ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 182 ภายในคืนเดียว เบื้องหน้าหมื่นคน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“วันถัดไป? เพราะว่าวันนั้นคือวันประกาศรายชื่อ? ข้าไม่คิดว่ามันสำคัญมากเท่าไหร่ ใครยังจะมาแย่งอันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งของเจ้าไปได้?” ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วหัวเราะ

ทันใดนั้น เขาก็เงียบลงมาเพราะคำคำหนึ่งในประโยคนั้น มองไปที่เฉินฉางเซิงแล้วกล่าว “นั่นสิ เจ้าได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งแล้ว…ข้ายอมรับ แรกเริ่มข้าไม่สามารถคิดว่าเจ้าจะทำได้ดี แม้กระทั่งตอนที่เจ้ากับโก่วหานสือเดินเข้าไปในหอชำระธุลีด้วยกัน ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่อยู่ดี นึกไม่ถึงเลยว่าในที่สุดเจ้าก็ทำได้”

เขายื่นมือขวาออกมา วางลงบนไหล่ของเฉินฉางเซิง ออกแรงเบาๆ กดลงไป กล่าว “เก่งมาก” หอตำราเงียบสงบอย่างยิ่ง เซวียนหยวนผ้อไม่ได้พูดอะไร ส่งสายตาไปยังเฉินฉางเซิง สื่อความนัยเป็นคำพูดทำนองเดียวกัน

“ขอบคุณเจ้ามาก”

เฉินฉางเซิงมองถังซานสือลิ่ว กล่าวอย่างตั้งใจ แล้วหันหน้าไปทางเซวียนหยวนผ้อ กล่าวอีกครั้งว่า “ขอบคุณทุกคนมาก”

คำว่าทุกคนในที่นี้รวมถึงเซวียนหยวนผ้อ รวมถึงจินอวี้ลวี่ และแน่นอนว่าขาดลั่วลั่วไปไม่ได้ หากไม่มีคนเหล่านี้ ไม่ว่าเขาจะบากบั่นขนาดไหน ทว่าจะสามารถทำเรื่องมหัศจรรย์ปานนี้ได้อย่างไรกัน?

……

……

เขาเดินออกจากหอตำรากลับไปยังเรือนเล็ก…ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อคาดว่าคงจะดื่มเหล้าหมักข้าวอยู่ เฉินฉางเซิงแช่น้ำในอ่างไม้ เพลิดเพลินไปกับไอน้ำกรุ่นร้อน พลางคิดถึงความคึกคักของฝั่งนู้น

หลังจากลั่วลั่วกับคนรับใช้ตระกูลนางย้ายออกจากสวนร้อยหญ้า ประตูไม้ที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ไม่ได้เปิดมานานมากแล้ว เขาย้ายอ่างไม้ที่ใช้อาบน้ำกลับมาที่เดิม

ไม่ว่าจะเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูหนาวที่หิมะตก การได้แช่น้ำอาบแสงจันทร์ อย่างไรก็ถือเป็นความสุขทางใจอย่างหนึ่ง อนึ่งก็ถือเป็นความเคยชินจากการใช้ชีวิตบริเวณน้ำพุร้อนนอกวัดเก่าแก่เมือง ซีหนิงของเขา

มือทั้งสองข้างของเฉินฉางเซิงวางอยู่บนขอบอ่าง สายตามองไปยังยอดของเรือนที่ทอดกายลงบนท้องฟ้าในค่ำคืน มองไปที่ระลอกคลื่นของดวงดาว เห็นดวงดาวสีแดงเล็กๆ ที่อยู่ไกลแสนไกล รู้สึกเงียบสงบและเป็นสุข

บนท้องฟ้าประดับด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน เขารู้ว่าหนึ่งในนั้นมีดาวดวงหนึ่งที่เงียบและสงบอย่างสมบูรณ์ที่เป็นของเขา ความรู้สึกเข้าถึงความเป็นของกันและกันเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกดีมาก

การเดินต่อไปยังข้างหน้าอย่างเงียบเชียบในวังวนของความท้อแท้ ไม่มีสหาย ไม่มีไม้เท้า มองไม่เห็นแสงอาทิตย์ แต่ไม่เคยหยุดก้าวเท้า ในที่สุดก็เดินออกจากหมอกหนาได้ การได้มองเห็นความหวัง ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม

ใต้แสงดาว ใบหน้าหนุ่มน้อยของเฉินฉางเซิง เจือรอยยิ้มที่สุดแสนจะจริงใจออกมาเล็กน้อย

ใต้แสงดาวเช่นกัน ฝั่งริมกำแพงของสำนักฝึกหลวง บนกิ่งไม้ ส่วนลึกของพระราชวัง มีตำหนักที่สงบวังเวงแห่งหนึ่ง ณ ที่ไกลพ้น ราวกับอยู่นอกจักรวาล นั่นคือหอหลิงเยียน

เมื่อมองไปยังหอหลิงเยียนอันไกลพ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินฉางเซิงค่อยๆ หายไป กลับไปสงบเงียบเช่นเดิม เขาพลางคิดในใจ จะได้เจอเจ้าในเร็วๆ นี้ หวังว่าการเจอกันครั้งนี้จะเป็นไปด้วยดี

เมื่อถึงตอนนั้น ความหมายของฤดูสารทที่หอชำระธุลีเบื้องหลังต้องมีความนัยอยู่เป็นแน่ การปะทะกำลังของนิกายหลวงทั้งใหม่และเก่า ความสัมพันธ์กับสำนักฝึกหลวง ใต้เท้ามุขนายกชราแท้จริงแล้วคิดอะไรอยู่ สำหรับเขาแล้ว นั่นกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญ เขาไม่กลับไปพิจารณาถึงเรื่องพวกนี้อีก ถึงขั้นไม่ไปคิดถึงเรื่องพวกนั้นอีกเลยก็ว่าได้

เรื่องเป็นตายเป็นเรื่องปกติ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นแค่เรื่องเล็กๆ

เช้าวันต่อมา เฉินฉางเซิงยังคงตื่นยามห้าตรงเวลาเหมือนเดิม ตามระเบียบการใช้ชีวิตทั้งการทำงานและพักผ่อน หลังตื่นนอนเขาไม่ได้สนใจถังซานสือลิ่วที่บ่นว่าปวดหัว ทั้งยังไม่สนใจเสียงกรนของเซวียนหยวนผ้อ เขาลากสองคนนี้ลงจากเตียงไปยังโต๊ะอาหาร ตักข้าวต้มและผักดองจากหม้อ วางลงไปในชามเบื้องหน้าทั้งสอง

หลังจากที่สนุกสนานไปกับการร่ำเมรัยเมื่อคืน ตอนนี้ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อจึงรู้สึกง่วงงุ่น ทว่าพอได้กลิ่นผักดอง และเห็นข้าวต้มสีทองอร่าม ความอยากอาหารก็กลับมา ก้มหน้าก้มตากินมูมมามสูดปากเสียงดังซูดๆ

ผ่านไปสักพัก จินอวี้ลวี่ก็เดินเข้ามา

เฉินฉางเซิง ทั้งสามคนตกใจเล็กน้อย เนื่องจากไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ เสนาธิการจินจะกินดื่มอย่างเพลิดเพลินข้างประตู นานๆ ทีจะโผล่เข้ามาร่วมมื้ออาหารกับสำนักฝึกหลวง

“อย่าเข้าใจผิดไป ข้าไม่สนใจอาหารที่เป็นเนื้อหรอก”

จินอวี้ลวี่หัวเราะพลางเอ่ยขึ้น เซวียนหยวนผ้อได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ เนื่องจากเป็นเผ่าปีศาจเหมือนกัน เขาเข้าใจคำพูดของเสนาธิการจินเป็นอย่างดี ทว่าเขากล้าโกรธแต่กลับไม่กล้าพูดกับเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงหยัดกายลุก ตักข้าวต้มชามหนึ่งแล้วเอาวางไว้ในมือของจินอวี้ลวี่ ถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

จินอวี้ลวี่ยื่นกระดาษปึกหนึ่งในกำมือให้กับเขา ยกชามข้าวต้มและทานอย่างเพลิดเพลิน กล่าว “ตั้งแต่เช้า ก็ไม่เคยหยุดเลย เจ้าดูเองว่าจะจัดการอย่างไร”

พูดเสร็จก็หันหลังและเดินไปยังประตูสำนัก

เฉินฉางเซิงรับสิ่งนั้นไว้ เปิดผ่านๆ อย่างมิได้ใส่ใจ เห็นเป็นตัวหนังสือและชื่อคน สีหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที บังเกิดทั้งความไม่เข้าใจทั้งความสับสน

ปึกหนาๆ ปึกนั้นเป็นเทียบรายชื่อและรายการของกำนัล…มีรายการของกำนัลที่เฉินหลิวอ๋องให้มา มีของกำนัลจากนักบวชชุดแดงของสำนักการศึกษากลาง แม้กระทั่งของกำนัลมูลค่ามหาศาลที่อาจารย์ซินส่งมาให้เป็นการส่วนตัว มีขุนนางชั้นสูงในวังส่งเทียบเชิญมาให้ ในนั้นมีเทียบเชิญอันหนึ่งเป็นของเซวียสิ่งชวน พอเฉินฉางเซิงเปิดไปจนถึงด้านล่างสุด ยังเห็นรายการของกำนัลที่มาจากโถงศักดิ์สิทธิ์อีกหลายแห่งที่นอกจากสำนักศึกษากลาง!

นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจอย่างยิ่ง หลังจากที่ถังซานสือลิ่วดูเทียบเชิญและรายการของกำนัลปึกนั้น ก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน ทั้งสามคนเดินไปถึงประตูสำนัก ตั้งใจจะถามไถ่จินอวี้ลวี่ กลับได้ยินเสียงอื้ออึงของช่างฝีมือจำนวนมากที่กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ในเวลาอันสั้นเพียงคืนเดียว ประตูสำนักที่ทำจากหินหยก เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว พวกเขาถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว

ถึงเฉินฉางเซิงได้อันดับหนึ่งของการสอบใหญ่ แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ ภายในคืนเดียว ท่าทีของจิงตูที่มีต่อสำนักฝึกหลวงก็แตกต่างกันจากกาลก่อนอย่างเห็นได้ชัด เกิดปัญหาอะไรบางอย่างขึ้นแน่นอน

คิดไม่ออก จึงไม่อยากไปขบคิด ทั้งสามคนไม่ได้ออกไปจากสำนักฝึกหลวง ยังคงเหมือนแต่ก่อน นั่งอ่านหนังสือและฝึกบำเพ็ญในหอตำรา พูดคุยสนทนาย้อนถึงรายละเอียดของการสอบใหญ่

…โดยเฉพาะรายละเอียดในตอนท้ายที่สู้กับโก่วหานสือ

ทะลวงอเวจีได้อย่างไร? เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ แต่ก็อยากเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อฟัง เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์บางประการสำหรับการทะลวงอเวจีของพวกเขาในอนาคต

นอกจากนี้แล้ว การใช้ชีวิตในวันนี้ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่เฉินฉางเซิงมองออกไปยังประตูสำนักหรือกำแพงอันเงียบสงบข้างสระน้ำเป็นครั้งคราว รอคอยว่าเจ๋อซิ่วจะปรากฏตัวออกมาเมื่อไร ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงา

ผ่านไปวันหนึ่ง ผ่านไปอีกคืนหนึ่ง ก็ถึงเวลาประกาศรายชื่อของการสอบใหญ่

การประกาศไม่ได้อยู่ในพระราชวังหลี แต่อยู่ที่ลานหน้าวังต้าหมิง วันนี้ท้องฟ้าสีฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก แสงตะวันสาดส่องอยู่ตลอดเวลา ขับไล่ความหนาวเย็นของต้นฤดูวสันต์ อุณหภูมิเหมือนดั่งความคึกคักของบริเวณลาน

ร้านค้ารายทางที่ขายเก้าอี้ที่นั่ง บริการเมล็ดแตงและน้ำชาอยู่บริเวณรอบนอก แน่นอนว่าเป็นคนที่งานยุ่งมากที่สุด ทหารและขุนนางรักษากฎระเบียบ ยังคงเป็นคนที่เหนื่อยมากที่สุด มีแต่ฝูงชนที่กินเมล็ดแตงไปด้วยและคุยกับทหารที่รู้จักกันดีสักประโยคสองประโยคไปด้วยเป็นครั้งคราวสุขสำราญที่สุด พวกเขาต่างพากันมาชมดูเรื่องต่างๆ โดยไม่ต้องแบกรับภาวะตึงเครียดอะไรทั้งสิ้น นั่นเป็นความสุขที่สุดแล้วอย่างแน่นอน

ฝูงชนมืดฟ้ามัวดินอยู่ข้างหน้าวังต้าหมิง ประชาชนจิงตูและนักท่องเที่ยวนอกเมืองนับพันนับหมื่นคนเบียดเสียดทั่วบริเวณ บนใบหน้าของพวกเขาต่างฉายแววความตื่นเต้นลุ้นระทึก

ขุนนางฝ่ายพิธีการคนหนึ่งที่ใส่ชุดแดงยืนบนขั้นบันไดหินทางเหนือของลาน ในมือถือผ้าไหมจารึกม้วนหนึ่ง อ่านชื่อสามขั้นของปีนี้เสียงดังกังวาน

ด้านหลังของเขา มีนักสู้เสื้อดำอยู่สิบหกคน มือถือแส้ยืนคุ้มกัน ทุกครั้งที่ขุนนางฝ่ายพิธีการประกาศชื่อหนึ่งคน นักสู้จะสะบัดแส้ฟาดใส่พื้นพร้อมกัน ให้เสียงแส้ดังลั่นไปทั่วลาน เพื่อกลบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชน รอจังหวะที่เงียบลงมานั้น สังคีตกวีหลวงที่อยู่บนบันไดหินหลังรั้วก็จะบรรเลงเพลงเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง

ขั้นตอนมีความเรียบง่ายถึงขั้นซ้ำซากจำเจไปบ้าง แต่เพราะว่าความสำคัญเป็นพิเศษของการสอบใหญ่รวมถึงบรรยากาศของลานทำให้มีความคึกคัก หลังจากประกาศชื่อหนึ่งคน ก็จะตามด้วยเสียงประทัด หลังเสียงประทัดเป็นเสียงเพลง และสุดท้ายเสียงที่ดังก้องที่ลานหน้าวังต้าหมิง ยังคงเป็นเสียงปีติยินดีที่ดังก้องราวกับฟ้าผ่า

ประกาศชื่อหนึ่งคน ก็จะมีเสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นฟ้า ผู้สอบที่รออยู่โถงรองด้านข้าง จัดเสื้อผ้า เตรียมพร้อมพิธีการ เตรียมรับคำชมยินดีจากฝูงชนและรางวัลจากราชสำนักต้าโจว

การสอบใหญ่คัดเลือกทั้งหมดสี่สิบสามคน บรรดาผู้สอบมายืนรวมกันอยู่หน้าโถงด้วยสีหน้าแตกต่าง ผู้สอบส่วนใหญ่รู้สึกดีใจเหลือล้น มีผู้สอบบางคนสีหน้าแน่วแน่ ว่าพึงจะต้องเป็นเช่นนั้น ผู้สอบบางคนสงบนิ่งเป็นปกติ บางคนรู้สึกตื่นเต้นไม่สบายใจ บางคนแสดงสีหน้าผิดหวัง ไม่พอใจลำดับที่ของตัวเอง

แม้ว่าซูม่ออวี๋จะตกรอบตั้งแต่รอบแรกๆ เพราะเจ๋อซิ่ว แต่คะแนนเรียงความของเขาถือว่าดีมาก ในที่สุดก็เฉียดเข้ารอบขั้นสามของการสอบใหญ่ และถูกจัดอยู่อันดับท้ายๆ ของขั้นสามอย่างโชคดี เขารู้สึกทอดถอนใจในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกแต่อย่างใด ยอมรับผลเหล่านี้อย่างเงียบสงบ ผู้สอบที่มีชื่อเสียงพอๆ กับเขา ส่วนใหญ่เข้ารอบขั้นสามกันหมด น้อยมากที่จะเกิดเรื่องไม่คาดคิด ยกเว้นเจ๋อซิ่วที่ไม่มีคะแนนเรียงความ จึงไม่เข้ารอบขั้นสาม คล้อยตามการตะโกนประกาศรายชื่อของขุนนางฝ่ายพิธีการชุดแดงคนนั้น ผู้คนได้ยินชื่อของสานุศิษย์ชายหญิงสามคนจากสำนักต้นไหว มีสามคนจากสำนักเด็ดดารา มีสองคนจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ สำนักเทียนเต้ามีหนึ่งคน หอจงซื่อมีสองคน ศิษย์ชายหญิงสามคนที่แข็งแกร่งของพรรคกระบี่หลีซานแน่นอนว่ารวมอยู่ในนี้ด้วย

ฝูงชนฟังไปด้วยนับไปด้วย สังเกตเห็นว่าปีนี้เหมือนปีก่อนๆ คนทางใต้ยังคงได้อันดับดีๆ เหมือนเดิม เสียงยินดีค่อยๆ กลายเป็นมีเพียงลมหายใจแบบสิ้นไร้เรี่ยวแรง ทว่ายิ่งคาดหวังกับการประกาศของขั้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้หรือไม่ หรือเป็นเพราะถังซานสือลิ่วได้รับการต้อนรับอย่างดีจากสตรีชาวจิงตู ตอนที่ขุนนางฝ่ายพิธีการประกาศชื่อเขาออกมา เสียงปีติยินดีหน้าวังต้าหมิงจึงดังขึ้นอย่างแจ่มชัดเป็นพิเศษ

ในที่สุดก็ถึงเวลาประกาศผู้ที่ได้เข้ารอบขั้นหนึ่ง แม้ว่าลำดับที่นี้ถูกจัดไว้ก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว ผู้คนยังคงเงยหัวคาดหวังอยู่ดี แสดงออกท่าทางตื่นเต้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อยๆ ดังขึ้นมาอีกครั้ง

อันดับสามจากขั้นหนึ่งของการสอบใหญ่ในปีนี้คือจงฮุ่ยผู้เป็นหนึ่งในสานุศิษย์ของสำนักต้นไหว จงฮุ่ยเป็นบุรุษชื่อเสียงโด่งดังมากความสามารถ เขาได้ที่เก้าของประกาศชิงอวิ๋น ทว่าโดยเหตุผลแล้ว การที่เขาจะขั้นหนึ่ง ถือว่าเป็นเรื่องยาก เพียงแต่การสอบใหญ่ครั้งนี้ คะแนนของลั่วลั่วไม่ถูกนับในอันดับ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยสละสิทธิ์ก่อนเวลา เหลียงปั้นหูแพ้ชีเจียนซึ่งศิษย์น้องชายคนเล็กของตัวเอง ชีเจียนกับกวนเฟยไป๋พ่ายแพ้ให้แก่เจ๋อซิ่ว จวงห้วนอวี่ปราชัยอย่างคาดไม่ถึง พอรวมกับคะแนนเรียงความแล้ว เขาเข้ารอบขั้นหนึ่งได้อย่างโชคดี

จงฮุ่ยเข้าใจเป็นอย่างยิ่งว่าการที่ตัวเองเข้ารอบขั้นหนึ่งนั้น หลักๆ แล้วเพราะดวงล้วนๆ ใบหน้าไม่มีสีสันใดๆ แต่ตอนที่ได้รับหรูอี้*ทองที่เป็นสัญลักษณ์ของอันดับสาม กลับไม่กล้าแสดงท่าทีที่ไม่รู้สึกหรือไม่สนใจอะไร เนื่องจากเมื่อได้เข้ารอบขั้นหนึ่งแล้ว คนที่มอบรางวัลไม่ใช่ขุนนางฝ่ายพิธีการ แต่เป็นผู้สำคัญที่แท้จริง…อวี้เหวินจิ้ง ประธานองคมนตรีแห่งต้าโจว

ต่อจากนั้น โก่วหานสือเดินออกมาจากข้างโถงมายังด้านหน้าโถง เขาซึ่งอายุยังไม่ถึงยี่สิบ ทั้งตัวใส่เสื้อผ้าธรรมดาเรียบๆ หน้าตาสงบ ประธานองคมนตรีผูกเข็มขัดหยกคาดเอวให้ เขาขอบคุณกลับอย่างมีมารยาท แล้วถอยกลับไปข้างๆ พอชาวจิงตูปรบมือและโห่ร้องยินดี เขาถึงยิ้มออกมา

เวลาต่อมา ด้านหน้าวังต้าหมิงเงียบสงัดผิดปกติ ได้ยินเพียงเสียงหายใจหอบของพวกนักสู้ แม้กระทั่งเสียงเสียดสีของเสื้อผ้าฝูงชน ได้ยินแล้วรู้สึกระคายหู

ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินขึ้นไปที่โถงตามขั้นบันไดหิน

สายตามากมายจับจ้องบนตัวเขา

*หรูอี้เป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคล