ตอนที่ 58 - 4 ล้วนเป็นหายนะที่น้ำแกงไก่นำมาให้

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

ยามพระอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า จิ่งเหิงปัวที่ฟุบหลับตรงสันกำแพงถึงได้ยินประตูจิ้งถิงดังขึ้น เหล่าผู้อาวุโสเดินแถวยาวเหยียดออกมาแล้ว

จิ่งเหิงปัวชูมือขึ้นหวังจะร้องเรียกทักทายอย่างเบิกบาน ผลคือนอกจากมหาปราชญ์ฉังฟังยิ้มแย้มโค้งคำนับให้นางอยู่ห่างไกลแล้ว เหล่าผู้อาวุโสที่เหลือหดศีรษะเบนสายตาออกมา เดินไปคล้ายว่าไม่ได้มองเห็นนาง

ซังต้งกับเฟยหลัวคือสตรีสองนางในหมู่ขุนนางใหญ่ สองคนต่างปฏิบัติต่อจิ่งเหิงปัวอย่างไม่ไว้หน้า ทว่าบรรยากาศระหว่างสองคนคล้ายแปลกประหลาดอยู่บ้าง ไม่สนใจซึ่งกันและกัน เฟยหลัวมองจิ่งเหิงปัวจากไกลๆ ปราดเดียว หัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่งแล้วเดินจากไป ทว่าซังต้งยังคงยิ้มแย้มเช่นปกติ ยังพยักหน้าให้จิ่งเหิงปัวอยู่ไกลโพ้น เดินนวยนาดจากไปด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย

จิ่งเหิงปัวจ้องมองเงาด้านหลังของนาง หัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง

ในยามแรกใต้เท้าเซวียนหยวนกับใต้เท้าซังเดินทางไกลไปเมืองซีคังด้วยตนเอง ยอมลดเกียรติขายก๋วยเตี๋ยวเพื่อนางเชียวนะ

ด้วยกลัวว่านางจะไม่หลงกล เปิดร้านอาหารร้านเล็กยังเพียบพร้อมกว่าร้านของคนอื่น คาดว่าข้าวของคงเตรียมไว้ทำไว้เรียบร้อยตั้งนานแล้ว กลัวว่าอาหารไม่หลากหลายรูปแบบนางจะไม่ถูกใจ มีมันทุกอย่างเสียเลย

ตอนนี้นึกขึ้นมาแล้ว วันนั้นอันตรายรอบด้านจริงๆ ตอนนางเดินเข้าเพิง คนที่เพิ่งกินเสร็จเดินออกไปเหล่านั้นเงาด้านหลังเกร็งแน่น เหมือนเดินทอดน่องพึงพอใจแบบเพิ่งกินอาหารเสร็จตรงไหน เกรงว่าคงเป็นผูู้ตกหลุมพรางที่ตระกูลเซวียนหยวนกับตระกูลซังพามามั้ง

หากไม่ใช่เพราะกงอิ้นก่อกวนขัดขวาง ตอนนี้โครงกระดูกของนางจะกระจัดกระจายอยู่ที่ไหน

จิ่งเหิงปัวกัดฟันกรอด ในใจคิดว่าราษฎรต้าฮวงมีน้ำใจไมตรีซื่อสัตย์ แต่พวกขุนนางแต่ละคนไม่ได้เรื่องจริงๆ

กำลังคิดว่าจะชำระความแค้นครั้งหนึ่งนี้กลับอย่างไร ประตูจิ้งถิงเปิดออกอีกครั้ง เหยียลี่ว์ฉีเดินออกมาแล้ว

เขายิ้มแย้มจนหน้าตาท่าทางดั่งวสันต์ คล้ายว่าได้พบเรื่องดียิ่งใหญ่อะไรเข้า

เรื่องดียิ่งใหญ่ของเขาย่อมไม่ใช่เรื่องดีของกงอิ้น จิ่งเหิงปัวเกิดความสนใจ โบกมือให้เขา

เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มเบิกบานมากยิ่งขึ้น ก้าวเดินเข้ามารวดเร็ว

เบื้องหน้าหน้าต่าง มหาราชครูกงที่กำลังตระเตรียมไปสำรวจกำแพงดอกไม้ผืนใหม่ข้างห้องสักหน่อยหยุดฝีเท้าลงโดยพลัน

ไร้ซึ่งสีหน้าท่าทาง สายตาดุร้าย

เหยียลี่ว์ฉียืนอยู่เบื้องล่างกำแพงดอกไม้ เงยหน้ายิ้มพราว

“ข้างบนสบายอารมณ์หรือไม่”

“ก็ไม่เลว” จิ่งเหิงปัวมองไปรอบทิศเห็นองครักษ์ต่างอยู่ข้างกาย กล่าวอย่างผ่อนคลายลงว่า “ดูเจ้ายิ้มแย้มเริงร่าขนาดนี้ เจอเรื่องดีเรื่องใดเข้าหรือ”

“เรื่องดีๆ ย่อมมีอยู่แล้ว” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างสบายใจว่า “เช่น พอก้าวออกประตูมาก็มองเห็นองค์ราชินีผู้งดงามล้ำเลิศรอคอยข้าอยู่ตรงนี้ ต้องมีความสุขเป็นธรรมดา”

อาถุ้ย จิ่งเหิงปัวแบะปากในใจ มองเห็นนางตายอยู่บนบัลลังก์ เขาถึงจะค่อนข้างมีความสุขล่ะมั้ง

“เอ่ยขึ้นมาแล้ว ยังมิได้ขอบพระทัยพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทที่ทรงช่วยชีวิตไว้” เหยียลี่ว์ฉีเงยหน้ายิ้มแย้ม เสียงแผ่วลง

เขาส่งทหารกล้าตายไปจุดระเบิดย่อมต้องให้คนจับตาดูอยู่ห่างไกลเช่นกัน สายชนวนถูกจิ่งเหิงปัวนั่งทับดับในก้นเดียว หลังจากเกิดเรื่องราวเขาคงรู้แล้ว

“อะไรนะ” จิ่งเหิงปัวกลับฟังแล้วไม่ได้เข้าใจ ตนเองเคยช่วยเขาไว้ตอนไหน

เหยียลี่ว์ฉีเพียงยิ้มแย้มแลไม่อธิบาย จิ่งเหิงปัวกลอกนัยน์ตาครั้งหนึ่ง ในใจคิดว่ามีบุญคุณย่อมดีกว่าไม่มีบุญคุณแน่นอน จึงยอมรับไว้แล้วอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย โบกมือกล่าวว่า “เรื่องเล็กน้อย ขอเพียงเจ้าจดจำบุญคุณของข้าได้ก็พอ ภายหลังอย่าได้เป็นศัตรูกับข้าอีกเลย จริงสิ ในเมื่อข้าคือผู้มีพระคุณของเจ้า เจ้าควรจะตอบคำถามข้าสักข้อกระมัง วันนี้เจอเรื่องดีเรื่องใดหรือ”

เหยียลี่ว์ฉียังคงยิ้มแย้ม ได้ยินทว่ามิได้ใส่ใจหัวข้อสนทนาวาจาอ้อมค้อมของนาง พลันเอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “…ยังต้องขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเลือกสถานที่นี้เพื่อกระหม่อมโดยเฉพาะ ภายหลังต้องฝากฝังให้พระองค์ทรงดูแลแล้ว”

“หา หมายความว่าอะไร” จิ่งเหิงปัวเชิดคิ้วขึ้น กล่าวว่า “ข้าไม่ได้เลือกเพื่อ…”

เหยียลี่ว์ฉีหันกายอย่างสง่างามแล้ว โบกมือหัวเราะเหอะเหอะให้ทางจิ้งถิงนั้น ขยับชายผ้าเดินไป

“พิลึกคน” จิ่งเหิงปัวพึมพำ ชะโงกหัวชะเง้อหน้ามองหาข้างในจิ้งถิง กล่าวว่า “เอ๋ เขาไปกันหมดแล้ว กงอิ้นยังไม่ออกมาอีก ทำอะไรอยู่ในนั้นนะ”

ในห้องจิ้งถิง

กงอิ้นมองเหยียลี่ว์ฉีที่จากไปอย่างสง่างามอยู่เงียบเชียบ ไอเหน็บหนาวท่วมท้นเงาร่าง

เหมิงหู่ยืนอยู่ข้างหลังเขา สั่นเทิ้มไม่กล้าเอ่ยวาจา ในใจแอบกังขา

“นายท่าน เมื่อครู่ท่านเอ่ยว่าจะไปดูความแข็งแรงของกำแพงดอกไม้ทางนั้น…”

“ข้าพลันนึกได้ว่ายังมีสมุดพับไม่ได้ตรวจตรา” กงอิ้นมองทางนั้นปราดหนึ่ง หันกายเพียงครั้งนั่งลงไป เอ่ยว่า “มืดแล้ว จุดตะเกียง”

เติมน้ำมันตะเกียงจนปริ่มล้น คงวางแผนจะอ่านสมุดพับทั้งราตรี

กงอิ้นกลับมีท่าทางว้าวุ่นเล็กน้อย ประเดี๋ยวเปลี่ยนท่วงท่า ประเดี๋ยวเปลี่ยนทิศทาง

เหมิงหู่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยวาจา ในใจคิดว่าเจ้านายผู้พอนั่งลงไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวไปค่อนวันแต่ก่อนผู้นั้นหายไปที่ใดแล้ว

“ปล่อยผ้าม่านลงมา!” กงอิ้นที่ปรับท่วงท่านับมิถ้วนครั้งยังยากที่จะหลีกเลี่ยงหงุดหงิดได้กำชับ

ไม่ว่าจะนั่งที่ใด ดั่งคล้ายสรงน้ำกลางสายตานาง ดั่งคล้ายเห็นนางเรียกหาเหยียลี่ว์ฉีอย่างอ่อนโยนด้วยดวงพักตร์ยิ้มแย้มเริ่งร่า

ไม่อยากเห็น

ผ้าม่านสยายลงมาทึบหนา บดบังดับสูญแสงเงา เงาร่างของเขาสาดสะท้อนบนกำแพง ทอดยาวพลิ้วไสวดุจจิตใจที่ยากจะเอ่ยให้แจ่มแจ้ง

ขณะที่คนบางคนกำลังหงุดหงิดอยู่ในห้องหนังสือ จิ่งเหิงปัวปีนลงจากกำแพงโดยไม่สนใจทุกข์สุขของส่วนรวมตั้งนานแล้ว

นางมีนิสัยเปิดกว้างตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ชอบทำให้คนอื่นลำบากและไม่ทำให้ตนเองลำบากเช่นกัน รอไม่ไหวก็ไม่รอ จะไม่ทำตัวเหมือนผู้หญิงที่ลุ่มหลงยืนแกร่วจนมืดค่ำเศร้าสลดโศกศัลย์รันทดสุดท้ายไอเป็นเลือดหลายรอบแน่นอน

แต่ก่อนที่สถาบันวิจัยไท่สื่อหลันเคยประเมินจิ่งเหิงปัวว่าเป็นคนที่ไร้ยางอายไร้น้ำใจที่สุดคนหนึ่ง ดูคล้ายมีน้ำใจไมตรีกล้าแสดงออกและช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่เสียดาย แต่แท้จริงแล้วนางทำตามใจตัวเองและไม่เก็บเอามาใส่ใจ คนหรือสิ่งของที่สวยงามต่างชื่นชอบ ต่างจะมอบน้ำใจไมตรีให้ ถึงขนาดจะไปไล่ตาม แต่นั่นก็คือการไล่ตามสิ่งของที่ชื่นชอบแบบบริสุทธิ์เท่านั้น

พอได้รับบาดเจ็บแล้ว นางอาจจะคิดวิธีแก้แค้นทันที ไม่อยากแก้แค้นก็ออกห่าง คร้านจะเคียดแค้น

พอชื่นชอบแล้ว นางจะเข้าใกล้โดยสำนึก แต่หลังจากผู้อื่นถูกน้ำใจไมตรีของนางดึงดูดจริงๆ แล้ว นางอาจจะวิ่งไปเล่นกับสุนัขอีกทาง

มีแรงดึงดูดที่ร้อนแรงอย่างยิ่งแต่ไม่มีความรักความแค้นลึกล้ำเพียงพอ ดวงตาของนางทอประกายพร่างพราว ถูกความสว่างสดใสบนเส้นทางดึงดูดเสมอ

ไท่สื่อหลันเคยกล่าวว่าถ้าอยากให้จิ่งเหิงปัวลืมใครคนหนึ่งไม่ลงจริงๆ อยากจะครอบครองจิตใจทั้งหมดของจิ่งเหิงปัว ทางที่ดีสะบั้นนางอย่างรุนแรงก่อนสักครั้ง

จิ่งเหิงปัวที่ไม่ยอมลำบากเกินกว่าสามนาทีตลอดไป เวียนวนไปรอบยงเสวี่ยในห้องครัว สูดกลิ่นข้างหม้ออย่างตะกละตะกลาม ไอร้อนผะผ่าวหอมกรุ่นทั่วทิศ

“นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังมีฝีมือทําอาหารเก่งกาจขนาดนี้” จิ่งเหิงปัวเคลิบเคลิ้ม กล่าวว่า “อา น้ำแกงนี้หอมจัง”

ยงเสวี่ยตักน้ำแกงชามหนึ่งให้นาง จิ่งเหิงปัวกำลังจะซดน้ำแกง มองเห็นนอกประตูมีคนผู้หนึ่งเดินผ่านมา

“อ๊ะเหมิงหู่” นางยังไม่ไปศึกษาว่าทำไมเขาถึงเดินมาที่นี่กะหันทัน ร้องเรียกอย่างมีน้ำใจไมตรีว่า “มาๆ ที่นี่มีน้ำแกงอร่อยๆ ดื่มด้วยกันสักถ้วย”

“ฝ่าบาท” เหมิงหู่มองดูน้ำแกงของนางอย่างกลุ้มใจ ใบหน้าสนใจไม่เบาในไอร้อนของนางทำให้นึกถึงกงอิ้นที่เงาร่างโดดเดี่ยวตรวจสมุดพับยามนี้ยังมิได้ทานข้าวแลมิได้เดินออกมา พลันรู้สึกว่าโศกเศร้ามาจากข้างใน เอ่ยว่า “ขอบพระทัยในพระกรุณา ทว่าราชครูยังมิได้ทานอาหาร ข้าเองจึงมิควรทานก่อน…”

“อ๊ะ กงอิ้นยังไม่ได้กินข้าวหรือ เหตุใดไม่มากินข้าวด้วยกันกับข้า เพราะกลัวว่าข้าจะเอ่ยเรื่องเงินวางเดิมพันหรือ” จิ่งเหิงปัวชะเง้อหน้ามองดูอีกฝั่ง ลานบ้านข้างกำแพงมืดครึ้ม ผุดเผยความเย็นชา เห็นแล้วดูน่าสงสาร

“ข้านำน้ำแกงไปให้เขาก็พอแล้ว” นางให้ยงเสวี่ยจัดน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมใส่กระเพาะปลาให้นางหนึ่งโถกระเบื้อง หิ้วไว้ตระเตรียมไปแสดงความมีน้ำใจด้วยตนเอง

หากเอาเปรียบได้สักหน่อยคงจะดีมาก ดูจากท่าทางกงอิ้นตัดสินใจว่าลงโทษเขาเป็นเงินวางเดิมพันของเขา

เหมิงหู่คล้ายโล่งใจไปเฮือกหนึ่ง ผลิแย้มรอยยิ้มสายหนึ่ง รีบเร่งก้าวเดินไปล่วงหน้าก้าวหนึ่งแล้ว

ต้องกลับไปแจ้งข่าวดีนี้ให้เจ้านายทราบแล้ว

“นางจะนำน้ำแกงไก่มาให้ข้าหรือ” กงอิ้นนั่งหันหลังให้เหมิงหู่ไม่ขยับไม่เขยื้อน คล้ายว่าอ่านสมุดพับอย่างตั้งใจยิ่ง

“ขอรับ” เหมิงหู่ยิ้มแย้มปล่อยมือสองข้าง เอ่ยว่า “นางทรงตระเตรียมด้วยตนเองเชียว”

“นางไม่ได้ทำด้วยตนเองเสียหน่อย แน่นอนว่าอาหารที่นางทำด้วยตนเองนั้นกินไม่ได้” กงอิ้นเฉยชาเฉื่อยเนื่อยพลิกสมุดพับไปหน้าหนึ่ง ท่าทางหมางเมินเฉยเมย

“นับเป็นน้ำใจครั้งหนึ่ง” เหมิงหู่กลั้นรอยยิ้มมุมปากมิได้ เอ่ยว่า “ฝ่าบาททอดพระเนตรข้าเดินผ่าน ตรัสถามข้าโดยเฉพาะว่าท่านได้ทานข้าวแล้วหรือไม่ ได้ยินว่าท่านยังไม่ได้ทาน ทรงลุกขึ้นตักน้ำแกงให้ท่านโดยพลัน นางเองยังมิได้เสวยเลยขอรับ”

“ดียิ่งนักแล้วที่ไม่ได้กิน มิเช่นนั้นเกรงว่าจะมีน้ำลาย” เฉยชาเฉื่อยเนื่อยวาจาเราะร้ายพาให้คนโกรธเคือง ทว่าปรับท่านั่งแล้วเล็กน้อยอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ใบหน้าเอียงไปทางข้างห้องเล็กน้อย

ข้างห้องจุดตะเกียงสว่างไสวท่ามกลางความมืดมิด คล้ายโชยกลิ่นหอมเข้มข้นของน้ำแกงไก่มา แสงตะเกียงที่เปล่งประกายสาดส่องบนใบหน้าเขา แสงนัยน์ตาวูบไหวล้นปริ่ม ทรวดทรงอ่อนช้อย

เหมิงหู่กลับเริ่มร้อนใจขึ้นมาเสียแล้ว…ตนเองเพียงเดินมาก่อนก้าวหนึ่ง เหตุใดยามนี้ราชินียังไม่หิ้วน้ำแกงไก่มาอีก

จิ่งเหิงปัวหิ้วน้ำแกงไก่เดินไปข้างห้อง

หิ้วน้ำแกงไก่อยู่แน่นอนว่าไม่อาจปีนกำแพง นางพิจารณาความยาวของลานบ้านอยู่สักพัก รู้สึกว่าออกไปทางประตูหลักแล้วอ้อมเข้าประตูหลักของจิ้งถิงแล้วค่อยไปถึงห้องหนังสือของกงอิ้น ระยะทางเส้นโค้งนั้นไกลไปหน่อยจริงๆ

จากนั้นนางก็มองเห็นบนกำแพงที่เชื่อมต่อกันสองฝั่งในลานบ้านด้านหลัง มีประตูข้างสองบานใกล้กัน ประตูหนึ่งหันไปด้านนอกตรงกับทางหลักและสถานที่ทำงานด้านนอก ประตูหนึ่งหันเข้าด้านในตรงกับห้องหนังสือของกงอิ้นพอดี

นางต้องใช้ทางลัดอยู่แล้ว เดินไปทางประตูตรงข้ามห้องหนังสือของกงอิ้นประตูนั้น

เพิ่งจะเดินถึงข้างประตู ยังไม่ได้ผลักประตูที่หันเข้าด้านในบานนั้น ประตูที่ติดกับทางหลักบานนั้นเปิดออกโดยพลันแล้ว

สองมือพลันยื่นเข้ามาวางอยู่เบื้องหน้านาง มือข้างหนึ่งหิ้วน้ำแกงไก่ของนางไปอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวเป็นธรรมชาติยิ่งนัก

เสียงคุ้นเคยที่ยังได้ฟังเมื่อครู่เสียงหนึ่ง ยิ้มแย้มเอ่ยอย่างน่าชิงชังว่า “ว้าว พระราชทานสิ่งนี้ให้กระหม่อมหรือ หอมยิ่งนัก!”