จี้เทียนซิงรั้งอยู่ในห้องของบิดาและไม่ได้ออกไปตั้งแต่เที่ยงวันจนกระทั่งถึงรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง
เมื่อแสงแรกของรุ่งอรุณลอดผ่านหน้าต่างและสะท้อนเข้ามาในห้อง ในที่สุดจี้ชางคงก็ฟื้นขึ้น
จี้เทียนซิงรู้สึกผ่อนคลายลง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลพลางกล่าวว่า “ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็ฟื้น ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ?”
จี้ชางคงเปิดตาอย่างอ่อนแรงและมองไปที่ขอบตารื้นน้ำตาของบุตรชาย
“เทียนซิง….. ไม่ต้องกังวล พ่อยังอยู่กับเจ้า”
“อาการบาดเจ็บแค่นี้เทียบไม่ได้กับเมื่อสิบปีก่อน มันจะหนักหนาเท่าไหร่กันเชียว ?”
จี้เทียนซิงพยักหน้าอย่างเงียบงัน ภายในใจรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย
บิดาที่เคยมีจิตวิญญาณสูงส่งและเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจกดขี่ผู้คน ตอนนี้กลับต้องนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียวและอ่อนล้า อีกทั้งยังต้องแสร้งทำเหมือนไม่หนักหนาเพื่อปลอบใจตน
จี้ชางคงหันหน้าไปด้านข้างและกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนแอ “เทียนซิง พ่ออาจต้องพักฟื้นสักหลายเดือน แม้จะหายจากอาการบาดเจ็บ แต่ระดับพลังย่อมถดถอยลงแน่แล้ว”
“เดิมทีพ่ออยากจะรอจนเจ้าเติบใหญ่กว่านี้ค่อยส่งมอบตำแหน่งประมุขตระกูลจี้ให้ แต่บัดนี้ไม่อาจรอได้แล้ว พ่อจำเป็นต้องมอบภาระสำคัญใหญ่หลวงนี้ให้เจ้าล่วงหน้าเท่านั้น”
“ตระกูลจี้ของเราตอนนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก ภาระนี้หนักอึ้งนัก แต่พ่อก็เชื่อมั่นในตัวลูก พ่อเชื่อว่าลูกจะผ่านพ้นความลำบากพวกนี้ไปได้และทำให้ตระกูลจี้ดำรงอยู่ต่อไปนับร้อยๆปี….”
จี้เทียนซิงสีหน้าเคร่งขรึม ต่อให้บิดาไม่เอ่ยปากพูด เขาย่อมรับรู้ได้แน่นอนว่ากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตระกูลจี้และตกอยู่ในความกดดันอย่างล้ำลึก
แต่นี่นับเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่อง เขาทำได้เพียงกัดฟันสู้ให้ภารกิจสำคัญนี้ลุล่วงไปด้วยดีเท่านั้น
“ท่านพ่อ วางใจเถอะ ไม่ว่ามันจะยากลำบากเพียงใดข้าก็จะผ่านมันไปให้ได้และไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง”
“ข้าจะให้ท่านพักอยู่ในห้องลับ ท่านจะได้หายเร็วๆโดยไม่ถูกรบกวน”
จี้ชางคงพยักหน้าเล็กน้อยด้วยใบหน้าซีดเซียว จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมาพลางกล่าวว่า
“เทียนซิง หอเงากระบี่ของตระกูลเรา เคารพเชื่อฟังเพียงประมุขของตระกูลเท่านั้น ตอนนี้เจ้าถือครองป้ายประมุข พวกมันย่อมเชื่อฟังเจ้า เรื่องนี้เจ้าสามารถวางใจได้ นอกจากนี้…. เจ้าต้องรอบคอบต่อสมาชิกตระกูลจี้ทุกคน อย่าได้ไว้ใจผู้ใดง่ายๆ ด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ พ่อเกรงว่าพวกมันจะแบ่งเป็นหลายพรรคหลายฝ่ายและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง”
“จะอย่างไรเสีย จงจดจำไว้ให้มั่น สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของเจ้า ความหวังจะบังเกิดก็ต่อเมื่อเจ้ามีชีวิตรอดเท่านั้น !”
“ข้าจะจดไว้ขอรับท่านพ่อ” จี้เทียนซิงรับคำพลางพยักหน้าอย่างสง่างาม
ต่อมาเขาได้จัดให้ทหารยามคนสนิทสองคนที่ภักดีต่อจี้ชางคงที่สุด พาเขาไปพักรักษาตัวที่ห้องลับใต้ดินเพื่อให้เขาได้สงบจิตใจ
ทันทีที่จี้เทียนซิงเสร็จธุระของบิดา ทหารยามที่อยู่นอกจวนก็วิ่งเข้ามารายงานด้วยความเคารพว่า “เรียนคุณชายใหญ่ ท่านอาวุโสสองเชิญท่านไปที่ห้องโถงของตระกูลเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งสำคัญของบรรดาผู้อาวุโสขอรับ”
เมื่อได้ยินรายงานจากทหารยาม ใบหน้าของจี้เทียนซิงก็เปลี่ยนไป ดวงตาทอประกายเย็นเยือก
“เฮอะ ! ดูเหมือนลุงสองจะร้อนรนไม่น้อยถึงเรียกประชุมจัดสรรตำแหน่งกันใหม่ ท่าทางจะนั่งไม่ติดก้นกันแล้วกระมัง ?”
จี้เทียนซิงแค่นเสียงเย็นชาและสะบัดชายอาภรณ์เดินออกจากจวนของบิดาเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องโถงตระกูลจี้ทันที
เมื่อเขามาถึงก็เห็นรุ่นเยาว์ตระกูลจี้ที่หน้าประตูห้องโถงกำลังกระซิบกระซาบสนทนากัน
กลุ่มคนเหล่านั้นเห็นจี้เทียนซิงก็ชะงักการสนทนาในทันทีและแสร้งทำเป็นมองไปรอบๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จี้เทียนซิงไม่สนใจรุ่นเยาว์พวกนั้นและเดินอาดๆเข้าไปในห้องโถงอย่างเยือกเย็น
ภายในห้องโถงมีคนมารวมตัวกันอยู่ 12 คน นอกเหนือจากอาวุโสทั้ง 3 คนแล้ว ที่เหลือเป็นชายหนุ่มท่วงท่าสง่างาม
ทั้ง 12 คนนี้สำหรับจี้เทียนซิงแล้วไม่ใช่คนแปลกหน้า
ผู้อาวุโส 3 คนคือเหล่าลุงๆของเขา ส่วนอีก 9 คนล้วนเป็นคนใหญ่คนโตในตระกูลจี้ ซึ่งแต่ละคนมีหน้าที่ดูแลกิจการโรงหลอมอาวุธภายในรัฐ พวกเขาเป็นดั่งเสาค้ำทั้ง 9 ต้นของตระกูลจี้
ผู้ที่นั่งในตำแหน่งแรกทางซ้ายเป็นชายอ้วนที่ดูสมบูรณ์ คนผู้นี้คือจี้ต้าเจียง, พี่ชายคนโตของจี้ชางคง เขาคือลุงใหญ่ของจี้เทียนซิงนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีวัยวุฒิที่อาวุโสที่สุด แต่จี้ต้าเจียงนั้นอ่อนแอและไร้ความสามารถที่สุดในบรรดา 4 พี่น้องตระกูลจี้
เขาไม่มีทั้งหัวทางธุรกิจและพรสวรรค์ในการหลอมสร้างอาวุธ แต่เขาเป็นนักกินดื่มและนักพนันตัวยงที่เอาแต่สำราญไปวันๆเท่านั้น
ในอดีต จี้ชางคงปฏิบัติต่อพี่ชายใหญ่ผู้นี้เป็นอย่างดีและให้เงินทองไว้ถลุงทุกเดือนไม่เคยขาด ดังนั้นคนๆนี้จึงไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้แย่งชิงของตระกูลจี้และมีทัศนคติที่ดีต่อจี้ชางคง
ผู้ที่นั่งถัดจากจี้ต้าเจียงคือลุงสอง จี้หรูเฟิ่ง เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงพร้อมด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างาม ดวงตายังคงทอประกายดุร้าย
สำหรับตำแหน่งที่สามทางด้านซ้ายคือชายที่มีใบหน้าผอมและหมองคล้ำ เขาคือลุงสามของจี้เทียนซิง
ลุงสามของเขาเรียกว่าจี้ชางเหอ เขาเป็นคนที่หันหางเสือไปตามลมและโอนอ่อนไปตามสถานการณ์ (ตามเสียงส่วนใหญ่)
จี้ชางเหอไม่ได้ทะเยอทะยานเหมือนกับจี้หรูเฟิ่ง แต่ก็เป็นบุรุษที่มีนิสัยอยู่ไม่ค่อยสุข
เขามักมีเรื่องกับจี้หรูเฟิ่งทั้งในที่ลับและที่แจ้ง พวกเขามีปากเสียงกันอยู่เป็นประจำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ในบรรดาพี่น้องสี่คนในรุ่นนี้ของตระกูลจี้ต่างก็มีพรสวรรค์ คุณธรรมและนิสัยแตกต่างกันไป แต่หากกล่าวถึงวรยุทธ์และความสามารถในการค้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่เก่งที่สุดก็คือจี้ชางคง
ดังนั้นจี้ชางคงจึงได้รับสืบทอดตำแหน่งประมุขของตระกูลอย่างเป็นเอกฉันท์ตั้งแต่ 15 ปีก่อนโดยไม่เคยสั่นคลอน
ส่วนนอกเหนือไปจากอาวุโสทั้งสามคนแล้ว ความเข้าใจของจี้เทียนซิงที่มีต่อผู้บริหารระดับสูงอีก 9 คนในห้องโถงนั้นไม่ได้ลึกซึ้งมากนัก จะกล่าวว่าไม่รู้จักเลยก็ไม่ผิด
เขารู้แค่เพียงว่าทั้ง 9 คนนี้ มี 5 คนเป็นคนของตระกูลสาขา และอีก 4 เป็นสมาชิกตระกูลนอกรัฐ
ดูเหมือนว่าตระกูลสาขาทั้ง 5 จะมีทัศนคติแบบเดียวกับจี้หรูเฟิ่ง แต่ตระกูลนอกรัฐอีก 4 นั้นยังคงภักดีต่อจี้ชางคงเสมอ
ณ จุดนี้ทุกคนต่างก็ได้เห็นจี้เทียนซิง บุตรชายประมุขของตระกูลจี้ที่กำลังเดินเข้ามาในห้องโถง ทุกคนต่างหันไปมองทันที
จี้หรูเฟิ่ง, จี้ชางเหอและบรรดาผู้บริหารทุกคนในห้องต่างมองไปที่จี้เทียนซิงด้วยสายตาที่ราวกับกำลังจะตรวจสอบ
ชายหนุ่มเพียงเดินเข้ามาในห้องโถงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และตรงไปยังที่นั่งของประมุขที่ตำแหน่งแรก
ตอนนี้เขาเป็นผู้ถือป้ายประมุขและดำรงตำแหน่งแทนบิดา ซึ่งเขาควรจะนั่งตำแหน่งแรก
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเดินไปยังที่นั่งประมุขและกำลังจะนั่งลง จี้ชางเหอก็เอ่ยปากขึ้น
“เทียนซิง ทุกคนในที่นี้ต่างก็อาวุโสกว่าเจ้า ไฉนเจ้าถึงข้ามหัวผู้อาวุโสไปนั่งที่นั่งประมุขเล่า ?”
“ไม่ใช่ว่าลุงสามคิดจะสอนสั่งเจ้าให้มากความหรอก แต่เจ้าทำเกินไปหรือเปล่า ?”
จี้ชางเหอกล่าวด้วยรอยยิ้มจนดูราวกับผู้อาวุโสที่กำลังสั่งสอนรุ่นเยาว์ในโอวาท
จี้เทียนซิงมุ่นหัวคิ้วและกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “ท่านพ่อมอบป้ายประมุขของตระกูลให้ข้า ตอนนี้ข้าก็เหมือนเป็นประมุขตระกูลจี้ ข้านั่งในตำแหน่งหลักมันผิดปกติตรงไหนเล่าท่านลุง ?”
จี้หรูเฟิ่งแสยะยิ้มออกมาอย่างสะอิดสะเอียนพลางตอบกลับชายหนุ่มไปว่า “ตระกูลจี้ไม่ใช่ของจี้ชางคงเพียงผู้เดียว มันมอบป้ายประมุขให้เจ้าเป็นการส่วนตัวโดยมิได้ถามความเห็นของบรรดาอาวุโสและเหล่าผู้บริหาร เช่นนี้นับว่าถูกต้องหรือไง ?”
“นอกจากนี้ตระกูลจี้ของเราก็มีอำนาจล้นฟ้าและมีกิจการครอบครองไปทั่วทั้งรัฐนภากระจ่าง การขึ้นเป็นประมุขของตระกูลชั้นสูงเช่นนี้ควรเป็นผู้มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊”
“เจ้ามันเป็นเพียงเด็กน้อยที่ขนยังไม่ขึ้น เจ้าคิดว่ามีความสามารถพอที่จะควบคุมดูแลทุกอย่างในตระกูลได้งั้นหรือ ? การเป็นประมุขตระกูลชั้นสูงมิใช่การเล่นพ่อแม่ลูก !”
“หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาจนส่งผลกระทบต่อรากฐานและความปลอดภัยของสมาชิกตระกูลจี้นับพัน เจ้ารับผิดไหวหรือ ?!”
จี้หรู่เฟิ่งร่ายยาวอย่างไม่เก็บงำอีกต่อไป เขาวิจารณ์อย่างชอบธรรมราวกับว่าไม่เห็นหัวและไม่เห็นด้วยกับการที่จี้เทียนซิงขึ้นรับตำแหน่งประมุขตระกูลจี้
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วด้วยความขุ่นเคืองพลางถามอีกฝ่ายอย่างเย็นชาว่า “ท่านลุงสอง ท่านพร่ำมายืดยาวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ? ท่านคิดว่าข้าไม่เหมาะกับตำแหน่งประมุขก็เลยคิดจะอ้างความเหมาะสมเพื่อบีบบังคับให้ข้ายกตำแหน่งให้ท่านหรือไง ?”
จี้หรูเฟิ่งเหลือบมองด้วยหางตาและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ก็ไม่เชิง ข้าได้ปรึกษากับบรรดาอาวุโสและผู้บริหารหลายท่านแล้ว ข้าเห็นว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอจะขึ้นเป็นประมุขตระกูลจี้”
“ดังนั้นเจ้าต้องส่งมอบป้ายประมุขออกมา ข้าจะเป็นผู้เก็บรักษามันไว้เองจนถึงเวลาสมควร”