ภาคที่ 4 ตอนที่ 122 การลอบสังหารที่ป่าวประกาศก่อนล่วงหน้า

มรรคาสู่สวรรค์

การลอบสังหารราชานั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง ลูกน้องสังหารราชาแล้วสถาปนาเจ้านายของตนเองขึ้นครองบัลลังก์ก็พบเห็นได้ไม่น้อยเช่นกัน

หลายคนปากไม่ตรงกับใจ พร่ำบอกตนไม่อยากเป็นฮ่องเต้ แต่ในใจนั้นยินดีเป็นยิ่งนัก แต่ก็มีบางคนที่เป็นฮ่องเต้เพราะจนปัญญาจริงๆ

มหาบัณฑิตจางไม่ทราบเรื่องแผนการลอบสังหารครั้งนี้จริงๆ ฮ่องเต้เองก็ย่อมไม่ทราบเช่นกัน แต่หลายคนทราบเรื่องนี้ล่วงหน้า

องครักษ์ภายในวังล้วนแต่เป็นคนของมหาบัณฑิตจาง ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้รับคำสั่งมาโดยตรง แต่ก็รู้ว่ามือสังหารที่ซ่อนตัวอยู่ในรถส่งน้ำนั้นมาจากที่ใด พวกเขาย่อมต้องไม่ปริปากพูดอะไรออกไป ขันทีที่แอบได้ยินอะไรมาต่างนอนขดตัวสั่นอยู่ในผ้าห่ม ไม่กล้าโผล่หน้าออกไปมองด้านนอกหน้าต่าง ทั่วทั้งวังหลวงตกอยู่ในความเงียบที่แปลกประหลาด

มหาบัณฑิตจางลุกขึ้นจากเตียงล้างหน้าล้างตา จากนั้นสวมชุดขุนนางโดยมีผู้เป็นภรรยาคอยให้ความช่วยเหลือ จากนั้นเตรียมจะไปเข้าร่วมการว่าราชการช่วงเช้า แต่เขากลับพบว่าในบรรดาลูกชายที่มายืนส่งตนเองนั้นขาดลูกชายไปคนนึง

“พี่ใหญ่ของพวกเจ้าล่ะ?” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางถาม

บุตรชายตระกูลจางสองสามคนสบตากัน ก่อนกล่าวอย่างตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “เมื่อคืนพี่ใหญ่ไปพบเพื่อน คล้ายจะดื่มหนักไปหน่อย เลยพักอยู่ด้านนอก ไม่ได้กลับมาที่บ้านขอรับ”

มหาบัณฑิตจางโมโหเล็กน้อย แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งเดินเข้าไปในเกี้ยวแล้วถึงจะรู้สึกว่าบรรยากาศภายในเรือนวันนี้ดูแปลกไป

……

……

คุณชายใหญ่ตระกูลจางไม่ได้ดื่มสุรา ไม่ได้เที่ยวหอนางโลม หากแต่นั่งอยู่ในห้องที่อยู่ในส่วนลึกของเรือนหลังใหญ่แห่งหนึ่งภายในเมืองหลวง

แสงแรกของวันปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย อีกทั้งมีหน้าต่างกั้นอยู่อีกชั้นหนึ่ง ภายในห้องจึงดูค่อนข้างมืดสลัว มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ได้ยินเพียงเสียงหายใจของคนสิบกว่าคน

คนที่อยู่ภายในห้องล้วนแต่เป็นขุนนางหนุ่มในราชสำนักที่ติดตามเพียงมหาบัณฑิต

ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติหรือว่าตำแหน่ง คุณชายใหญ่ล้วนแต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะนั่งอยู่ตรงหัวแถว แต่คนที่อยู่ภายในห้องไม่ได้ว่าอะไร อีกทั้งยังแสดงออกถึงความเคารพมากกว่าปกติ

หลังเรื่องในวันนี้สำเร็จ คุณชายใหญ่จะเป็นรัชทายาท

ตำแหน่งฮ่องเต้ยังสามารถนั่งได้ นับประสาอะไรกับหัวแถวล่ะ?

ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีข่าวอะไรส่งมา บรรยากาศภายในห้องยิ่งกดดัน ทุกคนเหมือนนั่งอยู่บนพรมตะปู

ในที่สุดก็มีคนที่นั่งไม่ติด เขาลุกขึ้นเดินไปที่ริมหน้าต่าง กล่าวเสียงร้อนใจว่า “ต่อให้มือสังหารลงมือพลาด แล้วองครักษ์พวกนั้นล่ะ?”

ภายในเรือนหลายแห่งภายในเมืองหลวงของแคว้นฉู่ เหล่าขุนนางที่ทราบข่าวล่วงหน้าเหล่านั้นต่างตกอยู่ในอารมณ์วิตกกังวล ขุนนางบางคนใช้ข้ออ้างว่าป่วยไม่ไปเข้าร่วมการว่าราชการตอนเช้า ขุนนางบางคนอย่างเช่นหัวหน้ากรมพิธีการ ต่างมายืนรออยู่ด้านนอกวังด้วยสีหน้าเปล่งประกาย

……

……

แสงแดดยามเช้าเลื่อนจากพื้นของวังขึ้นมาบนหน้าต่าง ลอดทะลุเข้ามา ส่องสว่างไปบนพื้นตำหนักที่เต็มไปด้วยรอยแกะสลัก สะท้อนแสงที่ดูเหมือนคลื่นน้ำออกมา

ดวงอาทิตย์ยามเช้าลอยสูงขึ้น

จิ๋งจิ่วลืมตา ในใจเกิดคำถามเดียวกับขุนนางหลายๆ คน ‘ทำไมถึงยังไม่มาล่ะ?”

สำหรับเขาแล้ว วังหลวงถือเป็นสถานที่ในการบำเพ็ญเพียรที่ดีอย่างมาก มิได้ต่างอะไรกับชิงซานเลย เขาไม่อยากออกไปไหน แต่ตอนนี้ดูแล้วเหมือนปัญหาจะมีแต่เยอะขึ้นตามอายุ เขาเองก็ได้ทำการเตรียมตัวที่จะจากไปแล้ว

เค้าได้ตรวจสอบดูตำแหน่งของภูเขาลูกนั้นแล้ว เตรียมจะแสร้งทำเป็นตายแล้วปิดบังชื่อแซ่ไปเป็นคนป่าอยู่ในภูเขาลูกนั้น ใครจะคิดบ้างว่ามือสังหารกลับไม่ยอมปรากฏตัวขึ้นเสียที

ด้านนอกตำหนักพลันมีเสียงทึบๆ ดังขึ้น จากนั้นเป็นเสียงฝีเท้า เสียงตะโกน เสียงเสียดสีกันของอาวุธ ยิ่งไปกว่านั้นยังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

เหตุใดการลอบสังหารที่เงียบเชียบกลับกลายเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดขนาดนี้ได้? จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จึงลุกขึ้นเดินออกไปนอกตำหนัก

ประตูตำหนักถูกผลักออก แสงแดดแยงตาเล็กน้อย เขาหรี่ดวงตา

ประตูวังครึ่งหนึ่งถูกบังเอาไว้ ศพของมือสังหารสามสี่คนถูกกองอยู่ตรงนั้น

แต่จำนวนของศพที่อยู่ตรงกำแพงวังมีมากกว่า นอกจากมือสังหารที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาแล้ว ยังมีองครักษ์อีกสิบกว่าคนด้วย โลหิตเจิ่งนอง ส่งกลิ่นคาวจางๆ

ท่ามกลางโลหิตและซากศพที่กองเต็มพื้น มีเด็กหนุ่มตัวผอมดำยืนอยู่คนหนึ่ง

เด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ร่างกายเต็มไปด้วยโลหิต บาดแผลบนแขนทั้งสองข้างลึกจนมองเห็นกระดูกสีขาว แต่สองมือที่จับด้ามกระบี่กลับยังมั่นคง

ในที่สุดประตูวังก็ถูกองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกกระแทกเข้ามา ศพของมือสังหารที่กองอยู่ตรงประตูถูกกระแทกจนกระเด็น

องครักษ์หลายสิบคนส่งเสียงตะโกนว่าปกป้องฝ่าบาท กรูกันเข้ามา ห้อมล้อมเด็กหนุ่มตัวผอมดำคนนั้นเอาไว้

ยังมีองครักษ์บางคนที่คิดอยากจะเข้ามาใกล้จิ๋งจิ่ว แต่กลับถูกลำแสงกระบี่สายหนึ่งขวางเอาไว้

ลำแสงกระบี่สายนั้นย่อมต้องมาจากมือของเด็กหนุ่มตัวผอมดำ

เพียงแค่ดูก็รู้ว่าต้องเกิดการนองเลือด ต่อให้เด็กหนุ่มตัวผอมดำผู้นั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหน สุดท้ายจุดจบของเขาก็คือความตาย หรือไม่ก็ถูกจับ

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าควรจะทำ”

เสียงของจิ๋งจิ่วดังสะท้อนไปมาด้านนอกตำหนัก ทะลุผ่านซากศพของมือสังหารและองครักษ์เหล่านั้น นำพากลิ่นคาวของโลหิตไปด้วย

เขาเดินลงมาจากบันไดหิน มายังข้างกายเด็กหนุ่มตัวผอมดำผู้นั้น มองไปทางองครักษ์เหล่านั้นแล้วกล่าวว่า “เขาเป็นองครักษ์ประจำตัวของข้าพเจ้า พวกเจ้าคิดอยากจะฆ่าเขาอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เหล่าองครักษ์พากันตกใจ มีองครักษ์สองสามคนแอบส่งสายตาให้กัน สุดท้ายก็ไม่กล้าทำอะไรต่อ

ในที่สุดทหารหลวงก็มาถึงด้านนอกตำหนัก ห้อมล้อมตำหนักเอาไว้อย่างแน่นหนา หัวหน้าของทหารหลวงคือนายพลที่มหาบัณฑิตจางให้ความไว้วางใจมากที่สุด แต่ในเวลานี้สีหน้ากลับดูแย่เหมือนได้เห็นมารดาของตนเองเพิ่งจะตายลงไป

จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจเขา หากแต่พาเด็กหนุ่มตัวผอมดำผู้นั้นกลับเข้ามาในตำหนัก

หัวหน้าทหารหลวงใบหน้าขาวซีด สั่งให้ลูกน้องเก็บกวาดซากศพออกไป ใช้น้ำสะอาดล้างพื้น จากนั้นค่อยๆ ปิดประตูวัง

จิ๋งจิ่วไล่ขันทีและนางกำนัลออกไปจากตำหนักจนหมดตั้งแต่ช่วงรุ่งสาง ภายในตำหนักจึงไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว ดูค่อนข้างวังเวง

จิ๋งจิ่วหายารักษาอาการบาดเจ็บมาจากที่พักของเหล่านางกำนัลที่อยู่ด้านหลังตำหนัก ก่อนจะยื่นให้เด็กหนุ่มตัวผอมดำผู้นั้น แล้วส่งสายตาบอกให้เขานั่งลงตามสบาย

เด็กหนุ่มร่างผอมดำน่าจะเป็นศิษย์ของสำนักอู๋เอินเหมินผู้นั้น เพียงแต่ในตอนที่เข้ามายังดินแดนแห่งความฝันได้เปลี่ยนหน้าตาจนดูไม่คล้ายเดิม

ทว่าจิ๋งจิ่วกลับคุ้นเคยกับใบหน้านี้มากกว่า โดยเฉพาะความตรงไปตรงมาและความดื้อรั้นที่อยู่ระหว่างคิ้วและดวงตาที่ยากจะลืมได้

เด็กหนุ่มร่างผอมดำถอดเสื้อคลุมด้านนอกที่ถูกกระบี่ตัดจนเป็นริ้วออก แล้วเริ่มทำแผลให้ตัวเอง ระหว่างที่ทำการรักษาบาดแผลก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

จิ๋งจิ่วมองไปด้านนอกหน้าต่าง สบสายตากับนกชิงเหนี่ยวตัวนั้น

นกชิงเหนี่ยวบินจากไปอย่างไร้ซุ่มเสียง อาจจะไปยังวังแคว้นจ้าว แล้วก็อาจจะไปยังเรือนเจ้าเมืองที่เมืองเป๋ยไห่ ไม่ว่าหนทางจากไกลแค่ไหน สำหรับมันแล้วก็ใช้เวลาแค่ชั่วพริบตา

จิ๋งจิ่วกล่าวถามว่า “ทำไมเจ้าถึงเดินทางจากวัดกั่วเฉิงไปยังเขาว่านโซ่ว? ต่อให้ออกมาแล้วก็ควรจะไปยังเรือนอี้เหมามิใช่หรือ? ฉานจึเขียนจดหมายให้แล้วไม่ใช่หรือ?”

ถามคำถามติดต่อกันสามคำถาม สำหรับคนที่มีนิสัยเย็นชาอย่างเขาแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก

นอกจากนี้คำถามสามคำถามนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความจริงที่น่าตกตะลึงอีกอย่างหนึ่ง ที่แท้เด็กหนุ่มร่างผอมดำผู้นี้ก็คือหลิ่วสือซุ่ย

หลิ่วสือซุ่ยบำเพ็ญเพียรอยู่ที่วัดกั่วเฉิง เหตุใดถึงมาเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาในฐานะศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินได้?

“ท่านเจ้าสำนักเดาได้ว่าคุณชายจะมาเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคา จึงให้ข้ามาช่วยท่านในฐานะศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินขอรับ”

เมื่อเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเรือนอี้เหมา หลิ่วสือซุ่ยลังเลเล็กน้อยมิได้พูดให้ชัดเจน เพียงแค่พูดถึงเหตุผลที่ตัวเองมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่เท่านั้น

สำหรับตัวเขาที่มองจิ๋งจิ่วเป็นเหมือนอาจารย์และเหมือนบิดาแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก

จิ๋งจิ่วเข้าใจความคิดของหลิ่วฉือ

ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักชิงซาน หลิ่วฉือยอมต้องรู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยนั้นออกไปจากคุกกระบี่ของยอดเขาซั่งเต๋อนานแล้ว แล้วยังรู้ด้วยว่าหลิ่วสือซุ่ยไปอยู่ที่วัดกั่วเฉิง

จิ๋งจิ่วไม่เคยคิดที่จะปิดบังหลิ่วฉือมาก่อน อีกทั้งด้วยสภาวะของเขาในตอนนี้ก็ยากที่จะปิดบังได้ด้วย

หลิ่วฉืออยากจะช่วยจิ๋งจิ่วชิงเอายันต์เซียนวัฒนะมาจากมือของสำนักจงโจว จึงได้เตรียมผู้ช่วยเอาไว้ให้เขา

จัวหรูซุ่ยสะดุดตามากเกินไป ดังนั้นเขาจึงคิดถึงหลิ่วสือซุ่ยที่อยู่วัดกั่วเฉิง

หากในเวลานี้นกชิงเหนี่ยวยังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ด้านนอกหน้าต่าง แล้วเอาคำพูดของหลิ่วสือซุ่ยส่งออกไปยังโลกด้านนอก เช่นนั้นคงจะต้องเกิดความวุ่นวายและความตกตะลึงขึ้นมาอย่างแน่นอน

ทุกคนต่างคิดว่าสำนักจงโจวกุมความได้เปรียบในงานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้เอาไว้ เพราะพวกเขามีศิษย์เข้ามาในดินแดนแห่งความฝันทั้งหมดสี่คน

ใครจะไปคิดบ้างว่าสำนักชิงซานจะส่งศิษย์เข้ามาสามคนอย่างเงียบๆ จิ๋งจิ่วที่เป็นตัวแทนสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึง แต่ใครจะไปคิดบ้างว่าจะยังมีหมากลับอย่างหลิ่วสือซุ่ยอยู่อีก?

แบบนี้การที่นักพรตหลิ่วเดินทางมายังเขาอวิ๋นเมิ่งด้วยตัวเองก็ไม่แน่ว่าจะเป็นการให้เกียรติสำนักจงโจวอย่างที่หลายคนมองกันแล้ว หากแต่เหมือนเป็นการมาสั่งการด้วยตัวเองเพื่อชัยชนะหลังจากนี้มากกว่า!

……

……

จิ๋งจิ่วกล่าวถามว่า “ปราณก่อกำเนิดในตัวเจ้าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “หลายปีก่อนกำเริบขึ้นมาเล็กน้อย แต่ท่านเจ้าสำนักได้ถ่ายทอดวิชาหนึ่งให้ข้า เลยสะกดมันเอาไว้ได้ชั่วคราวขอรับ”

จิ๋งจิ่วกล่าว “เอาไว้ออกไปแล้ว ไปยังเรือนอี้เหมาเสียหน่อยจะดีกว่า การสะกดเอาไว้มันอยู่ไม่ได้นาน หาวิธีกำจัดมันทิ้งจะดีกว่า”

หลิ่วสือซุ่ยไม่อยากจะไปเรือนอี้เหมา แต่ในเมื่อคุณชายเอ่ยปากแล้ว จึงทำอะไรไม่ได้ เขาได้แต่ต้องรับปากไป

จิ๋งจิ่วยังคงเป็นห่วงเรื่องที่เขาโกหกเพื่อที่จะได้คอยคุ้มครองตัวเองในดินแดนแห่งความฝัน จึงยื่นนิ้วมือออกไปแตะที่หว่างคิ้วของเขา

หลิ่วสือซุ่ยไม่กล้าหลบ นั่งอยู่นิ่งๆ การพันแผลก็หยุดลงด้วย

ภายในความว่างเปล่าที่อยู่ห่างไกลมีเสียงกระดิ่งที่ฟังดูไพเราะดังลอยมา มีเพียงจิ๋งจิ่วเท่านั้นที่ได้ยิน ผ่านไปไม่นานเขาก็ดึงนิ้วกลับมา คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย

หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าการที่คุณชายแสดงสีหน้านั้นหมายถึงมีเรื่องใหญ่ จึงอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ กล่าวว่า “ทำไมหรือขอรับ?”

“ไม่มีอะไร”

จิ๋งจิ่วรับรู้ได้ถึงสัญลักษณ์อันหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของร่างกายของหลิ่วสือซุ่ย

ตอนนี้อยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ร่างกายของทุกคนล้วนแต่คือดวงจิต ใครกันที่สามารถทำสัญลักษณ์เอาไว้บนดวงจิตของ หลิ่วสือซุ่ยได้ อีกทั้งยังไม่ถูกเขาพบเห็นด้วย?

สภาวะของวิชาเสวี่ยหมัวของหลิ่วสือซุ่ยในเวลานี้นั้นสูงส่งเป็นอย่างมาก ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญพรตธรรมดาทั่วไปไม่มีทางทำได้เลย

ไม่นานเขาก็คิดขึ้นมาได้ นี่น่าจะเป็นฝีมือของดวงจิตคันฉ่องฟ้ากระจ่าง จึงโบกมือลบรอยประทับนี้ไป ไม่ได้กล่าวอะไรกับ หลิ่วสือซุ่ย หลังจักรพรรดิแห่งหมิงตายไป ไม่ว่าจะเป็นบนฟ้าใต้ดิน จะเป็นโลกแห่งความเป็นจริงหรือว่าในดินแดนแห่งความฝัน เขาล้วนแต่เป็นคนที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับดวงจิตมากที่สุด กระทั่งศิษย์พี่ก็ไม่อาจเทียบเขาได้ แล้วนับประสาอะไรกับดวงจิตคันฉ่องดวงหนึ่ง

ในเวลานี้เอง นกชิงเหนี่ยวตัวนั้นบินกลับมายังวังของแคว้นฉู่ เกาะลงบนกิ่งไม้

จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไรอีก หลิ่วสือซุ่ยเองก็นิ่งเงียบ ก้มหน้าพันแผลบนร่างกายตนเองต่อ

นกชิงเหนี่ยวมองดูเด็กหนุ่มร่างผอมดำที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลผู้นั้น สายตาค่อนข้างสงสัย ในใจครุ่นคิดว่าทำไมสัญลักษณ์ที่ตนเองทำเอาไว้บนร่างกายของศิษย์นิกายเสวี่ยหมัวผู้นี่ถึงได้หายไปแล้ว?

เรื่องที่ฮ่องเต้ถูกลอบสังหาร ไม่ว่าจะปิดบังอย่างไร ข่าวก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

บรรยากาศภายในการว่าราชการช่วงเช้าแปรเปลี่ยนเป็นกดดันอย่างมาก มหาบัณฑิตจางสีหน้าคร่ำเคร่ง สายตากวาดมองดูลูกน้องที่ติดตามตัวเองเหล่านั้น ในสายตาคล้ายมีเสียงฟ้าคำรามที่พร้อมจะระเบิดออกมา สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นเดินเข้าไปในวังอย่างรวดเร็ว มาถึงหน้าตำหนัก กล่าวขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยคำพูดจริงใจ

ประตูตำหนักค่อยๆ เปิดออก

มหาบัณฑิตจางมองดูเด็กหนุ่มตัวผอมดำผู้นั้น เมื่อคิดถึงคำพูดของหัวหน้าทหารหลวง จึงเกิดความรู้สึกไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าฝ่าบาทไปร่วมมือกับผู้บำเพ็ญพรตด้านนอกวังตั้งแต่เมื่อไหร่

ศพของมือสังหารและองครักษ์เหล่านั้นได้ถูกขนออกไปแล้ว บนพื้นเองก็ถูกน้ำสะอาดชะล้างไปหลายรอบ แต่ยังคงมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ หลงเหลืออยู่

ไม่รู้ว่าแมลงวันบินมาจากไหน ส่งเสียงหึ่งๆ อย่างดีใจอยู่ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด

เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ แล้วคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ก่อนหน้านี้ สีหน้าของมหาบัณฑิตยิ่งดูแย่กว่าเดิม

เขาเดินเข้าไปในตำหนัก มองดูฮ่องเต้หนุ่มที่นอนพิงอยู่บนเตียง มหาบัณฑิตค่อยๆ สืบเท้าก้าวไปข้างหน้า สะบัดชายชุดคลุม จากนั้นคุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยสีหน้าจริงจัง

…………………………………………………