ตอนที่ 532 ร่วมมือกันชั่วคราว

พันธกานต์ปราณอัคคี

บรรยากาศนิ่งค้างไปชั่วขณะ แล้วเซี่ยหรันก็พูดทำลายความเงียบ “ท่านทั้งสอง ข้าน้อยขอล่วงหน้าไปก่อน” 

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้สึกดีอะไรด้วยกับมารบำเพ็ญเพียรและปีศาจบำเพ็ญเพียรอยู่แล้ว อีกทั้งไม่คิดทำอะไรมากมายร่วมกัน จึงเม้มปาก ก่อนกระตุ้นให้ไหมเกล็ดน้ำแข็งเหาะไปตามทางที่ดอกเบญจมาศแดงชี้นำ 

 

 

ใครจะคิดเล่าว่า ปีศาจบำเพ็ญเพียรตนนั้นกลับเหาะมาในทางเดียวกันอีก 

 

 

ทั้งสามจึงหยุดลง 

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกเอะใจ พูดได้ว่าถ้าเป็นครั้งสองครั้งคือบังเอิญ แต่ตอนนี้ ปีศาจบำเพ็ญเพียรก็เป็นเช่นนี้ หรือเป้าหมายของพวกเขา คือตามหาสำนักไป่ฮวาเช่นกัน 

 

 

มารบำเพ็ญเพียรเซี่ยหรันมีท่าทีเบื่อหน่าย กลับเป็นปีศาจบำเพ็ญเพียรที่มาทีหลังพูดขึ้นมาตรงๆ “ท่านทั้งสองก็กำลังหาสำนักไป่ฮวาอยู่หรือ” 

 

 

มั่วชิงเฉินตอบเสียงเรียบ “ใช่” 

 

 

เซี่ยหรันเม้มปากเงียบ ถือว่ายอมรับ 

 

 

ทั้งสามมองหน้าซึ่งกันและกัน บรรยากาศคาดเดาไม่ได้ชั่วขณะ 

 

 

ตอนนี้ทั้งสามกำลังเผชิญหน้ากับคำถามหนึ่ง จะประมือกัน หรือต่างคนต่างไปตามทางของตน หรือร่วมมือกัน 

 

 

ถ้าสู้กัน เซี่ยหรันเป็นมารบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ ส่วนปีศาจบำเพ็ญเพียรเหลืออีกหนึ่งก้าวก็จะจำแลงกายได้สมบูรณ์ มีเพียงมั่วชิงเฉินที่มีระดับบำเพ็ญเพียรด้อยกว่าหน่อย แต่ก่อนหน้านี้ก็เห็นชัดแล้วว่าจิตสัมผัสที่ไม่ธรรมดา ทำให้เซี่ยหรันเกรงกลัวอยู่บ้าง 

 

 

ถ้าสู้กันขึ้นมา สภาพที่ต้องเจอคือ ใครแข็งแกร่ง อีกสองคนที่เหลือก็ร่วมมือกัน 

 

 

เมื่อบำเพ็ญเพียรถึงระดับเดียวกับพวกเขา ถ้าไม่ทะนุถนอมชีวิต ออกไประเบิดจุดตันเถียน แม้จะทำให้มีพลังที่ไม่ธรรมดา แต่ก็จะเหมือนผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหลายท่านระเบิดตนเองในตอนนั้น เช่นเดียวกับเจ้าปีศาจระดับถอดดวงจิต ล้วนต้องบาดเจ็บและถอยออก  

 

 

ยังไม่ทันเห็นผลประโยชน์ ก็สู้กันชนิดตายกันไปข้างแล้ว เห็นชัดว่าเป็นทางเลือกสุดท้ายของสุดท้าย 

 

 

แต่ถ้าต่างคนต่างไปตามทางของตน ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ อีก ทั้งสามล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน หาสถานที่เดียวกัน กระทั่งทางก็ยังทางเดียวกัน ถ้าหาซากปรักหักพังของสำนักไป่ฮวาไม่พบก็แล้วกันไป แต่ถ้าหาพบ จะถือว่าเป็นของใครล่ะ เกรงว่าก็ต้องพิพาทกันสักตั้ง 

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า เมื่อทั้งสามสามารถหาพบ มีหรือคนอื่นๆ จะหาไม่พบ 

 

 

คิดได้เช่นนี้ การร่วมมือกัน จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ 

 

 

ผู้มากพรสวรรค์จากทั้งสามเผ่าย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ความเงียบจึงหมายถึงการคิดตก 

 

 

ผู้พูดมากอย่างปีศาจบำเพ็ญเพียรจึงเอ่ยปากก่อน “เช่นนั้นเราก็ไปหาด้วยกันสิ” 

 

 

“แล้วของที่หาได้ จะแบ่งอย่างไร” เซี่ยหรันพูดเย็นชา เขาเห็นด้วยที่ร่วมมือกัน แต่กลับถามปัญหาในทางปฏิบัติที่ทำได้ยากสุด 

 

 

พันธุ์ปีศาจบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ค่อนข้างซื่อ ชอบทำอะไรตรงไปตรงมา และยกย่องผู้ที่มีความสามารถ จึงพูดไปตามเหตุผล “ใครออกแรงมาก ก็เอาไปมากอย่างไรเล่า” 

 

 

ขณะเซี่ยหรันกำลังจะพูดอะไร มั่วชิงเฉินก็เอ่ยปาก “เจ้าพูดเช่นนี้ เท่ากับไม่ได้พูด” 

 

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ปีศาจบำเพ็ญเพียรตัวสูงมาก แต่หน้าตากลับดูเด็กและซื่อ พอโกรธขึ้นมา ไม่เพียงไม่น่ากลัว ยังแลดูตลกอยู่บ้าง 

 

 

แต่มั่วชิงเฉินก็มิได้ตัดสินคนที่หน้าตา ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ปีศาจบำเพ็ญเพียรเพียงนำหนังมนุษย์มาคลุมร่างเท่านั้น ร่างเดิมยังระบุแน่นอนไม่ได้นี่ว่าเป็นอะไร จึงพูดเรียบๆ “ไม่ได้หมายความอะไร ที่สหายพูดมาฟังดูยุติธรรมดี แต่จริงๆ แล้วก็ยังง่ายต่อการเกิดข้อพิพาทอยู่ดี ใครออกแรงมากน้อย ตัดสินยาก” 

 

 

ปีศาจบำเพ็ญเพียรขมวดคิ้ว “เช่นนั้นตามความหมายของเจ้า ต้องทำอย่างไรเล่า” 

 

 

“ทุกครั้งที่หาของเจอ ต้องให้ทั้งสามคนตัดสินว่า ใครมีสิทธิ์ที่จะได้ของก่อน” มั่วชิงเฉินตอบ 

 

 

ปีศาจบำเพ็ญเพียรเถียงคอเป็นเอ็น “เจ้าพูดเช่นนี้ ก็ยังไม่ยุติธรรมอยู่ดี ถ้ามีสองคนร่วมมือกันขึ้นมาจะทำอย่างไร” 

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะ “เจ้าวางใจ เราสามคนเดิมทีก็ไม่ได้เดินบนทางสายเดียวกันอยู่แล้ว ถ้ามีสองคนร่วมมือกันแล้วเลือกซึ่งกันและกัน คนที่สามเพียงเลือกคนคนเดียวทุกครั้ง ก็พอจะทำให้อีกสองคนผิดใจกันแล้ว” 

 

 

ในกลุ่มคนทั้งสาม ไม่ว่าสองคนใดร่วมมือกัน ความสัมพันธ์ก็จะเปราะบางมาก เพียงคนที่สามเลือกคนคนเดียวทุกครั้ง อีกคนพอไม่ได้สมบัติ ก็ต้องไม่พอใจ ส่วนคนที่ได้ก็ สมบัติเข้ากระเป๋าตนแล้วนี่ เพื่อนที่ร่วมมือกันก็ไม่ได้ผูกพันลึกซึ้งอะไร ใครจะยอมเอาออกมาแบ่งเล่า 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าทั้งสามปฏิบัติตามหลักความเป็นธรรมทุกครั้ง ก็จะได้ประโยชน์สูงสุด 

 

 

“สหายทั้งสองว่าอย่างไร” มั่วชิงเฉินถาม 

 

 

เซี่ยหรันพยักหน้า “ได้ แต่ถ้าเป็นของที่คนคนเดียวหาพบ ก็ต้องให้คนคนนั้นมีสิทธิเลือกก่อน” 

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว” มั่วชิงเฉินกับปีศาจบำเพ็ญเพียรล้วนพยักหน้า 

 

 

ทั้งสามเห็นพ้องต้องกันชั่วคราว หลังจากรู้จักชื่อเสียงเรียงนามกัน ก็เหาะไปยังทิศทางเดียวกัน โดยรักษาระยะห่างซึ่งกันและกัน 

 

 

“แดงน้อย ทำไมเรื่องของสำนักไป่ฮวาที่เจ้าพูด พวกเขาก็รู้ล่ะ” มั่วชิงเฉินส่งเสียงถามระหว่างทาง 

 

 

ใบของดอกเบญจมาศแดงสั่นไหว ก่อนว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะมีเบาะแสอื่นๆ อีกกระมัง” 

 

 

มั่วชิงเฉินหรี่ตา “ใช่หรือ” 

 

 

“ใช่…ใช่สิ นายท่าน ท่านสงสัยข้าหรือ” ดอกเบญจมาศแดงส่งเสียงสะอื้นอีกแล้ว 

 

 

มั่วชิงเฉินได้ยินก็ปวดศีรษะ กัดฟันพูด “หุบปาก ถ้าร้องไห้อีก ข้าจะเรียกหมาป่าน้อยมาล้างหน้าให้เจ้า!” 

 

 

ดอกเบญจมาศแดงตกใจจนสะอึก หยุดร้องไห้ทันที 

 

 

ทั้งสามเหาะมาได้สองวัน สิ่งแวดล้อมรอบๆ ก็เริ่มเปลี่ยน 

 

 

ดินของเดิมเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม อากาศร้อนอบอ้าวขึ้น ไม่เห็นต้นไม้เขียวชอุ่มเหล่านั้นอีก เห็นแต่กิ่งไม้สีน้ำตาลแดงที่ไม่มีใบแทน 

 

 

เสียงดอกเบญจมาศแดงดังมาจากถุงอสูรวิญญาณ มีความกระตือรือร้นอยู่บ้าง 

 

 

“นายท่าน ที่นี่แหละ” 

 

 

มั่วชิงเฉินยังไม่ทันพูด กลับเห็นปีศาจบำเพ็ญเพียรเวยเซิงลิ่วหยุดเหาะ แล้วว่า “น่าจะอยู่แถวนี้นะ” 

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูเซี่ยหรัน และพบว่าเขาไม่มีสีหน้าแปลกใจแม้แต่น้อย คงรู้อยู่แก่ใจแล้ว 

 

 

“สหายเวยเซิงคิดว่าเราควรเริ่มหาจากที่ไหนดี” เซี่ยหรันถาม 

 

 

เวยเซิงลิ่วเบะปาก “สหายทั้งสองก็รู้อยู่แต่แรกแล้วนี่ว่าเป็นที่นี่ อย่านึกว่าข้าไม่รู้ ในเมื่อร่วมมือกัน ก็ต้องรีบหาสมบัติให้เจอถึงจะถูก พวกมนุษย์ ชอบปิดบังซ่อนเร้นยิ่งนัก” 

 

 

ปีศาจบำเพ็ญเพียรตนนี้ไม่โง่เลยสักนิด 

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะ “ในเมื่อสหายเวยเซิงมีอคติต่อพวกเรามนุษย์บำเพ็ญเพียร แล้วเหตุใดจึงจำแลงกายเป็นมนุษย์เล่า” 

 

 

เวยเซิงลิ่วขนตั้ง “เจ้านึกว่าข้ายินยอมเช่นนั้นรึ เฮอะ!” 

 

 

มั่วชิงเฉินอยากหัวเราะในพริบตา ร่างเดิมของหมอนี่ ต้องมีขนดกแน่ 

 

 

เซี่ยหรันพูดเสียงเย็นชา “ข้าน้อยรู้ว่าอยู่บริเวณนี้จริง แต่ตอนนี้กลับไม่มีสิ่งบ่งชี้แล้ว ท่านทั้งสองล่ะ” 

 

 

“ข้าก็ไม่รู้!” เวยเซิงลิ่วสะบัดหน้า ก่อนแกว่งหางที่อยู่ด้านหลัง 

 

 

พอเห็นมั่วชิงเฉินมองมาที่หาง เขาก็ทั้งโกรธทั้งเขิน จึงคำราม “มองอะไรไม่ทราบ!” 

 

 

เสียงเรียบเย็นของเซี่ยหรันดังขึ้นในหัวสมองของมั่วชิงเฉิน “หรือสหายมั่วไม่รู้ว่า ปีศาจบำเพ็ญเพียรที่ยังจำแลงกายได้ไม่สมบูรณ์กังวลที่สุดคือ ผู้อื่นมองส่วนที่มันเปิดเผยสถานะออกมา” 

 

 

เรื่องนี้มั่วชิงเฉินไม่รู้จริงๆ ใครใช้ให้หมาป่าน้อยบ้านนางชอบกระดิกหางเล่า บางครั้งพอเห็นอากาศร้อน ก็ยังทำหน้าขรึมไปด้วย สะบัดหางไปด้วย พัดลมให้นางเลย 

 

 

“ขออภัย” พอรู้ว่าตนมีท่าทีไม่เหมาะสม มั่วชิงเฉินก็พูดขึ้น พร้อมสีหน้าจริงใจ  

 

 

เวยเซิงลิ่วกระตุกมุมปาก ไม่พูดไม่จา กลับหนีบหางไว้แน่น 

 

 

“สหายมั่วมีเบาะแสอะไรไหม” เซี่ยหรันพลันถาม 

 

 

มั่วชิงเฉินได้ถามดอกเบญจมาศแดงแต่แรกแล้ว ซึ่งมันก็ได้แต่ยืนยันว่าเป็นที่นี่ นอกเหนือจากนี้ กลับไม่รู้อะไรอีก 

 

 

คิดดูก็ใช่ ตั้งแต่สำนักไป่ฮวาทำลายดอกไม้ประหลาด ‘ชิงวิญญาณ’ ก็ผ่านมากว่าหมื่นปีแล้ว ถ้าดอกเบญจมาศแดงยังจำอะไรต่อมิอะไรได้อย่างชัดเจน นี่สิแปลก 

 

 

“ข้าน้อยก็ไม่มีเบาะแสอะไรเช่นกัน แต่เมื่อเป็นที่นี่ เราก็มาค้นหาร่วมกันสักหน่อย เผื่อจะเจอ” มั่วชิงเฉินพูด 

 

 

“ก็ดี” เซี่ยหรันพยักหน้า 

 

 

ที่นี่เป็นเทือกเขายาวเหยียด มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ทั้งสามตกลงกันว่าจะส่งสัญญาณสื่อสารกัน แล้วจึงแยกย้ายกันไปค้นหาคนละทิศ 

 

 

มั่วชิงเฉินเหยียบไหมเกล็ดน้ำแข็งค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า พลางตรวจตราดูทิวทัศน์รอบๆ อย่างถ้วนถี่ 

 

 

กวาดตามองไป พื้นที่ทั้งหมดล้วนเป็นสีแดงอ่อนบ้างเข้มบ้าง พอเข้าใกล้ภูผา ลมหายใจก็ร้อนระอุ 

 

 

มั่วชิงเฉินเดาว่า ถ้าสามารถไขปริศนาที่ทำให้ที่นี่ร้อนเช่นนี้ได้ ก็น่าจะหาเบาะแสได้ จึงเหาะเลียบผาหิน พลางใช้ปลายนิ้วลูบผ่านผาหินช้าๆ 

 

 

ไอร้อนระอุทำให้นิ้วแดง ไอเย็นของน้ำแข็งที่พุ่งขึ้น ทำให้ไอร้อนตีกลับ 

 

 

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่า มั่วชิงเฉินก็หยุด สายตาจ้องมองภูผานิ่ง 

 

 

ที่นี่ คล้ายมีอะไรต่างออกไป 

 

 

“นายท่าน ท่านพบอะไรหรือ” ดอกเบญจมาศแดงในถุงอสูรวิญญาณถามอย่างกระตือรือร้น 

 

 

มั่วชิงเฉินมิได้เชื่อใจดอกเบญจมาศแดงแบบที่เชื่อใจอีกาไฟ มันเป็นพืชวิญญาณ ไม่ใช่อสูรปีศาจ ลงนามในสัญญาไม่ได้ เวลาที่อยู่ด้วยกันก็สั้น จึงไม่ตอบอะไร แต่กำลังสำรวจมองภูผาอย่างละเอียด 

 

 

ตามหลักแล้ว เทือกเขาเดียวกัน ควรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ลายบนหินผาต้องก่อตัวขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์ แต่ลายบนหินผาที่นี่ กลับไม่เหมือนที่อื่นๆ คล้ายหักเหไปอีกจุด 

 

 

มั่วชิงเฉินเหาะให้ห่างออกมาหน่อย แล้วมองดูอีกครั้ง ก็พบว่าลายบนหินผาตรงนั้นกระจายออก แต่พุ่งสู่จุดศูนย์กลาง 

 

 

มั่วชิงเฉินเหาะไปยังจุดศูนย์กลาง พลันยิ่งรู้สึกร้อน พอยื่นมือไปลูบดู ก็ปวดแสบปวดร้อน ทั้งๆ ที่ตนมีปราณวิญญาณป้องกันตัวอยู่  

 

 

จึงหยิบกริชออกมา เคาะหินผาครั้งแล้วครั้งเล่า จนได้ยินเสียง ตึงๆ ดังมา 

 

 

เหมือนข้างในกลวง 

 

 

ความคิดเพิ่งวาบปรากฏ ปราณวิญญาณเบาบางสายหนึ่งก็พุ่งมาที่ปลายกริช 

 

 

มั่วชิงเฉินจึงรีบหยุดมือ แล้วค่อยๆ ใช้กริชสำรวจดู 

 

 

พบว่า ที่นี่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณที่หนาแน่นวนเวียนไปมา มีทั้งแข็งแกร่ง ทั้งอ่อนแอ ยุ่งเหยิงเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าถ้าไม่สำรวจละเอียด ก็ไม่มีทางค้นพบปราณวิญญาณที่แข็งแกร่งสุดแน่ 

 

 

ปราณวิญญาณที่เบาบางและยุ่งเหยิงเช่นนี้ ยากมากจะทำความเข้าใจ มั่วชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อ กระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวปรากฏกลางอากาศ 

 

 

กระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวนี้คือของที่เยี่ยเทียนหยวนมอบให้นางเมื่อหลายปีก่อน ใช้งานเด่นๆ ได้สองอย่าง เก็บซ่อนปราณวิญญาณแปรปรวน กับจัดระเบียบปราณวิญญาณ 

 

 

กระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวกะพริบแสง แล้วดาวทั้งเจ็ดก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามารวมตัวกัน จนมีรูปร่างคล้ายมือใหญ่โปร่งแสง สะบัดไปมาบริเวณศูนย์กลางหินผา  

 

 

ปราณวิญญาณที่ยุ่งเหยิงค่อยๆ ถูกจัดระเบียบ จนในที่สุดมั่วชิงเฉินก็รู้สึกได้อย่างแจ่มชัดถึงที่มาที่ไปของปราณวิญญาณเหล่านี้ 

 

 

จึงเก็บกระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวกลับ หยิบธนูเขียวซ่อนเร้นออกมา ขึ้นลูกธนูกับคันธนู ได้ยินเสียงลูกธนูสีทองคมกริบยิงออก พร้อมพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งพุ่งสู่ตำแหน่งตาวิญญาณ  

 

 

ภูผาที่มีปราณวิญญาณยุ่งเหยิงอยู่ทั่วเช่นนี้ ถ้าหาตาวิญญาณไม่พบ ถึงแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ภูผาก็ยากจะสั่นคลอน แต่ถ้าหาตาวิญญาณพบ ก็เท่ากับพบตำแหน่งบอบบางที่สุด พอลูกธนูทองทะลวงเข้าไป ก็เห็นปราณวิญญาณสีแดงเพลิงหลายสาย กลายเป็นประกายไฟ พ่นออกมา 

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บลูกธนูสีทองกลับ ปราณวิญญาณที่ปะทุออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ช่องว่างที่อยู่รอบๆ ทนแรงจู่โจมของปราณวิญญาณไม่ไหว เริ่มปริแตกทีละนิด ท้ายที่สุดก็ได้ยินเสียง ปัง ผาหินทั้งผืนระเบิดออก 

 

 

แสงวิญญาณพุ่งขึ้นฟ้า เสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนเซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วที่อยู่ห่างออกไปร้อยลี้ยังรู้สึกได้ถึงความผิดปกตินี้ ทั้งสองไม่รอรับสัญญาณ เหาะมาทันที