ตอนที่ 1 หอวิญญาณ
หอวิญญาณ
โลงศพสัมฤทธิ์วางอยู่ใจกลางหอ ทั่วโลงสลักด้วยลวดลายโบราณวิจิตรงดงามตระการตา มีทั้งรูปภาพวิหค แมลง มัจฉา ดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาว
สตรีผู้หนึ่งในชุดคลุมสีขาวยาว กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าโลงแสดงท่วงท่าไว้อาลัยแก่ผู้วายชนม์ในโลง
ภายนอกหอวิญญาณ มันคือดินแดนที่ถูกสร้างโดยน้ำมือของผู้เป็นเจ้าของโลก ซึ่งขณะนี้กำลังมีเหล่าตัวตนที่น่าสะพรึงมากมายกำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดอยู่เต็มฟากฟ้า
เสียงสัประยุทธ์ดังสนั่นเลือนลั่นไปทั่วปฐพี โลหิตไหลนองแดงฉานไปทั่วหล้า
แต่กลับกันในหอวิญญาณยังคงเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใด
สตรีชุดขาวยังคงก้มกราบคำนับอยู่เช่นเดิม สีหน้าของนางไร้อารมณ์ไม่มีทั้งเศร้าหรือสุข นางสงบนิ่งราวกับทะเลสาบที่เวิ้งว้าง
“เหอะ ๆ เป็นเช่นนี้งั้นหรือหลังจากที่ข้าตายจาก?”
ซูอี้หัวเราะ แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
มีเพียงเฉพาะตอนที่เขามองดูหญิงสาวเป็นครั้งคราวเท่านั้นที่แววตาของเขาอ่อนโยนลง
ก่อนที่เขาจะละสังขาร เขาเคยท่องไปทั่วทุกแดนดินและทุกชั้นสวรรค์ ใช้ดาบและสองมือสยบทุกโลกหล้าจนท้ายที่สุดก็กลายเป็นผู้นำแห่งเก้ามหาแดนดิน และได้รับสมญานามเป็น ‘ปรมาจารย์หมื่นวิถี’ ซึ่งเป็นผู้เดียวตั้งแต่บรรพกาลที่ได้รับสมญานามนี้ และนอกจากนี้ ด้วยความเลิศล้ำไร้เทียมทานในด้านดาบ เขายังได้รับอีกสมญานามหนึ่งคือ ‘ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน’
ทว่าในยามที่เรื่องราวความตายของเขาปรากฏ
ทุกสิ่งอย่างได้แปรเปลี่ยน!
“ฮ่าฮ่าฮ่า หรงชิงหมิง เหลียนต้าเต๋า นับตั้งแต่นี้ข้าขอรับหน้าที่ดูแล ‘เตาหลอมสวรรค์’ ของซูเสวียนจวิน*[1]ให้เอง!”
จู่ ๆ เสียงร้องดังปรากฏภายนอกหอวิญญาณ น้ำเสียงแสดงถึงอาการยินดีอันเด่นชัด
ซูอี้เงยมองขึ้นเห็นปีกสีทองขนาดมหึมาของพญาปักษาตนหนึ่ง ปีกคู่นั้นกว้างใหญ่ราวกับมวลเมฆลอยล่องบนฟากฟ้าพร้อมทั้งสาดส่องแสงทองอร่ามปกคลุมไปทั่วภูเขาและแม่น้ำยาวไกลนับพันลี้
หลังจากสิ้นเสียงกู่ร้อง ปักษามหึมาก็โฉบลงผ่าฟากฟ้าก่อนจะยื่นสองกรงเล็บขนาดยักษ์ คว้าจับเข้าที่เตาหลอมสามขาสีแดงชาดใบหนึ่ง
“แม้แต่วิหคน้อยตัวนี้ก็ทรยศหักหลังข้า…” ซูอี้ถอนหายใจ
เรื่องราวเมื่อแปดหมื่นปีก่อนเขายังคงจดจำได้ พญาปักษาปีกทองคำตัวนี้เคยหมอบคลานมายังหน้าภูเขาทางเข้าตำหนักของเขา คุกเข่าอยู่สิบวันสิบคืน เพื่อร้องขอรับใช้และติดตามอยู่ใต้บัลลังก์
หากใจมันนั้นซื่อสัตย์ มันคงยังอยู่ที่เดิมและฝึกฝน
แต่แล้วขณะนี้เจ้าเดรัจฉานตัวนี้กลับแอบอ้างนามตัวซูอี้ และช่วงชิงเตาหลอมสวรรค์ไปเป็นของตนเอง
มันเป็นอีกหนึ่งในผู้ทรยศ!
“ซูเสวียนจวินติดค้างพวกเรา ‘สำนักดาบอิงฮัว’ อยู่แปดร้อยเก้าสิบสามชีวิต แถมยังช่วงชิงสิ่งตกทอดอันสูงสุดของสำนักข้า ‘คัมภีร์ดาบหมื่นทิศ’ วันนี้พวกเรามาทวงหนี้แค้น ผู้ใดกล้าหยุดยั้ง โทษของมันคือประหาร!”
หลังจากกล่าวคำจบ ผู้พูดฟาดฟันดาบอย่างรุนแรงส่งปราณดาบอัสนี เข้าใส่นักพรตเต๋าในชุดแดงผู้หนึ่งที่ยังคงภักดีต่อซูอี้
นักพรตเต๋าผู้นั้นกรีดร้องและถูกสังหารดับดิ้นภายใต้กระบวนท่าเดียว!
ซูอี้ขมวดคิ้ว
สำนักดาบอิงฮัว? เดิมนั้นเป็นเพียงสำนักอันเล็กจ้อย
บรรพชนของพวกเขา ครั้งหนึ่งเคยมีศิษย์เข้าร่วมเพียงสามสิบหกชีวิต
แต่ด้วยการคุ้มกันด้วยอำนาจของเขา ลานดาบทะยานจึงก้าวหน้าขึ้นเรื่อยมา จนกระทั่งกลายเป็นหนึ่งในสำนักใหญ่แห่งเก้ามหาแดนดิน
ทว่าขณะนี้ผู้คนของสำนักดาบอิงฮัวบุกมา กล่าววาจาอ้างว่าเขาติดค้างแปดร้อยเก้าสิบสามชีวิตต่อพวกมัน?
ไร้สาระสิ้นดี!!
อย่าได้กล่าวถึง ‘คัมภีร์ดาบหมื่นทิศ’ มันเป็นสิ่งที่เขามอบให้เจ้าสำนักดาบอิงฮัวด้วยตนเองซะด้วยซ้ำ!
เห็นได้ชัดว่าหลังจากทราบถึงความตายของเขา สำนักดาบอิงฮัวเกิดเหตุดลใจขึ้นมา กุเรื่องทวงหนี้แค้นเพื่อเป็นโอกาสในการปล้นชิง
“จิตใจผู้คนเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ไม่เคยเป็นอื่นใดเกินกว่านี้” ซูอี้อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ ห้วงอารมณ์ขณะนี้เริ่มดิ่งลง
ในช่วงก่อนที่จะตาย เขาหาได้เคยกระทำผิดต่อคนใกล้ตัวไม่
“เจ้าพวกใจคดทั้งหลาย! ซูเสวียนจวิน เป็น ‘ปรมาจารย์หมื่นวิถี’ ที่พวกเรานับถือ พวกเราจะไม่ทนเห็นการเอารัดเอาเปรียบของพวกเจ้าที่คิดช่วงชิงสมบัติของปรมาจารย์หมื่นวิถีไป!”
ท่ามกลางสมรภูมินองเลือด กลุ่มตัวตนที่น่าหวั่นเกรงตะโกนร้องเสียงดังด้วยท่าทีชอบธรรมราวกับเป็นผู้ผดุงคุณธรรม
“ฮึ่ม! วาจาสูงส่งสวนทางการกระทำ! พวกเจ้าเองก็มาที่นี่เพื่อปล้นชิงสมบัติเมื่อทราบถึงความตายของโจรเฒ่าซูไม่ใช่หรือไร?”
“ผายลมทั้งเพ!”
คนหนึ่งเอ่ยคำโต้แย้งแค่นเสียง
“จงดูในมือเจ้าก่อนเถอะ! นั่นคือเถาวัลย์เซียนพฤกษา ป้ายหยกใหญ่ โคมอัคคีเทวะเก้ามังกร ขวดหยกหมื่นประกาย… มีอันใดบ้างไม่ใช่ของที่ซูเสวียนจวินหลงเหลือไว้?”
“หากเจ้าจริงใจ เหตุใดไม่เอาสมบัติเหล่านั้นใส่ลงโลงศพซูเสวียนจวินและฝังกลบไปพร้อมกัน?”
…เหล่าตัวตนที่น่าเกรงขามต่างแค่นเสียง
โลกหล้ายังคงสั่นคลอน การสู้รบอันดุเดือดยังคงดำเนินไป
ร่างทั้งหลายที่เข้าร่วมศึกนองเลือด ล้วนเป็นยอดฝีมือจากเก้ามหาแดนดินทั้งสิ้น พวกเขาประมือกัน สังหารกัน เกิดเป็นภาพฉากอันชวนสะพรึง
แต่ในสายตาของซูอี้ เรื่องราวทั้งหมดล้วนน่าขบขัน!
ครั้งที่เขายังมีชีวิต สารเลวเหล่านี้ล้วนให้ความนอบน้อมและเชื่อฟัง
ทว่าหลัง ‘ความตาย’ ของตัวเขา พวกมันกลับแห่กันมาเพื่อปล้นชิงสมบัติของเขา!
“ก่อนตายและหลังความตาย ช่างแตกต่างยิ่งนัก”
ซูอี้ละสายตากลับมามองที่สตรีผู้ซึ่งคุกเข่าตรงหน้าโลงสัมฤทธิ์ในหอวิญญาณ ท่าทีค่อยผ่อนคลายลง “โชคยังดี เด็กน้อยชิงถังยังคงเป็นเหมือนเช่นเคย…”
ครั้งชิงถังอายุสิบสาม นางติดตามเขาเพื่อฝึกฝนจนเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งหมื่นแปดพันเก้าร้อยปีที่เก้ามหาแดนดิน และได้รับสมญานาม ‘จักรพรรดินีชิงถัง’
ในสายตาของคนนอก ชิงถังคือจักรพรรดินีคือผู้สูงส่ง ผู้ซึ่งเป็นตัวตนที่น่าหวั่นเกรงลึกล้ำ แม้กระทั่งตัวตนในระดับเดียวกันยังต้องรู้สึกว่าด้อยกว่า
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ นางไม่เคยแสดงท่าทีโอ้อวดหรือผยอง นอกจากการบ่มเพาะแล้ว นางเพียงอยู่รับใช้ข้างกายซูอี้ด้วยความเคารพนอบน้อมเสมอมา
“ศิษย์น้อง เจ้าพิทักษ์คุ้มกันวิญญาณอาจารย์มาเจ็ดวันแล้ว หากยังไม่ไปตอนนี้ พวกเราคงไม่อาจรอดพ้น!”
ทันใดนี้เองที่ร่างสูงสง่าพลันก้าวเดินเข้าสู่หอวิญญาณ ชุดสีขาวของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยร่องรอยความเสียหายพร้อมปรากฏคราบเลือดราวกับเพิ่งผ่านศึกนองเลือดครั้งใหญ่มา แต่กายของเขายังคงแผ่พลังอันชวนสะพรึงไม่ขาดสาย
ผีหมัว!
ผู้นำศิษย์ใกล้ชิดทั้งเก้าภายใต้บัลลังก์ซูอี้ นาม ‘จักรพรรดิสงครามผีหมัว’ เขาเป็นผู้ติดตามฝึกฝนข้างกายซูอี้มาทั้งสิ้นสามหมื่นเก้าพันปี
ชิงถังผู้ซึ่งคุกเข่าตรงหน้าโลงค่อยลุกขึ้น น้ำเสียงของนางเย็นเยือกและเฉยชา
“ศิษย์พี่ ก่อนที่อาจารย์ล่วงลับ เก้าผู้สืบทอดเช่นพวกเราต่างแยกย้ายกันไปแล้ว เหตุใด… ท่านจึงกลับมา?”
ผีหมัวขมวดคิ้วเล็กน้อย ถ้อยคำอันเที่ยงธรรมกล่าวออก “ข้าหรือจะสามารถทนรับชมเหล่าผู้ทรยศและศัตรูทำลายทุกสิ่งอย่างที่อาจารย์หลงเหลือไว้ได้? อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่เจ้า ศิษย์น้องกลับยังไม่ไปไหน แต่เลือกอยู่คุ้มกันวิญญาณที่นี่ ศิษย์พี่เช่นข้าจะไปที่ใดได้?”
ชิงถังสำรวจมองอีกฝ่าย ดวงตาอันงดงามจับจ้องผีหมัวอย่างเย็นเยือกประหนึ่งคมมีด “เรื่องราวดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้ว ศิษย์พี่ยังไม่คิดกล่าวความจริงอีกงั้นหรือ?”
นัยน์ตาผีหมัวแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย “ศิษย์น้องหมายความถึงอะไร?”
“ยังจะมีอะไรอีกได้?”
ร่องรอยความเย้ยหยันปรากฏที่ริมฝีปากชิงถัง “ผู้อื่นอาจไม่ทราบ แต่ข้าทราบดี ศิษย์พี่ ตลอดมาท่านหมายตา ‘ดาบเก้าคุมขัง’ อยู่ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องนี้”
ผีหมัวสีหน้าแปรเปลี่ยน เสียงกลับกลายเป็นเงียบงัน ทว่าไม่ช้ากลับเผยยิ้ม สายตาพลันเย็นเยือก “ศิษย์น้องหญิง เจ้ากล้ากล่าวหรือไม่ว่าที่เจ้ายังคอยปกปักษ์วิญญาณที่นี่ ไม่ใช่เพราะดาบเล่มนั้นเช่นกัน?”
ชิงถังไม่ปฏิเสธ ใบหน้าขาวนวลงดงามของนางยังคงสงบเหมือนดังเคยพร้อมกล่าวคำ “ศิษย์พี่กล่าวได้ผิดแล้ว ข้าอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพียงเพื่อดาบเก้าคุมขัง”
“แล้วเพื่ออะไรอีก?” ผีหมัวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
ชิงถังมองออกไปภายนอกหอวิญญาณ รับชมเหล่าตัวตนใจคดทั้งหลายซึ่งกำลังต่อสู้กันเลือนลั่น ก่อนกล่าวถ้อยคำอันสงบออกมา “สิ่งที่อาจารย์เหลือไว้ก่อนตาย…ข้าต้องการทั้งหมด!”
ทุกถ้อยคำกล่าวออกด้วยท่าทีเรียบนิ่งและสงบ แต่ยามถึงถ้อยคำสุดท้าย ร่างอันเพรียวงามของชิงถัง กลับเผยสภาวะพลังอันยิ่งใหญ่ออกมา
“ทั้งหมด…”
ผีหมัวชะงักงันไปครู่ ไม่ช้าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา สีหน้านั้นราวกับเผยการเย้ยหยัน
“เกินคาดคิดนัก ในบรรดาพวกเราเก้าผู้สืบทอด หนึ่งเดียวที่หิวกระหายกว่าผู้ใดกลับเป็นศิษย์น้องเล็ก! หากอาจารย์ยังมีชีวิตและได้เห็นเรื่องราว ท่านคงไม่นึกแน่ว่าชิงถัง ผู้ซึ่งตนรักและเชื่อใจที่สุดจะละโมบได้ถึงเพียงนี้!”
ผีหมัวเอ่ยเสียงดังลั่นโดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว ซูอี้รับชมอยู่ข้างเคียงมาโดยตลอด
ซูอี้หาได้สนใจไม่ว่าพญาปักษาปีกทองหรือสำนักดาบอิงฮัวจะทรยศหักหลังเขาเช่นไร และยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกศัตรูผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นซึ่งมาย่ำเท้าหน้าประตู เขายิ่งไม่สนใจแล้วใหญ่
กระนั้นยามได้เห็นว่าผู้สืบทอดของตนที่เล็งเห็นค่าเอาไว้อย่างสูงล้ำ เช่นผีหมัว รวมถึงผู้ซึ่งตนเอ็นดูที่สุดเช่นชิงถัง ถึงกับมีแผนการเป็นของตนเองเช่นที่เห็นตอนนี้
เขากลายเป็นนิ่งงัน
เพียงสมบัติชิ้นเดียว กลับทำให้สองศิษย์หันเผชิญหน้าต่อกัน นี่เป็นเรื่องโศกโดยแท้!
ชิ้ง!
ฉับพลันชิงถังลงมือ โคจรพลังในชั่วพริบตาก่อนจะฟาดฟันดาบราวกับสายฟ้าฟาด! ผีหมัวไม่อาจต้านทานดาบศิษย์น้องของตนได้แม้แต่น้อย เขากลายเป็นบาดเจ็บสาหัสในชั่วพริบตา!
“ไม่นึกเลยว่าหญิงโสมมเช่นเจ้าจะเก็บซ่อนความแข็งแกร่งได้ดีเยี่ยมถึงเพียงนี้!”
ระหว่างตะโกนสบถอย่างอาฆาต ผีหมัวก็รีบหนีเอาชีวิตรอดออกจากหอวิญญาณอย่างตื่นตระหนก
เขาไม่เคยนึกว่าศิษย์น้องของตนจะถึงกับแปรเปลี่ยนเป็นชวนสะพรึงเกินคาดคิดได้
กระทั่งซูอี้ยังชะงักงัน การกระทำศิษย์คนเล็กของเขาผู้นี้เกินเลยจินตนาการของเขาไปไกล
ผีหมัวไม่คิดอยู่ต่อ เขาเร่งหลบหนีหายวับไปในชั่วอึดใจ
ชิงถังไม่ไล่ตาม ทว่ายืนโดดเดี่ยวตรงหน้าโลงสัมฤทธิ์ในหอวิญญาณ ริมฝีปากยังคงเหยียดอย่างเย้ยหยัน ทั้งยังพึมพำ
“หากอาจารย์ทราบว่าศิษย์เอกของตนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดคนแรกกับสำนักหกมหาวิถีจะเป็นเช่นไร?”
“ยังคงมีศิษย์พี่สามหัวเหยา แม้ว่าเวลานี้ไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วม แต่เมื่อตอนที่เดินทางจากไปล่าสุดกลับขโมย ‘กระจกเทวะปฐมลึกล้ำ’ ไปด้วย เพียงแค่สมบัติชิ้นนั้น ก็มากพอทำให้เขาก้าวสู่ ‘ขอบเขตจักรพรรดิ’ แล้ว…”
ชิงถังถอนหายใจเสียงเบา
สีหน้าซูอี้กลายเป็นมืดหม่นยิ่งขึ้น
ยามนี้เขาได้ทราบ ว่าศิษย์เอกที่ตนเชื่อใจที่สุด แท้จริงกลับเลือกหักหลังนำหมาป่าเข้ามากัดตนถึงบ้าน!
และยังได้ทราบ หัวเหยาผู้เป็นศิษย์ลำดับที่สาม กลับขโมยสมบัติที่ค้ำจุนปกป้องดินแดนมาตุภูมิที่เขาสร้างแห่งนี้ ‘กระจกเทวะปฐมลึกล้ำ!’
ขณะนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเหล่าผู้ทรยศและศัตรูทั้งหลายถึงรุกรานเข้าพื้นที่ของตนเองง่ายดายเพียงนี้…
ยิ่งนึกถึง ซูอี้ทั้งกราดเกรี้ยวและผิดหวัง
ขณะนี้เอง ฉับพลันชิงถังก้าวเดินออกจากหอวิญญาณ
ร่างเพรียวบางอันงดงามของนาง ประหนึ่งโดดเดี่ยวในโลกหล้า ดวงตาคู่อันงดงามและเฉยชานั้นกวาดมอง พร้อมเอ่ยถ้อยคำอันเย็นเยือก
“นับจากวันนี้ ชิงถังผู้นี้จะเป็นผู้ปกครองแห่งมหาแดนดิน!”
ฟึ่บ!
ปราณดาบยักษ์พลันปรากฏจากกายนาง มันตวัดฟาดฟันขึ้นเบื้องบน ปกคลุมทั้งผืนฟ้าและผืนดิน ทำการสังหารเหล่าตัวตนผู้แข็งแกร่งไปคนแล้วคนเล่าอย่างง่ายดาย
เพียงชั่วอึดใจ
ปฐพีถูกอาบย้อมด้วยเลือดมากกว่าครู่ก่อนจนเปรียบได้ดั่งทะเลโลหิต!
เหล่าตัวตนผู้เลิศล้ำที่ซึ่งยังคงหลงเหลือชีวิตต่างหวาดเกรง พวกเขาต่างรู้สึกเย็นเยือกราวกับตกอยู่ในยุคน้ำแข็ง
“ยอมจำนนหรือรับความตาย… จงเลือกมา!”
บรรยากาศคาวเลือดอันชวนสะพรึง ชิงถังกล่าวคำออกอย่างเฉยชา น้ำเสียงนี้แผ่ขยายกว้างสู่ทั้งเก้าสวรรค์สิบชั้นดิน
“จักรพรรดินีจงเจริญ!”
“จักรพรรดินีจงเจริญ!”
เมื่อประจักษ์เห็นอำนาจที่สะท้านของชิงถัง เหล่าตัวตนผู้เป็นใหญ่ทั้งหลายทำได้เพียงโค้งศีรษะ!
“เด็กน้อยผู้นี้…”
นัยน์ตาของซูอี้หดเล็กลง ใจไม่อาจสงบนิ่งได้อีก เขาไม่นึกว่าศิษย์ตนเช่นชิงถังจะก้าวมาถึงจุดนี้
เดิมนั้นเขาผู้เป็นอาจารย์ควรแสดงความยินดี
ทว่าตอนนี้ มันมีเพียงความรู้สึกอันยากบรรยาย โดดเดี่ยว และอ้างว้าง
ชั่วขณะนี้ราวกับตัวเขาไม่เข้าใจ ศิษย์คนเล็กซึ่งตนรักและเอ็นดูที่สุด ไฉนจึงมีความคิดแอบแฝงต่อตัวเขาได้เช่นนี้?
ไม่นานจากนั้น ชิงถังสำรวจมองรอบก่อนจะเดินกลับเข้าหอวิญญาณ
นางมองไปยังโลงสัมฤทธิ์พร้อมโค้งกายทำความเคารพอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวถ้อยคำอันสงบออกมา
“อาจารย์ ศิษย์ชิงถังพิทักษ์วิญญาณท่านทั้งสิ้นเจ็ดวันแล้ว และช่วยท่านสยบเหล่าผู้ทรยศและศัตรู ความรักระหว่างศิษย์และอาจารย์คงต้องหมดลงที่ตรงนี้”
“นับจากนี้ข้าจะสืบทอดทุกสรรพสิ่งซึ่งท่านหลงเหลือเอาไว้เอง”
หลังจากพูดจบ นางเงยหน้าขึ้นและก้าวเดินต่อ เมื่อถึงโลงสัมฤทธิ์นางยกฝ่ามือทาบฝาโลงพร้อมเอ่ยถ้อยคำแผ่วเบา
“ข้ามิอาจปล่อยให้ดาบเก้าคุมขังฝังไปพร้อมกับท่านในกาลนี้ รอคอยศิษย์จนไขถึงความลับของดาบกระจ่าง ข้าจะนำมันหวนคืนสู่ท่านอาจารย์ หากถึงเวลานั้นขออย่าได้กล่าวโทษข้าที่รบกวนการหลับพักของท่าน…”
ตู้ม!
นางผลักฝาโลงสัมฤทธิ์จนกระเด็นออก
แต่พริบตานี้เอง ชิงถังผู้ซึ่งมีสีหน้าอันสงบมาโดยตลอด กลับต้องเผยสีหน้าแปรเปลี่ยนอันหาได้ยากยิ่ง
“เป็นไป…”
ภายในโลงสัมฤทธิ์ ว่างเปล่า!
อย่าได้กล่าวถึงดาบเก้าคุมขัง แต่กระทั่งร่างของซูอี้ก็เลือนหาย!
ซูอี้ผู้ซึ่งรับชมเรื่องราวโดยตลอด นัยน์ตาขณะนี้วาวโรจน์ด้วยโทสะ
แม้ก่อนตัดสินใจไปถือกำเนิดใหม่ เขาได้เตรียมใจเผื่อไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องราวหยาบช้าขึ้น
แต่กระนั้นเรื่องราวที่เขาประจักษ์ตอนนี้ มันถือเป็นเรื่องยากที่ใจเขาจะสงบโทสะอดกลั้นลงได้
อย่างไรก็ตามทีละน้อย โทสะในแววตาของซูอี้ลดเลือนลง สุดท้ายกลับเหลือซึ่งเพียงความเฉยชาและเย็นเยือก
“เมื่อใดข้าหวนคืน หวังว่าพวกเจ้าตัวสารเลวทั้งหลายจะยังมีชีวิต!”
ร่างวิญญาณของซูอี้ที่ไม่มีผู้ใดตระหนักทราบ ค่อย ๆ เลือนหายไปเรื่อย ๆ จนเป็นการหายไปโดยสมบูรณ์…
……
ในปีที่หนึ่งแสนแปดพันแห่งมหาแดนดิน ‘ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน’ ผู้เป็นเอกอุเพียงหนึ่งเดียวในเก้ามหาแดนดินได้ลาลับโลก ส่งผลให้เก้าแคว้นต้องสะเทือน
เจ็ดวันให้หลัง
ศิษย์ของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน จักรพรรดินีชิงถังได้ทำหกพันธสัญญา นำความสงบกลับคืนสู่ทวีปเทวะมวลสวรรค์ ทั้งยังได้รับเกียรติอันสูงสุดแห่งโลก
……
ห้าร้อยปีให้หลัง
อาณาจักรโจว เขตปกครองอวิ๋นเหอ เมืองกว่างหลิง (นครมหาสุสาน)
ในช่วงเย็นที่อาทิตย์ใกล้อัสดง
ภายนอกสำนักดาบซ่งอวิ๋น
ซูอี้ยืนเพียงลำพังไกลห่าง รอคอยเหวินหลิงเสวี่ยผู้เป็นน้องภรรยากลับออกจากสำนัก
[1] ซูเสวียนจวิน หมายความถึง มหาลึกล้ำแห่งซู เป็นหนึ่งในสมญานามของซูอี้
← ตอนก่อน