ตอนที่ 1467 ภูเขาเพลิงโลหิต

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“หาชนรุ่นหลัง?” แม้ว่าหานลี่จะคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ใบหน้าก็ยังมีสีหน้าตกตะลึง

 

 

“ไม่ผิด ผู้เฒ่ามีเรื่องจะพบเจ้า หรือว่าลืมคำพูดที่ถ่ายทอดเสียงกับข้าก่อนหน้าแล้ว!” ชายชุดโลหิตกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งราวกับโลหะ

 

 

“ชนรุ่นหลังย่อมไม่ลืมอยู่แล้ว อาวุโสมีเรื่องใดจะกำชับ!” แม้ว่าในใจหานลี่จะบ่นไม่หยุด แต่ตอนนี้จะกล่าวปฏิเสธไม่ได้

 

 

“แม้นางมู่ เจ้าได้ยินแล้วนะ นี่แสดงว่าหนูน้อยแซ่หานตกลงที่จะช่วยเอง เจ้าไม่อาจปฏิเสธอะไรได้แล้ว” ชายชุดโลหิตหัวเราะหึๆ คราหนึ่ง

 

 

“ข้าจะปฏิเสธอะไรได้ ทว่าสหายตี้เซวี่ยน่าจะทราบดี การให้สหายหานเชี่ยวชาญอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายคือเรื่องสำคัญที่สุด เจ้าบอกว่าสามเดือนนั้นไม่ได้แน่นอน ข้าให้เวลาจำกัดเจ้าได้แค่หนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อการใหญ่ของพวกเรา” มู่ชิงจิบชา แล้วพูดอย่างไม่กระโตกกระตาก

 

 

“หนึ่งเดือนทำธุระของข้าไม่เสร็จอยู่แล้ว หุ่นเชิดที่ข้าต้องการหลอมก็สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่สามารถล่าช้าได้เช่นกัน ถ้าไม่อย่างนั้น ส่งเขาให้ข้ายืมสักสองเดือน เช่นนี้ก็น่าจะพอถูๆ ไถๆ ได้แล้ว” ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยลังเลพักหนึ่งจึงค่อยกล่าวเช่นนี้

 

 

“หนึ่งเดือนครึ่ง! มากกว่านี้หนึ่งวันไม่ได้” มู่ชิงพูดน้ำเสียงเย็นชาภายในแสงสีดำ ท่าทางไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

 

 

“ดี หนึ่งเดือนครึ่งก็หนึ่งเดือนครึ่ง! ทว่าต้องยืมเขตอาคมส่งตัวของแม่นางมู่สักหน่อยแล้ว” ชายชุดโลหิตดวงตาเปล่งประกายหลายหน คิดไม่ถึงว่าจะตกลงจริงๆ

 

 

“ส่งตัวไม่มีปัญหา ข้าจะส่งพวกเจ้าไปถึงภูเขาเพลิงโลหิตโดยตรง ถึงเวลาข้าจะไปรับเขากลับด้วยตัวเอง” มู่ชิงน้ำเสียงอ่อนลง พลันพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้ง

 

 

“ฮ่าๆ เรื่องนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน หนูน้อยแซ่หาน ตามข้ามาแถอะ” ชายชุดโลหิตหัวเราะฮ่าๆ คราหนึ่งแล้วยืนขึ้น

 

 

 

 

ครึ่งวันต่อมา เบื้องหน้าภูเขาใหญ่ดำมืดลูกหนึ่งในชั้นห้าของเหวพสุธา พื้นผิวของอาคมส่งตัวบนแท่นหินลับหนึ่งเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ เงาร่างของคนสองคนพลันปรากฏออกมา

 

 

คือหานลี่กับชายชุดโลหิตนั่นเอง

 

 

หานลี่เพิ่งจะได้สติจากอาการวิงเวียนจากการส่งตัว พอมองเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็รู้สึกตกตะลึง

 

 

เห็นเพียงข้างๆ อาคมส่งตัว ปรากฏเป็นชายชุดโลหิตอีกคนหนึ่งยืนอยู่

 

 

คนผู้นี้มองหานลี่ทีหนึ่ง พลันส่งเสียงหัวเราะประหลาด “สหายหาน ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว นี่คือสี่มหาหุ่นเชิดโลหิตม่วงของข้า จำเป็นต้องใช้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของเจ้าช่วยเสริมอีกหน่อย มีเพียงเช่นนี้ ถึงจะสามารถใช้สอยพวกมันที่แม่น้ำอเวจีได้ดีมาก”

 

 

“หุ่นเชิดโลหิตม่วง!” หานลี่ได้ยินคำนี้ก็รู้สึกใจหายวาบ

 

 

“เหอะๆ ข้อมูลที่เป็นรูปธรรมไว้ถึงที่พักแล้ว ข้าจะพูดรายละเอียดให้เจ้าฟังอีกครั้ง” ดูเหมือนจะเป็นเพราะต้องการใช้งานหานลี่ ชายชุดโลหิตผู้หนึ่งจึงแสดงท่าทีสุภาพผิดปกติ

 

 

หานลี่ย่อมไม่มีความเห็นโต้แย้งใดๆ อยู่แล้ว จึงตามสองคนทยานขึ้นไปบนภูเขาใหญ่ดำมืด

 

 

ภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งสูงประมาณสี่ถึงห้าพันจั้ง ชายชุดโลหิตสองคนพาหานลี่ทยานมาถึงบริเวณไหล่เขา

 

 

ผลลัพธ์คือ ตรงหน้ามีหน้าผาภูเขาหนึ่งที่ดูไม่สะดุดตา สูงร้อยจั้งเศษปรากฏขึ้น

 

 

ชายชุดโลหิตคนหนึ่งเดินขึ้นไปสองสามก้าว พลันตั้งท่าร่ายคาถามือเดียว พลางกล่าวคำร่ายจากปาก แล้วสะบัดมืออีกข้างหนึ่งอย่างฉับพลัน

 

 

ฉากที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงตาค้างพลันปรากฏขึ้น

 

 

หน้าผาเกิดการสั่นสะเทือนพร้อมส่งเสียงโครมครามดังสนั่นหวั่นไหว ท่ามกลางแสงสีดำเปล่งประกาย ก็กลายเป็นหน้ามังกรที่สร้างจากหินขนาดมหึมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ด้านบนยังเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำและพงหญ้า

 

 

ดวงตาหินมหึมาสองดวงบนหน้ามังกรพลันกะพริบคราหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะลืมตาขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีแดงโลหิตคู่หนึ่ง

 

 

ครั้นแสงเย็นยะเยือกอันน่าสะพรึงกลัวสาดกระทบไปบนร่างของหานลี่และชายชุดโลหิตสองคน หัวมังกรก็อ้าปากกว้างอย่างช้าๆ เผยให้เห็นเส้นทางที่เปล่งแสงสีขาวสายหนึ่ง

 

 

“เข้าไปกันเถอะ!” ชายชุดโลหิตคนหนึ่งกล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ แล้วเดินเคียงบ่ากับอีกคนหนึ่งเข้าไปข้างใน

 

 

หานลี่พลันเก็บสีหน้าตกตะลึงบนใบหหน้า หรี่ตามองหัวมังกรอย่างละเอียดครู่หนึ่งจึงค่อยเดินเข้าไปข้างใน

 

 

เส้นทางข้างในกว้างใหญ่ผิดปกติ สูงสี่ถึงห้าร้อยจั้งได้เลยทีเดียว ผนังทั้งสี่ด้านต่างก็ก่อด้วยหินสีดำทรงสี่เหลี่ยม เว้นระยะห่างในแต่ละช่วง มีไข่มุกแสงราตรีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือฝังอยู่หนึ่งเม็ด ลึกเข้าไปถึงท้องเขาเบื้องล่าง

 

 

ชายชุดโลหิตสองคนยืนเคียงบ่าอยู่ข้างหน้า ตั้งแต่เข้ามาในเส้นทางก็ไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว

 

 

ทว่าหลังจากที่ผ่านเส้นทางและเข้าสู่ใต้ดินลึกลงไปร้อยจั้งเศษ บนพื้นที่กว้างโล่งเบื้องหน้าก็มีปากทางเข้าปรากฏขึ้นเจ็ดแปดทางเรียงกันเป็นแถว ล้วนมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ

 

 

สถานการณ์นี้ค่อนข้างเกินความคาดหมายของหานลี่

 

 

ทว่าชายชุดโลหิตสองคนไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย เดินเข้าไปในเส้นทางหนึ่งตามใจชอบ

 

 

ภูเขาใหญ่ทั้งลูกราวกับถูกเจาะเป็นรู ภายในท้องเขาเต็มไปด้วยเส้นทางตัดสลับกันทุกหนทุกแห่ง ราวกับอยู่ในเขาวงกต

 

 

อีกทั้งเส้นทางเหล่านี้ ยังมองเห็นหุ่นเชิดที่ในมือถือของแหลมคมมหึมาต่างๆ และรูปร่างลักษณะแตกต่างกันมาก กำลังเดินลาดตระเวนไปมาอยู่ในนั้น

 

 

หุ่นเชิดเหล่านี้บ้างก็มีแสงสีทองแวววาว ตลอดทั้งร่างหลอมจากโลหะ บ้างก็เป็นสีเทาสลัวๆ ก่อตัวมาจากดินและหิน และยังมีที่เคลื่อนไหวปราดเปรียว แต่กลับทำมากจากพฤกษาวิญญาณแกะสลักทั้งชิ้น

 

 

ไม่ว่าจะหุ่นเชิดชนิดไหน ล้วนแผ่แรงกดวิญญาณอันน่าสะพรึงออกมาอย่างชัดเจน แม้กระทั่งหุ่นเชิดที่มีรูปร่างลักษณะพิเศษไม่กี่ตัวนั้น ยังมีพลังประมาณระดับเทพแปลง

 

 

หลังจากที่หานลี่มองดูสองสามหน ก็ตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ด้วยความรู้รอบตัวของเขา ย่อมมองออกว่าในด้านศาสตร์ของหุ่นเชิด ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยนั้นลึกอย่างไม่อาจหยั่งประมาณได้ เหนือกว่าราชาเทพขับเคลื่อนอย่างแน่นอน

 

 

แน่นอนว่า นี่ไม่ได้หมายความว่าพรสวรรค์ในด้านหุ่นเชิดของตี้เซวี่ยจะเหนือกว่าราชาเทพขับเคลื่อนมากนัก เพียงแค่เขามีความรอบรู้ของผู้มีพลังยุทธ์ในระดับผสานอินทรีย์ บวกกับแดนวิญญาณมีทรัพยากรและวัตถุดิบที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น

 

 

แค่ปัจจัยที่สองคนนี้อยู่ก็ไม่สามารถเทียบกันได้เลย

 

 

หลังจากตามชายชุดโลหิตสองคนเลี้ยวขวาที เลี้ยวซ้ายที และเหาะทยานไปยังเบื้องหน้าเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป เบื้องหน้าของหานลี่ก็สว่างขึ้น ในที่สุดก็ออกมาจากเขาวงกตแล้ว ตรงหน้าปรากฏเป็นทะเลสาบสีแดงฉานแห่งหนึ่ง แผ่ไอความร้อนแผดเผาปะทะหน้า

 

 

คิดไม่ถึงว่าจะเป็นทะเลสาบหินภูเขาไฟใต้พิภพตามธรรมชาติ

 

 

บนพื้นผิวของทะเลสาบหินภูเขาไฟนี้ มีพระราชวังสีแดงโลหิตลอยอยู่หลังหนึ่ง

 

 

พระราชวังไม่นับว่าใหญ่เกินไป แต่ก็มีความกว้างถึงพันกว่าจั้ง

 

 

พระราชวังทั้งหลังแผ่กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวล ทว่าสิ่งก่อสร้างงามประณีตเลิศล้ำที่สุด หินผลึกสีแดงโลหิตขนาดหลายจั้งเม็ดหนึ่งฟังอยู่บนยอดสูงสุดของพระราชวัง เปล่งแสงโลหิตประหลาดเรืองรอง

 

 

หานลี่เห็นดังนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย!

 

 

หินผลึกที่ใหญ่โตเช่นนี้ แทบจะทำให้หานลี่นึกถึงผลึกประหลาดที่อยู่บนหอคอยผนึกวิญญาณในเมืองศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ ที่นั่นก็มีขนาดใหญ่มหึมาและดูลึกลับเช่นกัน

 

 

ดูแล้วบนนี้จะต้องมีอาคมต้องห้ามอะไรบางอย่างที่ร้ายกาจสุดๆ เป็นแน่

 

 

ชายชุดโลหิตพาหานลี่เหาะมาถึงริมทะเลสาบหินภูเขาไฟ คิดไม่ถึงว่าลำแสงหลีกหนีจะร่อนลงตรงนี้

 

 

จากนั้นหนึ่งในชายชุดโลหิต ในแขนเสื้อเกิดเสียงดังกรุ้งกริ๊ง ทันใดนั้นกระดิ่งสีเหลืองด้ามหนึ่งก็พวยพุ่งออกมา แล้วร่วงลงในมือของชายชุดโลหิต

 

 

เกิดแสงสีเหลืองสว่างวาบ กระดิ่งพลันส่งเสียงดังกระจ่างชัด!

 

 

เมื่อเสียงกระดิ่งเข้าไปในสองหู หานลี่รู้สึกเพียงจิตสัมผัสเริ่มเลือนร่าง ทั่วทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงในพริบตา

 

 

หานลี่ตกตะลึงอย่างหนัก รีบโคจรเคล็ดวิชาขับเคลื่อนภายในร่าง จิตสัมผัสจึงค่อยกลับมาชัดเจน

 

 

หานลี่รีบถอยหลังหนึ่งก้าว สองตามองไปที่ชายชุดโลหิตสองคนที่อยู่เบื้องหน้า

 

 

แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะลงมือกับเขาในที่แห่งนี้อย่างกะทันหัน แต่ความระแวดระวังภายในใจก็ไม่คลายลงแม้แต่น้อย

 

 

ผลลัพธ์คือ หนึ่งในชายชุดโลหิตหันกลับมาอย่างฉับพลัน มองหานลี่ด้วยสายตาเยือกเย็นทีหนึ่ง เห็นว่าเขายังคงประคองสติได้อยู่ ก็เผยท่าทีตกตะลึงในดวงตาออกมาปราดหนึ่ง

 

 

และในตอนนี้ ภายในทะเลสาบหินภูเขาไฟเบื้องหน้าพระ จู่ๆ  หินภูเขาไฟหลอมละลายสีแดงฉานก็เกิดการโหมซัดสาดอย่างรุนแรงขึ้นระลอกหนึ่ง เบื้องล่างก็มีอสูรมหึมาร่างยาวสิบจั้งตนหนึ่งปรากฏออกมา

 

 

ร่างของมันมีกระดอก คล้ายเต่ายักษ์ แต่ลำคอเรียวยาว มีศีรษะประหลาดสามหัวรูปร่างคล้ายกวางอูฐ ขณะเดียวกันบนหน้ามีเขาประหลาดสีแดงสดคล้ายปะการังงอกอยู่

 

 

อสูรตนนี้ดูเหมือนจะถูกเสียงกระดิ่งเรียกออกมา เมื่อลอยขึ้นสู่ผิวทะเลสาบ ก็รีบแหวกว่ายหินภูเขาไฟที่หลอมละลายพุ่งตรงมาหาพวกหานลี่อย่างรวดเร็ว

 

 

“นี่ก็คืออสูรเฝ้าประตูของข้า อสูรเต่าอเวจี อสูรตนนี้มีกายแห่งวิญญาณอัคคีมาตั้งแต่กำเนิด สามารถปล่อยเพลิงสามชนิดพร้อมกันได้ เมื่ออยู่ในพื้นที่ของวิญญาณอัคคีและหินภูเขาไฟแล้ว ทรงอานุภาพสุดๆ ขนาดตอนที่ข้าเก็บมันมาเลี้ยง ยังต้องเปลืองแรงไปมากโข แต่หากคิดจะเข้าไปในพระราชวังเพลิงโลหิตของข้า ก็ต้องผ่านอสูรตอนนี้ก่อน” ชายชุดโลหิตคนหนึ่งหัวเราะหึๆ แล้วพูดกับหานลี่

 

 

“อาวุโสอิทธิฤทธิ์กว้างใหญ่ ชนรุ่นหลังเลื่อมใสยิ่งนัก!”

 

 

หานลี่ได้ยินคำนี้ พลันตอบกลับอย่างฉับพลัน ครั้นเงยหน้ามองไปยังอากาศเหนือทะเลสาบหินภูเขาไฟ ดวงตาก็เปล่งแสงสีน้ำเงินวูบหนึ่ง พลันหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่

 

 

ภายใต้เนตรวิญญาณกระจ่างนั้น เห็นเพียงภายในอากาศเบื้องหน้ามีเส้นไหมประหลาดโปรงแสงจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่อย่างหนาแน่นและถี่ยิบ เมื่อผสมผสานเข้าด้วยกัน ก็ปกคลุมพื้นผิวของทะเลสาบไว้เบื้องล่างทั้งหมด

 

 

จุดบรรจบของเส้นไหมเหล่านี้มารวมกันที่บนหินผลึกมหึมาที่อยู่บนยอดของพระราชวังก้อนนั้น

 

 

หากมีคนที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง บุกทะลวงจากกลางอากาศเข้าไปในพื้นผิวทะเลาสาบ จุดจบจะเป็นเช่นไรก็พอจะนึกได้

 

 

หานลี่มุมปากกระตุกเกร็งคราหนึ่ง พลันสูดลมหายใจเย็นเข้าไปเฮือกหนึ่ง

 

 

ในตอนนี้ อสูรเต่าอเวจีว่ายอย่างคล่องแคล่วฉับไวมาถึงฝั่ง หัวทั้งสามก็ส่งเสียงร้องมาทางชายชุดโลหิตสองคนอย่างพร้อมเพรียง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเสียงประหลาดคล้ายกบร้อง

 

 

ชายชุดโลหิตคนหนึ่งเห็นดังนี้ก็โบกมือคราหนึ่ง ก้อนกลมสีดำทมึนขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งก็พวยพุ่งออกไปพร้อมสายลมเหม็นคาว

 

 

อสูรปีศาจเหวี่ยงศีรษะหัวหนึ่งออกไปคราหนึ่ง ทันใดนั้นก็พ่นม่านแสงสีแดงออกมา พันก้อนกลมสีดำไว้แล้วกลืนลงไป

 

 

หัวทั้งสามพลันส่งเสียงร้องออกมาอีกสองสามที ดูเหมือนอสูรตนนี้จะพออกพอใจเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นร่างของมันก็หันกลับทีหนึ่ง หางหนาๆ ของมันก็ปักลงบนชายฝั่ง

 

 

ชายชุดโลหิตสองคนเดินไปตามหางแล้วขึ้นมาบนหลังของอสูรอย่างไม่ร้อนรน พลันกลับหลังหัน ดวงตาสองคู่ก็จ้องมาทางหานลี่

 

 

หานลี่แอบถอนหายใจคราหนึ่ง พลันขยับร่างพลิ้วไหวก็มาอยู่บนหลังของอสูร

 

 

ชายชุดโลหิตคนหนึ่ง ส่งเสียงกระดิ่งดังกังวานอีกครั้ง อสูรเต่าอัคคีก็รีบบรรทุกสามคนว่ายไปยังพระราชวังเพลิงโลหิตที่อยู่ใจกลางทะเลสาบอย่างรวดเร็ว

 

 

แม้ว่าบ่อหินภูเขาไฟจะไม่ใหญ่มาก อสูรปีศาจก็บรรทุกทั้งสามคนมาถึงหน้าพระราชวัง

 

 

สามคนลอยขึ้นสู่อากาศอย่างฉับพลัน ทยานจากอากาศต่ำมาถึงหน้าประตูพระราชวัง

 

 

สองขาของหานลี่เพิ่งจะลงถึงพื้น ประตูวังก็ยังปิดสนิทอยู่เหมือนเดิม แต่ทันใดนั้นประตูก็ค่อยๆ เปิดออกจากข้างในอย่างช้าๆ ก่อนที่จะมีคนสองกลุ่มเดินออกมาจากข้างใน

 

 

คนกลุ่มหนึ่งตลอดทั้งร่างสวมเกราะและหมวกเหล็กสีแดง มือหนึ่งถึงถือขวานเพลิงด้ามหนึ่ง ทั่วทั้งร่างถูกหุ้มด้วยเปลวเพลิง อีกกลุ่มหนึ่งกลับเป็นหมอกสีเทา ภายในนั้นมีเงาสีดำแต่ละร่างปรากฏผลุบๆ โผล่ๆ ดูเหมือนมือสองข้างจะว่างเปล่า

 

 

หานลี่ใช้จิตสัมผัสกวาดมองเบื้องหน้ารอบหนึ่ง บนร่างของคนสองกลุ่มนี้มีกลิ่นอายของชีวิตอยู่ลางๆ แต่ก็ไม่เหมือนกับตัวตนที่คล้ายหุ่นเชิด

 

 

พอตัวตนแปลกประหลาดสองกลุ่มนี้เดินออกมา ก็ทำความเคารพชายชุดโลหิตทั้งสองในทันที

 

 

“เปิดตำหนักเพลิงทมิฬ ข้าจะต้อนรับสหายหานอย่างดีสักหน่อย!” ชายชุดโลหิตคนหนึ่งเดินขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว พลันกล่าวกำชับด้วยน้ำเสียงเย็น

 

 

เมื่อได้ยินคำนี้ คนสองกลุ่มก็รีบทำงานอย่างไม่ส่งเสียงในทันที คนส่วนใหญ่รีบกลับไปในประตูวัง อีกส่วนหนึ่งกลับยืนแยกเป็นสองแถวด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม

 

 

คนเหล่านี้ต่างก็ไม่พูดไม่จา คล้ายกับว่าไม่สามารถพูดได้

 

 

หานลี่เห็นเช่นนี้ ภายนอกไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไป แต่ภายในกลับรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริด!