บทที่ 378 เมืองซื่อไห่

บัญชามังกรเดือด

บัญชามังกรเดือด บทที่ 378 เมืองซื่อไห่
มองไปที่จ้าวเฟิงที่เดินจากไปจ้าวข่าย เลยตัดสินใจครั้งใหญ่

“ว่าจะเอาตำแหน่งของจ้าวซวู่มาให้เขา ในรอบนี้ เส้นทางที่ชื่นมื่นของเขานั้น จะต้องเปลี่ยนเป็นน้ำสีเหลืองแทนแน่ๆ”

จ้าวเฟิงไม่ได้หันหลับมา แต่ว่า ภายในสายตานั้นได้ปรากฏถึงความพอใจออกมา

เร็วๆนั้น แผนของเขานั้น ก็จะสำเร็จแล้ว

เมื่อถึงเวลา เขานั้นจะได้กอดสาวสวย แล้วก็หัวเราะถึงชัยชนะด้วย

“พี่ซวู่ ขอโทษทีครับ ที่ทำให้เสียเวลาเลย”

“เจ้าจ้าวข่ายนั่นมันอิจฉาจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว ตอนเช้านั้นก็อยากที่จะลากผมไปดื่มเหล้าด้วย”

เมื่อมองเห็นจ้าวซวู่ จ้าวเฟิงนั้นก็รีบเอ่ยออกมา และไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่ม

จ้าวซวู่หัวเราะออกมา ก่อนที่จะตบไหล่ของจ้าวเฟิง แล้วเอ่ย“ น้องชายที่รัก ขึ้นรถเถอะ!”

“ไปที่เมืองเป่ยเจียงกับพี่ชาย ไปช่วยกันเอาพี่สะใภ้ที่สวยงามกลับมา”

รถที่หรูหราค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากลานกว้าง มุ่งไปที่เมืองเป่ยเจียง

เพราะว่าพรุ่งนี้คือวันแต่งงาน ส่วนแขกที่เชิญไปนั้น หลายคนแล้วได้ไปถึงก่อนเวลา

ตระกูลจ้าวนั้นได้สั่งจองโรงแรมในหยุนชวน หมดเลยเพื่อที่จะเอาไว้รองรับแขก

“คุณชาย ขบวนของตระกูลจ้าวนั้นได้ออกเดินทางแล้ว”

“ได้ยินมาว่าหลิวชิงเหยานั้นเป็นสาวสวย อีกทั้งยังเป็นผู้ที่คองตำแหน่งคนเดียวคนต่อไปของเมืองเป่ยเจียงอีกด้วย”

“ในรอบนี้นั้น เอาเปรียบจ้าวซวู่และตระกูลจ้าวแล้ว”

ในภายหน้าของโรงแรมที่ใหญ่โตหรูหรา พ่อบ้านคนหนึ่งวัยกลางคน ได้มองไปที่กระจกที่ใส่เสื้อชุดสูทสีขาวแล้วเอ่ย

ในมือของชายหนุ่มนั้น ได้ถือภาพไว้ภาพหนึ่ง

ในมือของเขานั้นเหมือนภาพตุ๊กตาเลย อีกทั้งยังมีภาพสาวน้อยที่น่ารัก ก่อนที่จะเอ่ย “นี่เป็นสาวสวยจริงๆ”

“แต่ว่า ที่ข้านั้นมาร่วมงานแต่งในครั้งนี่ ไม่ใช่เพราะหน้าของตระกูลข้าว แต่ก็เพื่อนฉินเทียน”

“อะฝู เจ้าเอยว่าฉินเทียนจะมาจริงๆหรอ?”

“เขากล้ามาไหมล่ะ?”

อะฝูยิ้มๆ“เจ้าฉินเทียนนั้นมันต้องกล้าแน่ๆ”

“ข้าได้ยินมาว่าตระกูลจ้าวนั้นได้ส่งการ์ดเชิญไป หวังว่าเขาจะมานะ”

“ข้าก็อยากที่จะรู้ ว่าในมือของเขานั้น ได้เอาห้าเมืองออกจากมือของตระกูลจ้างได้เช่นไร”

“หากข้าไม่เกาผิด ตระกูลจ้าวนั้นจะต้องไม่ยอมให้เขาเอาห้าเมืองไปง่ายๆแน่

ชายหนุ่มเสื้อสูทสีขาวเอ่ย ก่อนที่สายตานั้นจะเหมือนกับดวงดาว

“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้เจอศัตรูฝีมือดีเช่นนี้ หวังว่าเจ้าฉินเทียนนี่ จะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”

เขามีนามว่าจี้ซิง เป็นตระกูลจี้ที่มาจากเมืองซื่อไห่ 

เมืองซื่อไห่ สำหรับคนในตอนใต้นั้น เขานั้นเป็นคนที่มีพละกำลังที่เยอะที่สุด อีกทั้งตระกูลจี้ นั้นในเมืองซื่อไห่ ก็เป็นตระกูลผู้นำอีก

ดังนั้นตระกูลจี้ นั้นก็คือตระกูลที่มั่งคั่งเหมือนกันสำหรับคนในตอนใต้

ในรอบนี้ พวกเขานั้นก็ได้รับการ์ดเชิญจากตระกูลจ้าว และคุณชายก็ได้มาร่วมงานด้วยตนเอง เพื่อที่อยากจะมาเจอฉินเทียน

หากเป็นไปได้ เขาหวังว่า อยากจะต่อสู้กับฉินเทียนสักครั้ง

เพราะว่าจี้ซิง นั้นไม่เพียงแต่ธุรกิจที่มากมาย อายุยังหนุ่ม ก็ได้เป็นถึงหัวหน้าตระกูล ในเวลาเดียวกัน เขากลับเป็นนักต่อสู้ที่เก่งกาจคนหนึ่งอีกด้วย

แต่ในขณะเดียวกัน ฉินเทียนที่เป็นคนหลงเจียง เมื่อหลังจากที่คิดทบทวนมานาน ลังเล ในที่สุดก็ตัดสินใจ ว่าจะไปเข้าร่วมงานแต่งในครั้งนี้

เพื่อที่จะได้เข้าใจสถานการณ์ให้มากขึ้น เขารู้สึกว่า ไปก่อนหนึ่งวัน น่าจะเหมาะสมกว่า 

เพราะว่า เขานั้นยังได้ขึ้นรถไฟกับหม่าหงเทา และได้ขับรถเองเพื่อไปตรวจสอบ และออกจากหลงเจียง เพื่อมุ่งไปยังเมืองหยุนชวน 

หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง ขบวนของตระกูลจ้าวนั้น ในที่สุดก็มาถึงเป่ยเจียง ในตอนบ่าย 

เพราะว่างานแต่งงานได้กำหนดแล้ว ดังนั้น ทางฝั่งเจ้าสาว ห้าเสือแห่ง เป่ยเจียง ก็ได้รับหน้าที่คอบรับจ้าวซวู่และคนอื่นๆ

จ้าวซวู่และคนอื่นๆต่างก็ยินดี คนต่างๆก็ชื่นชม และมากันหมด 

ได้ดื่มเหล้ากับ ก่อนที่จะไปหาหลิวชิงเหยา

ห้าเสือแห่งเป่ยเจียงนั้นได้ลงมารับจ้าวซวู่และคนอื่นๆด้วยตนเอง แล้วพามายังลานกว้างใหญ่

ที่นี่ เป็นที่พำนักของหลิวเช่อ แห่งเมือง เป่ยเจียง แน่นอนว่าต้องเป็นที่พักของ ยู่หลิงหลงและหลิวชิงเหยา

ด้านนอกประตู ได้มีรถสีสันสดใส มารอตั้งแต่ตอนแรกแล้ว 

นี่เป็นรถที่เป่ยเจียงเอาไว้ส่งในงานหมั้น

เพียงแต่ ประตูนั้นติดคำว่ายินดี แต่ว่า ลานกว้างนั้นได้ปิดไว้ มองไปแล้วเหมือนกับที่รกร้าง

เลี่ยวเจี๋ยเอ่ยยิ้ม“ตระกูลจ้าวและเป่ยเจียง อีกสักพักก็จะเป็นตระกูลเดียวกันแล้ว ยู่หลิงหลงตอนนี้ยังปิดประตู หมายความว่ายังไงกัน?”

คนหนึ่งของห้าเสือได้พ่นลมหายใจแล้วเอ่ยออกมา “ประธานหลินมีเพียงลูกสาวคนเดียว แต่นอนว่าไม่อยากที่จะให้เธอนั้นต้องแต่งงานออกเรือนไปไกล”

“ขอให้ทุกคนรอสักครู่ พวกเราจะเข้าไปดู”

“ข้าจะเข้าไปดูกับพวกเจ้าด้วย! ”จ้าวซวู่เอ่ยเร่ง และแทบจะอดใจรอไม่ได้ที่จะไปเจอสาวสวยเช่นหลิวชิงเหยา

“พี่ชาย อย่าเร่งรีบสิ พวกเรารอกันก่อนเถอะ”

“ข้าเดาว่า พี่สะใภ้น่าจะเขินนะ”จ้าวเฟิงเอ่ยหัวเราะ

จ้าวซวู่หัวเราะใหญ่ จนรถนั้นแทบจะสั่นไปทั้งคัน

“เหยาเหยา ไม่เปลี่ยนใจจริงๆหรอ?”

“แม่จะทำเช่นไร เจ้าถึงจะเปลี่ยนใจกัน?” ภายในห้องนั้น เธอได้มองลูกสาวที่กำลังแต่งหน้า ยู่หลิงหลงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

หลิวชิงเหยาสีหน้าไร้อารมณ์ ราวกับว่าเรื่องงานนี้ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลย

แต่ว่า เมื่อส่องผ่านกระจก มองเห็นยู่หลิงหลง เช่นนี้ ในสายตาของเธอนั้นแอบมีสายตาที่อดไม่ได้ที่ไม่อยากจาก

เธอกัดฟันแล้วเอ่ยออกมา“โบราณว่าไว้ ลูกสาวที่แต่งงานออกไป ก็เหมือนการสาดน้ำออกไป”

“ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป แม่ก็ทำเหมือนว่าไม่มีลูกสาวคนนี้ก็แล้วกัน”

“ในตอนที่ลูกไม่อยู่ แม่ ……ดูแลตัวเองดีๆนะ”

ยู่หลิงหลงสายตาเธออดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล ในตานั้นมสีแดง น้ำตาเหมือนมุขที่ไหลลงมา

เสียงเคาะประตูดังนั้นอวี๋เซิ่ง ค่อยๆเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ คุณหญิง พี่สาว”

“คุณชายจ้าวและขบวนต้อนรับ ตอนนี้มารออยู่ที่ด้านนอกแล้วครับ”

“หากคุณหญิงเตรียมพร้อมแล้ว งั้นก็เริ่มเลยครับ เส้นทางอีกยาวไหล พวกเรานั้นก่อนมืด อยากที่จะมาถึงหยุนชวนก่อน”

 หลิวชิงเหยาลุกขึ้น เดนมายังด้านหน้าของยู่หลิงหลง แล้วคุกเข่าลง ก่อนที่จะก้มหัว หลังจากนั้นก็เปิดประตู ก่อนที่จะไม่หันหน้ามาอีกเลย

ยู่หลิงหลงเหมือนในใจได้ถูกมีดแทง เธอกลั้นปากไว้ ร้องไห้ไม่ให้มีเสียงออกมา

เธอรู้ดีว่า การก้มหัวของลูกสาวนั้น คือการบอกลา

หลิวชิงเหยาทำเช่นนี้ ได้สละความตายกันไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะ ชีวิตของแม่นี้ ยากที่จะอยู่ต่อไปจริงๆ

ยู่หลิงหลงรู้สึกถึงย้อนกลับไปตอนเมื่อยี่สิบปีก่อน เมื่อถึงตอนที่ใกล้จะคลอดหลิวชิงเหยาในตอนนั้น

ก้อนเนื้อได้ถูกควักออกมาจากท้อง เจ็บจนเหมือนจะฉีกขาว หลงัจากนั้น ราวกับว่าชีวิตได้ถูกควักออกไปแล้ว

เธอนั้นผ่านประตูไป มองลูกสาวที่ขึ้นรถไปในตอนเช้า ก่อนที่เธอนั้นจะค่อยเคลื่อนออกไป

เธอนั้นร้องไห้ออกมา ก่อนที่จะนอนไปที่พื้นอย่างเจ็บปวด 

เมื่อก่อนที่ได้วางแผนไว้ ในทางเป่ยเจียงทางนี้ ได้มีอวี๋เซิ่งและหลัวจิง เป็นคนปกป้องคอยไปส่ง

รถขบวนของตระกูลจ้าวนั้นอยู่ด้านหน้า ส่วนขบวนรถของหลิวชิงเหยาอยู่ทางด้านหลัง และค่อยๆออกจากเป่ยเจียง และมุ่งหน้าไปยังทิศทางของหยุนชวน  

หลังจากที่รถทั้งสองขบวนจากไหน รถเบนซ์ เสียงต่ำๆได้เข้ามายัง ก่อนที่จะจอดทางด้านหน้าที่พักของยู่หลิงหลงทางด้านหน้าประตู

“ลูกพี่ ท่านแน่ใจนะ ว่าเป็นที่นี่?”

ชายหนุ่มวันกลางคนเปิดประตู ก่อนที่จะเอ่ยถามชายด้านหลังด้วยรอยยิ้ม

ผู้ชายอายุประมาณห้าสิบ สีหน้าสง่างาม มองออกว่า ในตอนสมัยหนุ่มนั้น ต้องเป็นผู้ชายที่หล่อเหลา 

เพียงแต่ มองไปแล้วมีขมับสีขาว ดวงตามีรอยย่น มองไปแล้ว เหมือนจะแก่ก่อนวัย

เขาลงจากรถ ก่อนที่จะมองไปยังลานกว้าง สายตานั้นรู้สึกซับซ้อน

มีความรู้สึกดีๆผุดขึ้นมา เหมือนรู้สึกเสียใจที่พลาดไป

มีหลายเรื่อง หลายอารมณ์ที่เคยผ่านมา