้ดอกนี้แปลกจริงๆ ว่ากันตามเหตุผล ตอนนี้มันควรสู้ตายไม่ใช่หรือ แล้วมันร้องไห้เพื่ออะไรกันเล่า 

 

 

พอคิดเช่นนี้ ก็อดที่จะถามไม่ได้  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงร้องไห้จนสะอึกสะอื้น เมื่อได้ยินคำถามถึงได้เงียบลง แล้วตวาด “เมื่อครู่เจ้าซัดอาวุธลับอะไรออกมา ทิ่มแทงหน้าสวยๆ ของข้าจนเป็นรูพรุนไปหมดไม่ว่า ยังทำให้ข้าหนาวเหน็บแทบแย่ ถึงตอนนี้ก็ยังขยับไม่ได้!” 

 

 

เช่นนี้นี่เอง! 

 

 

พอได้ยินเช่นนี้ มั่วชิงเฉินที่เตรียมใจไปกว่าครึ่งว่าต้องป้องกันตัวตอนขุดมันขึ้นมา ก็ยิ่งฮึด ออกแรงขุดรากทั้งหมดของมันขึ้น แล้วโยนใส่สวนสมุนไพรพกพา 

 

 

เสียงร้องไห้สะเทือนฟ้าดินดังมา “เจ้าทิ้งข้าไว้ที่ไหนนี่ ข้าหายใจไม่ออก จะตายอยู่แล้ว!” 

 

 

มั่วชิงเฉินรีบหยิบดอกเบญจมาศแดงขึ้น เห็นมันดิ้นรนอย่างเหนื่อยอ่อน กลีบดอกเริ่มดำ แสดงว่าโกรธสุดๆ  

 

 

“เจ้าไม่ใช่พืชวิญญาณหรอกหรือ ทำไมอยู่ในสวนสมุนไพรไม่ได้เล่า” มั่วชิงเฉินแปลกใจ 

 

 

ดอกเบญจมาศแดงยิ่งโกรธทวีคูณ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร!” 

 

 

มั่วชิงเฉินมองดอกเบญจมาศแดงอย่างอึดอัดใจอยู่บ้าง พืชวิญญาณที่ประหลาดเช่นนี้ หรือจะปลูกมันกลับที่เดิมดีล่ะ 

 

 

ขณะลำบากใจ ความคิดบังเกิด จึงเก็บดอกเบญจมาศแดงลงถุงอสูรวิญญาณ  

 

 

ถ้าถุงอสูรวิญญาณยังใส่ไม่ได้อีก ก็ได้แต่ล้มเลิกแล้ว 

 

 

คิดไม่ถึงว่า พอดอกเบญจมาศแดงเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณ กลับไม่ร้องครวญคราง เพียงบ่นไม่หยุดว่า สิ่งแวดล้อมเลวร้าย 

 

 

มีชีวิตอยู่ได้ก็ดี 

 

 

มั่วชิงเฉินหยิบกระถางดอกไม้ที่น่าจะมีวิญญาณหมุนเวียนออกมา หยิบดินในสวนสมุนไพรใส่เข้าไป แล้วใส่หินวิญญาณระดับกลางไม่กี่ก้อนลง ย้ายดอกเบญจมาศแดงลง แล้วค่อยเก็บไว้ในถุงอสูรวิญญาณ 

 

 

อสูรวิญญาณสามชนิดในถุงที่ต่างมีพื้นที่ของตนพลันโผล่เข้ามา ล้อมรอบดอกเบญจมาศแดง 

 

 

ดอกเบญจมาศแดงตกใจ ร้องไห้ไม่หยุดอีก มั่วชิงเฉินได้ยินก็ปวดศีรษะ จึงกำชับพวกอีกาไฟว่าให้อยู่ห่างๆ มันหน่อย ดอกเบญจมาศแดงค่อยหยุดร้อง 

 

 

มั่วชิงเฉินเป่าปาก ก่อนเหาะขึ้นภูผาไป 

 

 

เหาะอยู่หลายวัน ถึงเห็นยอดภูผา มั่วชิงเฉินดีใจมาก จึงใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งป้องกันร่าง แล้วทะยานขึ้นไปในแนวตั้ง  

 

 

ทว่าทันทีที่ไปถึง ก็พบกับภาพการต่อสู้ฉากหนึ่งเข้า