Sign in Buddha’s palm 32 มารพุทธะ

 

 

จริงๆ แล้วซูฉินไม่ได้มีแผนการจะไปยังเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง ทั้งนี้เขายังรับรู้ได้อีกว่ามีกลิ่นอายจางๆ ของยอดปรมาจารย์อยู่ที่ภูเขาด้านหลังนี้

 

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ซูฉินกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว ความเข้าใจในพลังของเขาสูงขึ้นมาก และการเข้าไปด้านในก็ไม่ใช่สิ่งที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั่วไปจะรู้สึกถึงตัวตนของเขาได้

 

“ไปดูสักหน่อยดีกว่า”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวก็ตัดสินใจได้

 

ด้านนอกของเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง มีภิกษุจำนวนมากคอยเดินตรวจตราตลอดเวลา และมีจำนวนมากกว่าหอคอยสะกดมารเสียอีก

 

ด้วยการรักษาความปลอดภัยระดับนี้ ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งต้องการจะลอบเข้าไปที่ภูเขาด้านหลังก็มิอาจกระทำได้

 

แต่สำหรับซูฉินก็แค่เรื่องยุ่งยากที่แก้ได้ในไม่กี่ขั้นตอน

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ปล่อยรัศมีไปรอบกายหลายสิบฝ่ามือ ประจวบกับการปิดบังกลิ่นอายด้วยกายา ทั้งสองสิ่งผสานกันทำให้ซูฉินลัดเลาะหลบผ่านเหล่าสงฆ์ที่ลาดตระเวนข้ามมายังพื้นที่หวงห้ามด้านหลังภูเขาได้ในชั่วพริบตา

 

หลังจากเข้าไปในภูเขาด้านหลัง วิสัยทัศน์ของเขาก็แหลมคมขึ้นมาก ซูฉินระมัดระวังตัวขึ้นมาฉับพลันก่อนจะเดินเข้าไปยังส่วนลึก

 

“ความรู้สึกเช่นนี้?”

 

ซูฉินหยุดเดินกะทันหันแล้วกดนวดไปที่ระหว่างคิ้ว

 

ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งเดินลึกเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง องค์ยูไลทองคำที่เป็นสัญลักษณ์ของวิชาฝ่ามือยูไลก็กระจายแสงนวลออกมา

 

“จะต้องมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับฝ่ามือยูไลอยู่ในเขตหวงห้าม”

 

ซูฉินคาดเดา

 

ฝ่ามือยูไล เคล็ดวิชาฝ่ามือที่แข็งแกร่งที่สุดของวัดเส้าหลิน เป็นที่รู้จักกันในฐานะวิชาที่ถ่ายทอดมาจากองค์ยูไล แต่ก็ได้หายสาบสูญไปแล้วเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

นอกจากการสูญเสียฝ่ามือยูไลไป เมื่อเก้าร้อยปีก่อนก็ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ถึงขนาดเกือบจะทำลายวัดเส้าหลินลง

 

ภัยร้ายจากมารพุทธะ

 

ซูฉินมีความคิดเชื่อมโยงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่าการหายไปของฝ่ามือยูไลจะต้องเกี่ยวข้องกับมารพุทธะ

 

“ฝ่ามือยูไลเป็นเคล็ดวิชาระดับ ‘อรหันต์‘ มีเพียงการบรรลุถึงระดับ‘อรหันต์‘ เท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใจแก่นของฝ่ามือยูไลได้”

 

“และเก้าร้อยปีที่แล้วก็มีตัวตนอย่าง‘อรหันต์‘ อยู่รูปเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ในวัดเส้าหลิน แล้วภายหลังจึงค่อยๆ ล่วงลับไปเนื่องจากเหตุการณ์การปราบมารพุทธะ ผลก็คือการหายไปของฝ่ามือยูไล”

 

ความคิดของซูฉินวกวนไปมา พยายามที่จะสืบหาความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

“อรหันต์ในวัดเส้าหลินยามนั้นเพียงแต่ปราบปรามมารพุทธะ แต่ไม่ได้สังหารมัน แสดงว่าอรหันต์ผู้นั้นไม่สามารถสังหารมารพุทธะได้ และสามารถใช้เพียงวิธีสะกดเพื่อกำจัดมารพุทธะและภัยพิบัติต่อของเส้าหลินในรูปแบบนี้เท่านั้น”

 

ในขณะที่ซูฉินเดินเข้าไปส่วนลึกของภูเขาด้านหลัง

 

ไม่นานจากนั้น

 

เนินเขาสีทองซีดๆ ห้าลูกปรากฏในลานสายตาของซูฉิน

 

“นี่คือ?”

 

รูม่านตาของซูฉินหดตัวลง ใบหน้าขึ้นสี

 

หากมองจากระยะไกล เนินเขาสีทองทั้งห้าก็เหมือนนิ้วมือห้านิ้วที่ยืดออกไปจรดฟากฟ้า

 

ห้านิ้วเหยียดขึ้นจรดฟ้า เพื่อสะกดมาร!

 

“ฝ่ามือยูไล”

 

“นี่คือฝ่ามือยูไล!!!”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้น

 

เนินเขาทั้งห้านี้แม้จะมีไอพลังไม่ชัดเจน แต่มันก็เริ่มสะท้อนพลังกับองค์ยูไลทองคำที่หว่างคิ้วของซูฉิน

 

“ ‘อรหันต์‘ ในวัดเส้าหลินเมื่อเก้าร้อยปีก่อนใช้ฝ่ามือยูไลในการปราบมารพุทธะ!”

 

ซูฉินมั่นใจในเรื่องนี้มาก

 

ถ้าเป็นคนอื่นหรือแม้แต่เจ้าอาวาสสมัยปัจจุบันของวัดเส้าหลิน กลัวว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้นึกถึงฝ่ามือยูไลยามเมื่อมองไปที่เนินเขาทั้งห้าลูก

 

แต่ซูฉินมีมรดกตกทอดวิชาฝ่ามือยูไล

 

แม้จะใช้ออกมิได้ แต่ลมปราณของฝ่ามือยูไลก็ชัดเจนอยู่ในกมล

 

ด้วยความรวดเร็ว

 

ซูฉินก็มาถึงด้านหน้าเนินเขาทั้งห้าและพบร่างผอมแห้งนั่งขัดสมาธิอยู่

 

ร่างทั้งห้าสวมจีวร ปิดตาแน่น และแทบจะไม่มีลมหายใจปล่อยออกมาให้รู้สึกได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเศษเสี้ยวลมหายใจ ซูฉินคงจะคิดไปว่าพระทั้งห้านี้มรณภาพไปนานแล้ว

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ห้ารูป?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเป็นปม

 

ร่างผอมแห้งทั้งห้าจะต้องเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งแน่ๆ แต่ไอพลังของพวกท่านนั้นแปลกมาก

 

จะว่ามีชีวิตก็ไม่เชิง จะตายไปแล้วก็ไม่ใช่อีก

 

“มันควรจะเป็นวิธีลับในการปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในสถานะระงับพลังชีวิตเพื่อยืดอายุขัยออกไปรอเวลาที่จะตื่นขึ้น”

 

ซูฉินคาดเดาในใจ

 

ซูฉินเองก็ได้รับวิชาลับประเภทระงับพลังชีวิตมาเป็นโหล

 

ยามใดที่ใช้วิชาลับประเภทนี้ร่างกายจะแข็งเกร็งโดยสมบูรณ์ สูญเสียความเป็นไปได้ที่จะก้าวหน้าต่อไป ความคิดต่างๆ จะถูกระงับไว้ราวกับจมดิ่งสู่ความมืดมิดชั่วนิจนิรันดร์

 

สภาพเช่นนี้ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับทุกคน ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งยอมตายในการต่อสู้ดีกว่าจะยอมทนทุกข์ทรมานเช่นนี้

 

สำหรับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าที่อยู่ด้านหน้าเนินเขาห้าเนินนั้น ทั้งหมดมีเหตุผลก็เพราะต้องป้องกันไม่ให้มารพุทธะหลุดออกจากตราประทับ ถูกบังคับกักขังอยู่ระหว่างสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า

 

แน่นอนว่าด้วยพลังของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้ายังห่างไกลจากความสามารถในการสะกดมารพุทธะ แต่มันจะเพียงพอก็ต่อเมื่อรวมพลังเข้ากับตราประทับที่ถูกประทับทิ้งไว้โดยฝ่ามือยูไล

 

“เฮ้อ….”

 

ซูฉินถอนหายใจเล็กน้อย

 

“มารพุทธะ…”

 

ซูฉินเบนสายตาแล้วมองไปที่เนินเขาสีทองจางๆ ทั้งห้า

 

ตอนที่ซูฉินเข้ามา ถึงแม้เนินเข้าสีทองซีดทั้งห้าลูกจะปลดปล่อยอำนาจกดทับทุกสรรพสิ่งออก เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงไอมารที่ลึกล้ำด้านใน

 

“ยังไม่ตายแม้จะผ่านไปกว่าเก้าร้อยปีอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

ตามการบันทึกของวัดเส้าหลิน แม้แต่การคงอยู่ของอรหันต์หรือตำนานยุทธอย่างมากสุดก็มีชีวิตอยู่ได้ถึงห้าร้อยปีเท่านั้น

 

ในเมื่อมารพุทธะถูกปราบโดยอรหันต์ นั่นหมายความว่าระดับพลังของมันย่อมไม่ต่างไปจากอรหันต์มากนัก ตามหลักเหตุผลแล้วหลังจากเก้าร้อยปีผ่านไป มารพุทธะควรจะไม่เหลือแม้ขี้เถ้าแล้ว จะมีไอพลังออกมาได้อย่างไร?

 

เมื่อซูฉินนึกถึงเรื่องนี้

 

ครืน!!

 

เนินเขาทั้งห้าก็สั่นไหวเล็กน้อย

 

พระภิกษุสวมจีวรสีทองปรากฏตัวขึ้นมองลงมาที่ซูฉินแล้วกล่าวว่า “ศิษย์สาวกแห่งองค์ยูไล ในเมื่อเจ้าสามารถเข้ามาถึงภูเขาด้านหลังแห่งนี้ได้ เจ้าย่อมต้องได้รับมรดกของข้าไป เข้ามาสิและสืบทอดเส้นทางสายพุทธสืบไป”

 

เสียงไพเราะเอื้อนเอ่ย

 

หากเป็นจอมยุทธทั่วไป แม้กระทั่งยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ภายใต้น้ำเสียงอันเสนาะหูนี้จะต้องตกตะลึงยามเมื่อคิดไปถึงมรดกอันน่ามหัศจรรย์อยู่ด้านในส่วนลึกของภูเขาด้านหลัง

 

ตาของซูฉินสะท้อนสีสันแปลกๆ และตัวของเขาก็เดินลึกเข้าไปด้านในภูเขา

 

จากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็มาถึงถ้ำพระพุทธ

 

มีพระพุทธรูปนับไม่ถ้วนเรียงรายไปทั่วทุกทิศทุกทาง และมีพลังพุทธคุณโอบล้อมพุทธรูปเหล่านั้น

 

“ในเมื่อเจ้าเป็นพุทธสาวก ไยไม่รีบคุกเข่าลงเสียเล่า!”

 

พระที่สวมจีวรสีทองปรากฏกายอีกครา

 

อย่างไรก็ตาม

 

ซูฉินไม่ได้สนใจและยังยืนอยู่แบบนั้น เขาถึงขนาดจ้องตรงไปที่พระรูปนั้น

 

“พุทธศาสนาให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม ไฉนจึงต้องคุกเข่าเล่า?”

 

ซูฉินกล่าวคำอย่างสบายๆ

 

“ถูกต้อง” ราวกับกำลังคิดอะไรบางสิ่ง พระภิกษุชุดสีทองพยักหน้าเล็กน้อยแล้วมองไปที่ซูฉินอย่างเห็นด้วย “ด้วยอายุที่ต่ำกว่าสามสิบแต่มาถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว พรสวรรค์แฝงเร้นของเจ้าเพียงพอที่จะติดห้าอันดับแรกของวัดเส้าหลินในรอบหนึ่งพันปีเลยเชียวนะ”

 

“โอ้?”

 

ซูฉินมองไปที่พระจีวรสีทองอย่างสนอกสนใจ “แล้วท่านเป็นใครหรือ?”

 

“ฉายาทางธรรมของข้าก็คือ ‘ถัวอา‘ ‘ถัวอาหลัวฮั่น‘[1]”

 

ภิกษุจีวรสีทองพูดอย่างเคร่งขรึมและใจเย็น

 

อรหันต์‘ถัว‘ เป็นอรหันต์ที่ปราบมารพุทธะในวัดเส้าหลินเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

แต่นั้นมาก็ไม่มีศิษย์คนใดขึ้นไปถึงระดับอรหันต์อีกเลย

 

“ถัวอา?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินราวกับเขาได้ยินเรื่องตลก

 

พระห่มคลุมจีวรสีทองขมวดคิ้วและกำลังจะเอ่ยบางอย่าง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในเวลาต่อมา

 

รอยยิ้มของซูฉินค่อยๆ จางหายไป เขามองอย่างเย็นชาและพูดบางอย่างที่ทำให้พระจีวรทองถึงกับเปลี่ยนสีหน้า

 

“ข้าควรจะเรียกเจ้าว่า‘มารพุทธะ‘เสียมากกว่าหรือเปล่า……”

 

 

———————————————————

[1] อาหลัวฮั่น (阿罗汉) หมายถึง พระอรหันต์

ในส่วนถัวอาเข้าใจว่าชื่อต้นคือถัว แล้วเติม อา () ไปที่ท้ายชื่อเพื่อสื่อถึง ‘อาหลัวฮ่าน‘ อาจจะเป็นการย่อคำเพื่อใช้ในการตั้งฉายาธรรม หากเข้าใจผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ในที่นี้ด้วยครับ