ตอนที่ 288 หงส์ไฟน้อย (3)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

นางดูออกว่าเขาได้แบกรับความเป็นตระกูลทหารกล้าผู้ซื่อสัตย์ภักดีไว้ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ

คนเยี่ยงเขา แยกแยะรักและแค้นอย่างชัดเจน ไม่ยอมติดค้างบุญคุณใครง่ายๆ และเมื่อใดที่ได้รับ พระคุณจะหาทางตอบแทนอย่างแน่นอน ต่อให้อีกฝ่ายเป็นศัตรูคู่แค้น เขายังคงจะทดแทนบุญคุณก่อนแล้วค่อยฟันศีรษะอีกฝ่ายในดาบเดียว

ดังนั้น ครานั้นนางจึงเลือกหงส์ไฟตัวน้อยที่ถูกตีจนร่วงสู่แดนดินอย่างมิลังเลแม้แต่น้อย

นางปกป้องเขามานานปี ต่อให้เขาชังนางเท่าใดก็ไม่มีวันขายนาง ซ้ำยังจะช่วยเหลือนางอย่างแน่นอน

คำพูดของชิวเยี่ยไป๋ครั้งนี้ ตรงมาก ไม่มีการอ้อมค้อมแม้น้อยนิด

หลังเทียนฉีฟังแล้วสีหน้าแปรเปลี่ยนสุดหยั่งคะเน เขามีสีหน้าอึมครึมกล่าวว่า “เจ้ากำลังใช้แผนต่อข้า จะข่มขู่ข้าหรือ”

ไม่มีใครชอบที่จะถูกผู้อื่นมองจนทะลุปรุโปร่ง โดยเฉพาะอีกฝ่ายทำทีจะใช้สอยอย่างชัดเจน!

ความรู้สึกนี้ทำให้เทียนฉีไม่สบายใจอย่างยิ่ง ความรู้สึกขมขื่นอย่างหนึ่งทะลักเข้าใส่ราวคลื่นยักษ์จากแม่น้ำหรือทะเล

ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขา พลันหัวร่อ “เทียนฉี หรือเจ้ามิได้ใช้สอยข้า ตอนแรกที่คัดเลือกคน เจ้าเดิมทีก็ไม่ควรปรากฏตัวต่อหน้าข้ามิใช่หรือ”

ก่อนที่พวกขุนนางที่มีความผิดจะตกเป็นฝ่ายแพ้พ่าย ใช่ว่าจะไม่มีศัตรูทางการเมืองในราชสำนัก บุตรหลานของตระกูลที่พ่ายแพ้ตกอับในวงราชการ ถูกศัตรูทางการเมืองรังแกย่ำยีโดยเจตนา เหยียบย่ำจนตายไปก็ใช่ว่าจะไม่มี

ใครบ้างจะไม่รู้ว่าบุตรหลานของขุนนางที่มีความผิดถ้ามิใช่ถูกขับไปเป็นข้าทาสทางชายแดน การได้เข้าสู่หอไผ่เขียวถือว่ามีที่พักพิงดิบดีหนักหนาแล้ว

เจ้าของหอไผ่เขียวหรือจะเรียกเป็นเถ้าแก่ก็ได้ แต่ไรมาขึ้นชื่อในความใจกว้างและกรุ้มกริ่ม ปฏิบัติต่อบรรดาคุณชายที่เป็นลูกน้องเป็นอย่างดี และเมื่อได้เข้าหอไผ่เขียวแล้วก็มีอิสระจะเลือกลูกค้า มิใช่ใครจะมาย่ำยีก็ได้

ฟังวาจาแล้วพริบตานั้นเทียนฉีหน้าซีดเผือด จ้องชิวเยี่ยไป๋เขม็ง

นาง…ถึงกับรู้ด้วย

“เจ้า…”

“ข้ารู้ว่าวันนั้นเจ้าเจตนายั่วโทสะผู้คุมคนนั้นก็เพื่อดึงความสนใจของข้า และก็รู้ด้วยว่าที่เจ้าเข้าหอไผ่เขียวมิใช่เพียงเพื่อหลบหลีกการลงมือของศัตรูบิดาเจ้าเท่านั้น แต่เป็นเพราะเจ้าหวังว่าจะมีสักวันหนึ่งที่สามารถล้างมลทินให้กับตระกูลเจี่ยง เจ้าไม่เคยละทิ้งเป้าหมายนี้เลย ไม่เช่นนั้นบรรดาเทียบอักษรที่เจ้าคัดลอก จะไม่มีตำราพิชัยสงครามมากมายขนาดนั้นแน่” ชิวเยี่ยไป๋แลดูเทียนฉีที่สีหน้าขาวเผือดลงทุกทีและ พูดต่ออย่างช้าๆ

ถ้าแม้แต่ลูกน้องตนเองคิดอะไรนางไม่รู้เลย ก็เสียทีที่คลุกคลีในยุทธจักรมานานปีแล้ว

เทียนฉีหลุบตาลง กล่าวอย่างหยามหยันว่า “คณิกาไร้น้ำใจ คนเล่นงิ้วไร้คุณธรรม คุณชายน้อยตระกูลเจี่ยงตายไปนานแล้ว ทางที่ดีเจ้าอย่าเชื่อข้ามากเกินไป”

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้ม แววตามั่นคง “ไม่ เทียนฉี เจ้าเป็นทหารคนหนึ่ง ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะกลับไปในที่ที่เป็นของเจ้าเอง”

เทียนฉีพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาคล้ายมีประกายร้อนแรงจุดหนึ่งราวกับสะเก็ดไฟในกองเถ้า

ราตรีดึกมากแล้ว ลมเย็นโชยแผ่ว

ชิวเยี่ยไป๋ออกจากหอหมากรุกของเทียนฉีก็ยามสามแล้ว ที่ชั้นล่างเงาร่างอ้อนแอ้นสายหนึ่งกำลังยืนรับลมอย่างสงบ พอเห็นนางลงมาก็ย่อตัวคารวะอย่างนอบน้อม “คุณชายสี่”

ชิวเยี่ยไป๋ก้าวไปประคองนาง กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “อาหลี่ ลำบากเจ้าแล้ว”

หลี่หมัวมัวสั่นศีรษะมองดูหอหมากรุก ขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างไม่เข้าใจ “คุณชายสี่ ท่านแน่ใจหรือที่เลือกคุณชายเทียนฉี ทำไมจึงมิใช่คุณชายเทียนซูหรือคุณชายอีกสองท่าน”

ชิวเยี่ยไป๋เงียบงันครู่หนึ่ง มองดูจันทร์เสี้ยวที่ขอบฟ้า “ข้ายังคงเชื่อถือเทียนซู ใจคนเหมือนหมอก เช้าค่ำยากจะหยั่งคะเน สถานการณ์ไม่มั่นคง ย่อมต้องรอบคอบหน่อยเป็นธรรมดา”

คนดูแลและคนงานจิปาถะในหอกว่าครึ่งล้วนเป็นคนของหอซ่อนกระบี่ ย่อมไม่มีทางขายนางเป็นธรรมดา บรรดาคุณชายน้อยอื่นๆ ในหอฐานะไม่สูง อย่างมากก็รู้เพียงว่าหมัวมัวที่ดูแลหอชอบให้พวกเขาสืบโน่นนี่ แต่อยู่ในอาชีพนี้มีหรือที่จะไม่สอดรู้สอดเห็นต่อแขก

พวกคุณชายน้อยไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของนาง ชาติกำเนิดที่อ่อนไหวเกินไปของพวกเขาลิขิตไว้แล้วว่าพวกเขาล้วนไม่มีทางเป็นคนสังกัดสำนักหอซ่อนกระบี่ และนางก็ใช่ว่าจะให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้

ถึงอย่างไรที่นางเป็นเรื่องครานี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าพวกเขามีใครสักคนมีจิตใจเป็นอื่นสักเล็กน้อย…

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะมิใช่เรื่องของนางคนเดียวแล้ว และหอไผ่เขียวทั้งหอจะตกอยู่ในอันตราย

“คุณชายอีกสองคนยังพอว่า แต่ถ้าวันข้างหน้าคุณชายเทียนซูรู้ว่าคุณชายสี่…มอบหอไผ่เขียวให้คนอื่นที่มิใช่เขา บ่าวกลัวว่าเขาจะเสียใจ” หลี่หมัวมัวถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง

คุณชายเทียนซูนุ่มนวลละเอียด มีไมตรีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกันต่อคุณชายสี่

“เทียนซูเป็นคนฉลาดหลักแหลม ข้าก็รู้ดีว่าที่เขาออกไปวิ่งเต้นก็เพื่อข้าและหอไผ่เขียว แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเขากับข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถ้ามีข่าวรั่วออกไปจริง เขาจะเป็นคนที่ถูกสะกดรอยจับจ้องเป็นคนแรก เทียนฉีไม่เหมือนกัน ใครๆ ก็รู้ว่าเขาแค้นและชังข้าเป็นที่สุด” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ บอกเล่าความคิดอีกชั้นหนึ่ง

คนสงสัยไม่ใช้ ใช้คนไม่สงสัย แต่หนทางวันข้างหน้าของนางยากลำบากขึ้นทุกที ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องเลือกหลักประกันที่ดีที่สุด

หลี่หมัวมัวผงกศีรษะ “บ่าวเข้าใจแล้ว คุณชายสี่ท่านโปรดทำในสิ่งที่ท่านอยากทำเถิด บ่าวจะพยายามสุดความสามารถร่วมมือกับทุกคนในการปกป้องกันหอไผ่เขียวไว้”

ชิวเยี่ยไป๋ตบไหล่นาง ถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง “อาหลี่ ลำบากเจ้าแล้ว”

หลี่หมัวมัวมองชิวเยี่ยไป๋แล้วยิ้มให้กล่าวเสียงใสว่า “คุณชายสี่ท่านจะพักสักคืนก่อนไหมเจ้าคะ”

ชิวเยี่ยไป๋หรี่ตาเล็กน้อยชำเลืองฟากฟ้าราตรีที่มืดมิด “ไม่ ข้าคิดจะไปเยี่ยมคนบางคน”

พระราชวัง

ตำหนักกวงหมิง

แม้จะดึกแล้วแต่ยังคงมีคนมิได้เข้านอน นั่งตกแต่งกิ่งดอกไม้ข้างเทียนไขเงียบๆ

“วานนี้เจ้าปะทะกับคนตำหนักเทพหรือ” อีไป๋พอเข้าประตูปีกตำหนักก็เห็นซวงไป๋กำลังตัดแต่งกิ่งใบดอกไม้บนโต๊ะด้วยท่านั่งคุกเข่าตามมาตรฐาน จึงอดเลิกคิ้วมิได้

“ดึกดื่นค่อนคืน เจ้ายังนั่งแต่งกิ่งใบตรงนี้หรือ”

แม้การเคลื่อนไหวของซวงไป๋จะดูงามสง่า แต่สภาพเช่นนี้ถ้าเป็นคนทั่วไปเห็นเข้า กลางดึกมีเงาร่างสีขาวสีหน้าอึมครึมถือกรรไกรตัดโน่นนี่ฉับฉับคงตกใจกลัวแน่

ซวงไป๋ไม่หันมามองด้วยซ้ำ เอื้อมมือตัดใบที่งอกเกินงามของดอกซ่อนกลิ่นทิ้งไป กล่าวช้าๆ ว่า “อีไป๋ เจ้าอยากถามคำถามอะไร คิดให้ดีก่อนค่อยถามข้า”

ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาของอีไป๋ฉายแววจนใจแวบหนึ่ง “ข้อแรก ตอนแรกฝ่าบาทบอกไว้แล้วมิใช่หรือ ทางที่ดีที่สุดพวกเราอย่าลงมือกับคนของเจินเหยียนกง จะได้ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น”

ซวงไป๋ตัดแต่งกิ่งใบพลางกล่าวอย่างมินำพา “มิใช่ข้าลงมือกับนาง เป็นนางลงมือต่อข้าต่างหาก อย่าว่าแต่นางไม่มีโอกาสแหวกหญ้าให้งูตื่นหรอก”

พริบตานี้อีไป๋เหลือกตาใส่อย่างอดมิได้ “เหลวไหล เจ้าจับตัวมาตรงๆ โยนเข้าคุกใหญ่ของเจ้า นางย่อมไม่มีโอกาสแหวกหญ้าให้งูตื่นเป็นธรรมดา แต่คนของตำหนักเทพหายไป แถมยังเป็นเฟิงหนูที่พระพันปีโปรดปรานที่สุด เจ้าว่างูจะตื่นไหม!”

ดูเหมือนซวงไป๋จะมินำพาแม้แต่น้อย เสียบมะลิม่วงดอกหนึ่งเข้าแจกัน “ราชครูไม่สนใจ ต่อให้พระพันปีสงสัยอย่างไร สืบสวนแค่ไหน แล้วจะสืบได้อะไร”