โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.337 – พันธมิตรอิสระโน้มน้าวใจ

 

ใช่แล้วล่ะ เพราะในเครือข่ายนักสู้ในเวลานั้น เรื่องเกี่ยวกับปราการชาตงถูกทำลาย มันไม่ได้มีคำอธิบายที่ชัดเจนระบุเอาไว้

 

อาจเป็นเพราะความอยากรู้ ไม่ก็อยากพิสูจน์ว่าตนเองแข็งแกร่งแค่ไหน ฉินเฟิงในเวลานี้ เลยเกิดความตั้งใจที่จะตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้มันกระจ่าง

 

อาจมีอันตราย? โถ่! เขามีไป๋หลีอยู่ด้วย จะหนีเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ปัญหาข้อนี้ตัดไปเลย!

 

แม้สมองกำลังขบคิด แต่มือที่วูบไหวของฉินเฟิงก็มิได้หยุดลง

 

มีดกษัตริย์ครามกวัดแกว่งครั้งแล้วครั้งเล่า เริ่มโจมตีสังหารไปทุกสารทิศ

 

“มีดเปลวเพลิง!”

 

ใบมีดที่ลุกไหม้ยืดขยาย ยาวออกไปถึง 10 เมตร รอบกายฉินเฟิงในรัศมีดังกล่าว ถูกล้างบางจนหมดสิ้น

 

เขาเข่นฆ่าฝูงแมลง กวาดล้างแต่ละตำแหน่ง กระโจนไปที่ใด ที่นั่นเกลื่อนไปด้วยซากศพ

 

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างง่ายดาย ทุกที่ที่ก้าวเดิน ไม่เหลือเผ่าแมลงทิ้งไว้สักตัวเดียว

 

“เร็วเข้า รีบขึ้นมาแล้วปิดกั้นแนวรบ!”

 

“รอดตายไปที มีท่านผู้ใช้พลังเลเวล D อยู่ที่นี่ เร็วเข้า คนอื่นๆแยกกันไปช่วยอีกฝั่งเร็ว”

 

“ไปทางซ้าย! ทางซ้ายต้องการกำลังเสริม!”

 

สถานการณ์รบค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป

 

ตำแหน่งแนวรบเบื้องหน้าที่แต่เดิมใกล้แตกพ่าย พอได้รับการสนับสนุนจากฉินเฟิง ก็ได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว หลายคนเมื่อไม่ตึงมือ ก็มีเวลาไปช่วยเหลือผู้อื่น

 

เวลาค่อยๆผ่านพ้นไป แม้การปิดล้อมยิ่งนานก็ยิ่งกินพื้นที่กว้างใหญ่ขึ้น แต่แมลงสัตว์ร้ายก็ถูกสังหารลงไปเป็นจำนวนมาก

 

การต่อสู้ในครั้งนี้ กินเวลากว่า 8 ชั่วโมงเต็ม ผู้ที่ยังหลงเหลืออวัยวะครบทั้ง 32 พากันถอนหายใจเฮือกใหญ่

 

“ฟู่ว!”

 

มีดกษัตริย์ครามในมือฉินเฟิงถูกเก็บกลับคืน เขาล่าถอยกลับมา

 

ในเวลานี้ เลเวล D หลายคนต่างทิ้งตัวลงกับพื้น หมดแรงกันถ้วนหน้า

 

“มิสเตอร์ฉิน ขอบคุณสำหรับความยากลำบาก โปรดเชิญทางนี้ พวกเราได้เตรียมรถรับส่งเอาไว้สำหรับคุณโดยเฉพาะแล้ว”

 

“โอ้ ขอบคุณ”

 

“ไม่ ไม่ อย่าพูดแบบนั้นเลย มิสเตอร์ฉิน พวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณในครั้งนี้ คุณได้ช่วยชีวิตผู้ใช้พลัง และสังหารแมลงสัตว์ร้ายลงไปมากมาย แน่นอน มิสไป๋เองก็เช่นกัน”

 

ไป๋หลีส่งเสียงฮึฮะในลำคอ กล่าว “ก็แค่พวกฝูงหนอนเล็กจ้อย อ่อนแอเกินไปด้วยซ้ำ!”

 

ฉินเฟิงทำอะไรไม่ถูก สันมือใหญ่สับลงเหนือศีรษะของไป๋หลีเบาๆ “ชู่!”

 

ไป๋หลีเม้มริมฝีปาก ไม่คิดเอ่ยอะไรอีก

 

แต่ในตอนนั้นเอง เสียงๆหนึ่งได้หยุดฝีเท้าฉินเฟิง 

 

“น้องชายฉิน เอ่อ .. สนใจกลับด้วยกันไหม?”

 

คนที่เอ่ยปาก จริงๆแล้วคือเฉินเซี่ยง

 

“ได้สิครับ” ฉินเฟิงมองไปยังใบหน้าซีดเซียวของเฉินเซี่ยงก็อดยิ้มไม่ได้

 

เฉินเซี่ยงมองไปยังตราเลเวล D บนหน้าอกของฉินเฟิงและไป๋หลี แม้จะได้รับข่าวเมื่อวานแล้ว แต่พอได้มาเห็นกับตา ก็ยังอดทึ่งไม่ได้

 

“ดูพวกเราตอนนี้สิ สกปรกเกินจะทนไหว ไปบ่อน้ำพุร้อนกันเหอะ นั่นเป็นวิธีการรักษาที่เฉพาะผู้ใช้พลังเท่านั้นถึงจะเพลิดเพลินได้”

 

เนื่องจากปราการชาตงถูกสร้างขึ้นในแนวหน้าของทะเลทราย จึงขาดแคลนทรัพยากรน้ำเป็นอย่างมาก ขนาดน้ำธรรมดายังขาดแคลน ดังนั้นน้ำพุร้อนไม่ต้องกล่าวถึง สิทธิพิเศษนี้มีไว้เพื่อผู้ใช้พลังที่ทุ่มเทจริงๆเท่านั้น

 

“น่าสนใจดีนี่ ลองไปสนุกกับมันก็ไม่เลว” ฉินเฟิงกล่าว แม้ปากจะบอกว่าไปสนุก แต่ฉินเฟิงเห็นถึงท่าทีกังวลของเฉินเซี่ยง ก็เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายมีอะไรจะพูด

 

แต่ฉินเฟิงไม่ปฏิเสธ เขาขึ้นรถ แล้วเดินทางไปยังคลับน้ำพุร้อน

 

ในยุคโลกาวินาศ สำหรับผู้แข็งแกร่ง นี่ถือเป็นความเพลิดเพลินอย่างแท้จริง ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา เงินตราดั่งแผ่นกระดาษ การแช่น้ำพุร้อนที่แสนหายากคือสิ่งที่คนในย่านสลัม ไม่เคยได้พบเห็นอย่างแน่นอน

 

อ่างน้ำแยกกันคนละอ่าง ข้างๆทุกอ่างมีท่อคอยส่งน้ำพุร้อนเติมลงมา และยังมีระบบระบายน้ำให้สมดุล บรรเทาความเมื่อยล้าของร่างกาย

 

ใบหน้าของเฉินเซี่ยงกลายเป็นจริงจัง ปากไม่เอ่ยคำว่าน้องชายอีกต่อไป

 

“ฉินเฟิง นายมาที่ปราการชาตงได้สามวันแล้ว รู้สึกยังไงกับแนวหน้าบ้าง?” เฉินเซี่ยงยิงคำถาม

 

“ก็ … การต่อสู้ค่อนข้างเข้มข้น สถานการณ์นับว่าวิกฤต” ฉินเฟิงตอบ

 

เฉินเซี่ยงหัวเราะอย่างขมขื่นและกล่าว “รู้ไหม นายคือคนที่เก่งที่สุดที่ฉันเคยเจอมา ในบรรดาเลเวล D เมืองนี้ และนายดูผ่อนคลายที่สุดแล้ว!”

 

แม้ปากฉินเฟิงจะเอ่ยว่าอันตราย แต่เห็นได้ชัดว่าวิกฤตเหล่านั้น ในสายตาของเขา มันมิอาจย่างกรายเข้ามาถึงตนได้อย่างแท้จริง 

 

“ในชาตง มีเลเวล D มาคอยเติมและจากไปอยู่เรื่อยๆก็จริง แต่ถ้าให้พูดแบบคงที่ก็ประมาณ 100 คน ถ้าน้อยกว่านี้ แนวหน้าคงล่มสลายลง” เฉินเซี่ยงอธิบาย “ที่นี่มีสัตว์ร้ายให้สังหารไม่รู้จักจบสิ้น ภารกิจถูกปล่อยออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ใช้พลังเลเวล E กับ F ถูกดึงมาจากสี่เมืองทะเลเหนืออย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาไม่เคยได้กลับไป!”

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เกือบทั้งหมดต้องจบชีวิตลงในแนวหน้า

 

“หากยังคงสูญเสียแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วปราการชาตงจะถูกทำลาย ต่อไปพวกมันจะบุกเข้าสู่สี่เมืองทะเลเหนือ และปัจจุบัน … เกรงว่าปราการแห่งนี้จะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”

 

“นั่นเป็นเรื่องช่วยไม่ได้” ฉินเฟิงกล่าวอย่างไม่คิด

 

“ไม่หรอก จริงๆแล้วมันยังมีวิธีอยู่!” เฉินเซี่ยงเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน

 

คิ้วของฉินเฟิงเลิกสูงขึ้น เขารู้ว่าเฉินเซี่ยงชวนเขามาเพราะมีเป้าหมาย และมันกำลังจะเฉลยออกมาแล้ว

 

“ท่ามกลางทะเลทรายทะเลเหนือ หนอนทรายทองมีจำนวนมากที่สุด พวกมันสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ดูดซับพลังงานจากผืนดินอย่างต่อเนื่อง อาจกล่าวได้ว่า หนอนทรายทองคืออาชญากรของทะเลเหนือ เป็นผู้ร้ายที่เปลี่ยนผืนดินให้กลายเป็นผืนทราย” เฉินเซี่ยงรวบยอด

 

“ที่คุณต้องการจะสื่อก็คือ พวกเราต้องกำจัดเผ่าพันธุ์หนอนทรายทองใช่ไหม?”

 

ปริมาณของเผ่าพันธุ์หนอนทรายทอง มิใช่เหมือนกับเผ่ากิ้งก่าทราย ที่มีเพียง 400 -500 ตัว

 

แต่มันคือเผ่าแมลง ที่อย่างน้อยมีประชากรนับหมื่นตัว!

 

ฉินเฟิงยกอุปกรณ์สื่อสารขึ้น และเปิดข้อมูลของสัตว์ร้ายที่อยู่รอบๆปราการชาตง จำนวนหนอนทรายทองแสดงขึ้นทันที

 

หน้าผากของฉินเฟิงเริ่มยับย่น

 

“ประชากรของหนอนทรายทอง มีมากถึง 200,000 ตัว?”

 

นี่เป็นตัวเลขที่น่าสะพรึงกลัว!

 

ด้วยจำนวนดังกล่าว หากพวกมันบุกโจมตีพร้อมๆกัน ไม่ต้องพูดถึงปราการชาตง ต่อให้เป็นสี่เมืองทะเลเหนือ คงไม่พ้นจมลงใต้กองทัพของมัน!

 

แน่นอน แมลงสัตว์ร้ายเองก็มีอาณาเขตเป็นของตนเอง และพวกมันมักจะมีการโยกย้ายถิ่นฐานทีละขั้น เขยิบไปทีละนิด

 

แต่จากแผนที่ การที่หนอนทรายทอง ประชิดชาตงมากขนาดนี้ วิกฤตในชาตง บอกเลยว่าร้ายแรงมาก!

 

“ใช่ นั่นคือจุดที่พวกเรากำลังกังวลกันอยู่” เฉินเซี่ยงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

 

สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้คนรู้สึกว่า กิโยตินเหนือศีรษะจะดิ่งลงมาเมื่อไหร่ก็ได้

 

“นายเพิ่งเดินทางมายังชาตง อาจยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ หูเหลียงได้รับมอบหมายโดยพันธมิตรมนุษยชาติให้มาเป็นผู้ดูแลชาตง ถึงทุกครั้งจะต่อสู้กับเผ่าพันธุ์แมลงอย่างแข็งขัน แต่ก็ช่วยได้แค่เล็กน้อย!”

 

ฉินเฟิงมิได้เอ่ยคำใด เพราะเขายังคงมีความประทับใจที่ดีต่อหูเหลียง

 

“คนจากตระกูลใหญ่หรือกลุ่มใหญ่เอง ก็มักไม่ค่อยฟังคำพูดของหูเหลียง เขาไม่ได้มีอำนาจมากนัก”

 

ถ้าเป็นเรื่องนี้ ฉินเฟิงเห็นด้วย

 

“เพื่อรักษาสถานการณ์ในชาตง นั่นคือเหตุผลที่ผู้ใช้พลังมากมายมาที่นี่ และค่อยๆก่อสร้างพันธมิตรของตัวเองขึ้น เพื่อช่วยเหลือกันและกัน และพันธมิตรของฉันในที่นี้ ถูกเรียนว่าพันธมิตรอิสระ ผู้นำในปัจจุบันยังไม่แน่นอน แต่ที่เข้าเค้าที่สุด คือผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D8 —หยานฟาง!”

 

คิ้วของฉินเฟิงขมวดมุ่นทันใด

 

หยานฟางงั้นหรือ?

 

เจ้าหมอนี่ คือผู้มีชื่อเสียงในยุคต่อมา เป็นถึงผู้ใช้พลังเลเวล A

 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายของเขา มันไม่ใช่พันธมิตรมนุษยชาติ แต่เป็นองค์กรมืด!

 

ฉินเฟิงรีบกลับคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว ไม่เผยท่าทีให้เฉินเซี่ยงเห็นถึงความผิดปกติใดๆ

 

เฉินเซี่ยงอธิบายต่อ “นานมาแล้ว หยานฟางเคยกล่าวว่าเขาต้องการจัดกำลังคนออกไปสังหารแม่พันธุ์หนอน แต่ในเวลานั้น ทุกคนลังเลมาก เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเขาอ่อนแอเกินไป แต่เมื่อได้ดูวิดีโอจากแนวหน้าเมื่อวาน ฉันพบว่า มันยังไม่ไร้ซึ่งความหวังซะทีเดียว!”

 

กล่าวถึงจุดนี้ เฉินเซี่ยงหันมามองฉินเฟิง และกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ฉินเฟิง หลังจากนายดูดซับพลังงานจากแก่นอบิลิตี้จักรพรรดิสัตว์ร้าย ความแข็งแกร่งของนายไปถึงระดับราชันย์แล้วใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นนายจะสามารถต่อสู้กับราชินีกิ้งก่าทรายเพียงลำพังได้อย่างไร? ทั้งยังสังหารมันลงได้”

 

ฉินเฟิงแน่นอนไม่คิดบอกเฉินเซี่ยง ว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพ และพลังสมาธิของเขา ได้ไปถึงระดับจักรพรรดิแล้ว

 

“เมื่อวานผมไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง แต่ยังมีไป๋หลีคอยช่วยเหลืออยู่”

 

“อ่า ใช่ๆ แต่การต่อสู้ของนาย มันน่าทึ่งมากจริงๆ!”