ครุ่นคิดพักหนึ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นก็กล่าวเสียงเบา “ข้าทราบแล้ว” แล้วเงยหน้ามองตะวันอีกครั้ง “สายแล้วเจ้าค่ะ ฮองเฮาใกล้จะกลับมาแล้ว”
ไท่จื่อเห็นนางยังไม่ทิ้งความตั้งใจที่จะไปตำหนักเฟิงจ๋า ดูท่าทางนางไม่เป็นอันใด ในใจพลันตึงเครียด สะบัดแขนเสื้อไปมาไม่กล่าวคำใดอีก แล้วเดินลงบันไดไปเรียกขันที
ขันทีคนสนิทรีบขึ้นบันไดมาฟังรับสั่งจากไท่จื่อ “เจ้าพาขันทีสองสามคนและพระชายาฉินอ๋องไปส่งของขวัญที่ยังไม่ได้ถวายแด่พระมารดาที่ตำหนักเฟิงจ๋า” กำชับอย่างละเอียดสองสามคำ
ขันทีรับคำ “ขอรับไท่จื่อ”
อวิ๋นหว่านชิ่นคำนับ “ขอบพระทัยไท่จื่อ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว” พูดจบก็เดินตามขันทีไป
ไท่จื่อเห็นแผ่นหลังในอาภรณ์สีเขียวเดินเลี้ยวเข้ามุมไปจนลับตาแล้วก็ส่งเสียงเรียกคำหนึ่ง “มีคนหรือไม่”
บุรุษในอาภรณ์สบายๆ ลงมาจากระเบียงด้านหลังไท่จื่อ ร่างกายกำยำ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นองครักษ์ประจำพระองค์ของไท่จื่อ เขาประสานมือคำนับ รอฟังคำสั่ง “ไท่จื่อ”
“ตามพระชายาฉินอ๋องไปตำหนักเฟิงจ๋าอย่างเงียบๆ คอยตามคุ้มครองนาง ไม่ว่าอย่างไรอย่าให้นางได้รับอันตรายเด็ดขาด”
“ขอรับ” องครักษ์รับคำแล้วตามนางไปทันที
ไม่ไกลนัก คนรับใช้ของตงกงคนหนึ่งเห็นทั้งคู่แยกกันแล้ว เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นก็หันกลับแล้วเดินไปยังประตูด้านข้างทางตะวันออกเฉียงเหนือของตงกง
บ่าวรับใช้คนนั้นเปิดประตูด้านข้างดัง ‘กึกกัก’ นี่เป็นตรอกที่เห็นได้บ่อยภายในพระราชวังอย่างตรอกกำแพงแดง มีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ล่างกำแพงแดงนั่น
บ่าวรับใช้คนนั้นเดินย่องอย่างแผ่วเบา แล้วค้อมกายลง “องค์ชายสาม”
ซย่าโหวซื่อถิงนัยน์ตาไร้อารมณ์ และไม่กล่าวคำใด
คนใช้ลอบสังเกตสีหน้าพระองค์อย่างระมัดระวัง แม้จะรู้สึกถึงความเย็นชาอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงรายงานเรื่องราวน้อยใหญ่ระหว่างไท่จื่อและพระชายาฉินอ๋องให้ฟัง
รวมถึงเรื่องที่เดินเคียงกันอย่างแนบชิด ไท่จื่อหยุดฝีเท้าก้มหน้ากระซิบกระซาบข้างหูพระชายา ไท่จื่อจับข้อมือพระชายา พระชายาจับมือไท่จื่อ ทั้งคู่สบตากันอย่างรักใคร่ พระชายาหัวเราะอย่างสุขใจ
แม้ซือเหยาอันจะอยู่ห่างจากองค์ชายสามอยู่บ้าง แต่กลับได้ยินอย่างชัดเจน
เรื่องที่คนในวังซุบซิบกันไม่กี่วันก่อนว่าไท่จื่อเรียกพระชายาฉินอ๋องมาช่วยงานที่ตงกงที่เป็นข่าวเล่าข่าวลือ แม้องค์ชายสามจะหน้านิ่งคิ้วขมวดอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เอามาใส่ใจแม้แต่น้อย
ไม่กี่วันมานี้ข่าวลือที่มาถึงหูองค์ชายสามจากตงกง ก็ยิ่งรู้สึกไร้สาระเป็นที่สุด บอกว่าเวลาไท่จื่อเรียกพระชายามา จะหยอกล้อเย้าแหย่ที่ศาลาริมน้ำ แม้องค์ชายสามจะไม่กล่าวคำใด แต่ไม่กี่วันมานี้กลับเงียบขรึมไม่พูดไม่จาเหมือนระเบิดเดินได้อย่างไรอย่างนั้น คนรอบข้างต่างทำงานกันอย่างอกสั่นขวัญแขวน เกรงว่าจะไปจุดชนวนความโกรธของเจ้านายเข้า
งานเลี้ยงวันนี้องค์ชายสามเป็นผู้จัดงาน รอจนงานที่ตำหนักจินหวาเสร็จสิ้น เจี่ยงฮองเฮาเสด็จกลับ เขาก็อาศัยโอกาสนี้ไปยังตงกง วานให้จางเต๋อไห่หาบ่าวรับใช้ที่คุ้นเคยจากตงกงไปลอบสังเกตการณ์ นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่ได้ฟังจะทำให้ตกใจได้ถึงเพียงนี้
“เจ้าดูชัดแล้วแน่หรือ ตาฝาดไปหรือไม่! อย่าได้ซี้ซั้วพูด!” ซือเหยาอันอดไม่ไหวจึงก้าวขึ้นมาสองสามก้าว ชี้แจงเสียงเบา
ซือเหยาอันยิ้มขื่น “บ่าวเป็นคนของตงกง จะปั้นน้ำเป็นตัวมาทำลายเจ้านายของตนเพื่อการใด หากมิใช่เพราะสนิทกับจางกงกงของพระสนมเฮ่อเหลียนอยู่บ้าง ซ้ำยังได้เบี้ยมาจากองค์ชายสาม บ่าวก็คงจะไม่เอ่ยเรื่องนี้ออกมาหรอกขอรับ”
ซือเหยาอันมองเจ้านายทีหนึ่ง สีหน้ายามนี้ทำเขารู้สึกขนลุกน้อยๆ จึงรีบกล่าว “องค์ชายสาม เกรงว่าคงเข้าใจผิด วันนี้ในวังคึกคักนัก ได้ยินว่าพระชายาก็ไปช่วยงานอยู่ที่ตงกง ไท่จื่อคงจะสั่งงานกับพระชายา…”
ยิ่งพูดน้ำเสียงก็ยิ่งค่อยๆ อู้อี้จนแทบจะพูดต่อไม่ได้แล้ว ทั้งพูดทั้งยิ้มหัวเราะกัน กอดเอวกอดไหล่กันสั่งงาน ไท่จื่อนั่นยืนห่างๆ มาหน่อยคงไม่ตายกระมัง
“พระชายายามนี้อยู่ที่ใด” ซย่าโหวซื่อถิงท่าทางราวกับไม่ได้ยิน
คนของตงกงตะลึงกล่าว “ไท่จื่อรับสั่งให้กงกงสองสามคนของตำหนักนำของขวัญไปส่งที่ตำหนักเฟิงจ๋ากับพระชายา”
อวิ๋นหว่านชิ่นมือหอบตลับของขวัญลายดอกหลีในห่อไหมแดงตามหลังขันทีตงกงไปยังตำหนักเฟิงจ๋า
แม้ว่าจะกล่าวอย่างผ่อนคลายต่อหน้าไท่จื่อ แต่หากไม่มีความกังวลอยู่เลยนั้นก็เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อนี่คือสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในวังหลวง
อีกทั้งหากสกุลเจี่ยงเหลือดินปืนอยู่จริงๆ ตำหนักเฟิงจ๋ากว้างขวางเพียงนี้ จะซ่อนไว้ที่ใดกันล่ะ
อวิ่นหว่านชิ่นครุ่นคิดไปพลาง เดินตามขันทีข้างหน้าไปพลาง ไม่รู้ว่าเดินมาถึงไหนแล้ว ได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะดังมาจากกำแพงอีกฝั่ง ราวกับกระดิ่งเงินที่กังวานมาเป็นสาย จึงเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองตามสัญชาตญาณ
ขันทีด้านหน้าเห็นก็ยิ้มกล่าว “เราผ่านสวนหลวงมาแล้ว ฮองเฮาให้บรรดาคุณหนูที่มาร่วมงานเลี้ยงวันนี้มาดื่มชาชมดอกเหมยที่สวนหลวง”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่สนใจอะไรมาก เดินอ้อมกำแพงวังตามขันทีไป เดินตรงมาอีก พอมองไปสุดสายตาก็เห็นคุณหนูอยู่รวมกันจริงๆ พวกนางกำลังเดินชมดอกไม้กันอยู่ในสวน ทางเดินนั้นมีคุณหนูสองสามคนเดินสวนมาเพื่อจะออกจากสวนหลวง พอพ้นหัวโค้งก็จะถึงตำหนักเฟิงจ๋าแล้ว แต่กลับได้ยินเสียงอ่อนโยนของสตรีดังมาจากฝั่งตรงข้ามถามขึ้นเสียก่อน “เป็นอวิ๋น…พระชายาฉินอ๋อง”
น้ำเสียงนั้นช่างคุ้นหู
หานเซียงเซียงที่ไม่ได้พบมานานกำลังยืนอยู่ตรงหน้านาง สวมอาภรณ์สีเหลืองอ่อนปักลายดอกบัว บนศีรษะประดับด้วยปิ่นดอกอวี้หลานทำจากไข่มุกลวดลายอ่อนช้อย ดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือขาวราวกับหยก เดิมก็อ้อนแอ้นอรชรอยู่แล้ว คาดว่าเป็นเพราะล้มป่วยครานี้ก็ยิ่งผอมลงอีก เสื้อผ้าหลวมโครก ดูแล้วน่าสงสาร ข้างๆ ยังมีสาวรับใช้สองสามคนคอยพยุงไว้
ทั้งคู่เผชิญหน้ากันที่ทางเดินเล็กๆ ของสวนหลวง อยากจะหลบก็หลบไม่ได้
ขันทีตงกงสองสามคนรู้ว่าคุณหนูนางนี้เป็นเพื่อนเก่าของพระชายา คิดถึงความสันพันธ์ระหว่างนายตนกับพระชายาแล้ว หัวหน้าขันทีคนนำทางกล่าวอย่างโอนอ่อนว่า “พวกเราจะรอพระชายาอยู่ที่หน้าประตูตำหนักเฟิงจ๋านะขอรับ หากพระชายาพูดคุยเสร็จแล้วก็โปรดรีบตามมา” กล่าวจบก็เดินล่วงหน้าไปกับคนอื่นๆ
แต่อวิ๋นหว่านชิ่นไม่มีอะไรจะพูดคุยกับหานเซียงเซียงสักนิด ขันทีพวกนั้นก็ช่างรู้งานเกินไปเสียแล้ว เดินกันเสียเร็วจนนางรั้งไว้ไม่ทัน ทำได้เพียงยืนอยู่กับที่
หานเซียงเซียงเห็นว่าเป็นนางจริงๆ สีหน้าก็ปรากฏความดีใจออกมา แล้วเดินไปหาอย่างเร็ว “พระชายาฉินอ๋อง” เห็นอีกฝ่ายแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ออกบวช ใบหน้าน้อยก็ขมวดคิ้ว “ข้าอยู่นอกวังก็ได้ยินเรื่องที่พระชายาถูกลงโทษ ครั้งนี้ลำบากพระชายาเสียแล้ว แต่ระยะโทษมีจำกัด อีกไม่นานก็คงจะได้ออกมาแล้ว พระชายาอย่าได้กังวลไป อดทนสักหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้วเจ้าค่ะ”
หากไม่รู้เรื่องที่หานเซียงเซียงถูกฮองเฮาเลือกไว้ ยามนี้อวิ๋นหว่านชิ่นคงจะซาบซึ้งกับความหวังดีของนาง แต่พอได้พบนางในยามนี้ในใจกลับรู้สึกบอกไม่ถูก หานเซียงเซียงต้องรู้เรื่องที่เจี่ยงฮองเฮาจัดเตรียมงานแต่งไว้อยู่แล้วแน่ๆ แต่ยามนี้กลับไม่พูดออกมาแม้ครึ่งคำ ราวกับไม่รู้เรื่องอย่างไรอย่างนั้น
ในเมื่อหานเซียงเซียงไม่พูด อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่อยากจะกล่าวอะไรให้มากความ จึงตอบว่า “ขอบคุณคุณหนูหานที่ห่วงใย”
หานเซียงเซียงดวงตาเป็นประกายวาบ แต่ยังคงไม่จากไปไหน มุมปากยกยิ้มขึ้นกล่าวอย่างอ่อนโยน “คราก่อนพวกเราเจอกันยังเป็นตอนล่าสัตว์นู่นแหน่ะ ยามนั้นข้าเห็นฉินอ๋องใส่ใจรักใคร่พระชายามากนัก ทั้งยังมอบของล้ำค่าให้ท่านตอนงานเลี้ยงฉลองของป่าอีก ฉินอ๋องเป็นคนเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง แต่ทุกครั้งที่พบหน้าพระชายา นัยน์ตากลับเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับมองเห็นแค่พระชายา ยามนี้มาเห็นพระชายาพึ่งจะออกบวชไปไม่กี่เดือน หน้าตาสดใสขึ้นไม่น้อย ความรักที่ท่านมีให้กับพระชายาคงจะเป็นดั่งดวงตาล้ำค่ากระมัง”