ตอนที่ 270 ความขุ่นเคืองของพี่สามจ้าว

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

ตอนที่ 270 ความขุ่นเคืองของพี่สามจ้าว
ตอนที่ 270 ความขุ่นเคืองของพี่สามจ้าว

จ้าวเหวินเทาคิดได้แบบรอบด้าน พี่สาวกลับมาก็ยังมีที่ให้พัก จะปล่อยให้พวกหล่อนไปค้างคืนกับลุงจ้าวไม่ได้

เมื่อดูฟาร์มกระต่ายเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็มาที่หน้าประตูใหญ่ของฟาร์มกระต่าย ที่นี่มีลักษณะภูมิประเทศแบบที่ราบสูง ยืนจากตรงนี้สามารถมองเห็นจุดที่อยู่ห่างออกไปได้ จึงมองเห็นสวนไม้ผลได้พอดี สีเขียวขจีเป็นผืนกว้าง คล้ายกับเมฆสีเขียว ห่างออกไปมีภูเขาเขียวเชื่อมต่อเป็นเส้น ถูกโอบล้อมด้วยแม่น้ำ ลุงจ้าวพูดด้วยอารมณ์ความรู้สึก “เป็นสถานที่ที่ดีเลยนะ เป็นสถานที่ที่ดีจริง ๆ!”

จ้าวเหวินเทาก็พยักหน้า เป็นสถานที่ที่ดีจริง ๆ สถานที่ที่ดีแบบนี้เขาอยากเป็นเจ้าของทั้งหมดเลย

ฟาร์มกระต่ายเสร็จแล้ว พนักงานมากันครบแล้ว สมาชิกหลักและกระต่ายก็เข้ามาอยู่กันแล้ว อย่ามองว่าเป็นการเปลี่ยนสถานที่ใหม่ สำหรับกระต่ายแล้วสถานที่แห่งนี้ดีกว่าที่เดิมที่เคยอยู่ไม่รู้ตั้งกี่เท่า หลังจากถูกปล่อยออกมาก็วิ่งเล่นอย่างมีความสุข ตอนแรกจ้าวเหวินเทาแอบกังวลใจกลัวว่าพวกมันจะปรับตัวเข้ากับน้ำและดินไม่ได้จนกระทั่งเจ็บป่วย แต่หลายวันผ่านไปก็พบว่ากระต่ายกระโดดดึ๋ง ๆ มีชีวิตชีวา และสุขภาพร่างกายแข็งแรงมาก เขาจึงเบาใจลง แต่ก็ยังกำชับพวกพนักงาน ต้องทำความสะอาดรังกระต่ายให้สะอาด ไม่ว่าจะเป็นมูลของกระต่ายหรือขยะจากการใช้ชีวิตประจำวันล้วนนำมาหมักเพื่อใช้เป็นปุ๋ยได้ แต่อย่าหมักแล้วนำไปเผาทิ้ง

ไม่แปลกใจเลยที่จ้าวเหวินเทาจะระวังขนาดนี้ มีสัตว์มากขนาดนี้จริง ๆ ถ้าทำความสะอาดไม่ดีก็จะป่วยได้ หากป่วยก็จะตายกันเป็นวงกว้าง แบบนั้นไม่ใช่เรื่องสนุกเลย หัวหน้าแผนกเซี่ยเคยบอกไว้ว่า การเพาะพันธุ์ อย่างแรกคือสุขอนามัยเป็นเรื่องใหญ่ ไม่สามารถทำแบบขอไปทีได้ ดังนั้นจ้าวเหวินเทาจึงมีความต้องการในด้านของสุขอนามัยสูงมาก ไม่เพียงแค่ในฟาร์มกระต่ายที่ต้องทำความสะอาดวันละสามครั้ง แต่ด้านนอกฟาร์มกระต่ายก็ต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่ด้วย จะปล่อยให้มีขยะไม่ได้

“ผมเห็นคนในเมืองทำงานเกี่ยวกับก๊าซชีวภาพด้วย ของนั่นไม่เลวเลยนะ ขยะก็นำมาใช้ประโยชน์ได้ แถมยังเป็นการกำจัดขยะด้วย” จ้าวเหวินเทาพูดกับภรรยา

เมื่อมีโทรศัพท์ก็ได้ติดต่อกับโจวหมิ่นบ่อยขึ้น ตอนแรกโจวหมิ่นเขียนจดหมาย ส่งนิตยสารและหนังสือพิมพ์รวมถึงของอื่น ๆ มาหานาง เย่ฉูฉู่ไม่เพียงแค่เข้าใจโลกภายนอกเท่านั้น แต่เธอยังเข้าใจถึงสิ่งอื่นมากขึ้นด้วย รวมไปถึงก๊าซชีวภาพ

“ฉันได้ยินมาว่าก๊าซชีวภาพต้องเป็นช่วงหน้าร้อนถึงจะทำได้ ตอนนี้ฤดูหนาวของเราหนาวขนาดนั้น จะทำได้เหรอคะ?” เย่ฉูฉู่แอบสงสัย

“ไม่รู้สิ” จ้าวเหวินเทากล่าว “ผมจะลองไปถามดูว่าทำได้ไหม ถ้าทำได้ก็ทำ คนเยอะขยะก็ต้องเยอะ คุณยังไม่เห็นในเมือง ขยะนั่นกองจนกลายเป็นภูเขาเลากาเลยนะ ผมไม่อยากให้บ้านเราเป็นแบบนั้น”

เย่ฉูฉู่ยิ้ม “คุณคิดไปไกลมากเลยนะ”

จ้าวเหวินเทากล่าว “ภรรยา ผมจะบอกอะไรให้นะ ยิ่งเข้าไปในเมืองมากขึ้น ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าที่บ้านของเราดีกว่า มีทั้งภูเขามีทั้งน้ำ นี่คือสมบัติเลยนะ! ไม่อาจปล่อยให้เกิดหายนะกับสมบัติของเราได้!”

บางทีจ้าวเหวินเทาก็ไม่ได้ตระหนักว่าสภาพแวดล้อมของบ้านตัวเองก็สุดยอดมาก

ฟาร์มกระต่ายดำเนินการตามปกติ คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวก็ย้ายไปอยู่แล้ว ย่อมต้องเริ่มทำอาหารด้วย ตอนนี้เต้าหู้ของพี่สามจ้าวเริ่มส่งไปที่ฟาร์มกระต่ายแล้ว

“เจ้าหกคนนี้แม้แต่พี่ชายแท้ ๆ ก็ยังคิดเล็กคิดน้อย แถมยังซื้อเต้าหู้ในราคาส่งอีก เห็นแก่เงิน!” พี่สามจ้าวบ่นกับพี่สะใภ้สามจ้าว

พี่สามจ้าวทราบเรื่องที่จ้าวเหวินเทาต้องการซื้อเต้าหู้ของเขาในราคาขายส่งแล้ว เขาก็ตื่นตัวได้ในทันที ไม่มีใครสู้จ้าวเหวินเทาได้เลย!

สิ่งนี้ทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฟาร์มกระต่ายเป็นแค่สิ่งเดียวที่จะเป็นลูกค้าที่ใกล้และสามารถซื้อเต้าหู้ของเขาได้อย่างเสถียรที่สุด คิดจะรับลูกค้านี้ก็ต้องขายตามราคาส่ง ถ้าไม่อยากได้ก็แค่ปล่อยผ่าน ฟาร์มกระต่ายไม่กินเต้าหู้ก็ยังใช้ชีวิตต่อไปได้ เขาไม่ขายเต้าหู้ก็ยังใช้ชีวิตได้ แต่เขาจะยอมปล่อยรายได้ส่วนนี้ไปเหรอ? เขาทำใจไม่ได้อยู่แล้ว!

ผลลัพธ์ที่ได้ก็พอจะจินตนาการได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่ยอมขายราคาส่ง

พี่สามจ้าวโกรธจนกัดฟันกรอด แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

“คุณไม่อยากขายก็ไม่ต้องขาย ก่อนหน้านี้ไม่ได้ขายเต้าหู้ก็ยังมีชีวิตต่อไปได้ไม่ใช่เหรอ?” พี่สะใภ้สามจ้าวพูดอย่างเฉยเมย

พี่สามจ้าวคิดว่าความโชคร้ายที่สุดของเขาคือการแต่งงานกับภรรยาโง่เขลาคนนี้

“คุณไม่ดูบ้างเหรอว่าก่อนหน้านี้คุณกินอะไร ตอนนี้กินอะไร? ก่อนหน้านี้กินก้อนผักดองเค็มกับน้ำเกลือ ตอนนี้ล่ะ ได้กินเนื้อทุกมื้อ นั่นคือเงินที่ได้จากการขายเต้าหู้!” พี่สามจ้าวโกรธจนแค่นเสียง ‘เหอะ’ ออกมา

พี่สะใภ้สามจ้าวไม่ทำแล้ว นี่คือลืมตาพูดคำบอด [1] ไม่ใช่เหรอ!

“กินเนื้อทุกมื้อ นี่คุณกำลังฝันอยู่รึเปล่า บ้านเรากินเนื้อทุกมื้อตั้งแต่เมื่อไร ตอนที่ยังไม่แยกบ้าน ได้กินเนื้อของคาวแบบสามสี่วันครั้ง แต่หลังจากคุณทำเต้าหู้ ก็ได้กินผักดองเค็มกับน้ำเกลือประจำ มีแค่ตอนข้ามปีนี่แหละที่ซื้อเนื้อกลับมานิดหน่อย คุณไปดูสมุดบัญชีคุณสิ ดูเงินเก็บของคุณ ถ้ากินเนื้อทุกมื้อ บนนั้นยังจะมีเงินเหรอ? ตั้งแต่คุณขายเต้าหู้ ไม่ใช่แค่ไม่ได้กินของดีนะ ฉันยังต้องเหนื่อยจนไข้จับอีก จนถึงตอนนี้แค่ทำงานหนักนิดหน่อยก็ปวดแขนทั้งสองข้างแล้ว ยังมีหน้ามาพูดว่ากินเนื้อทุกมื้ออีก พูดมาได้ยังไง คุณนี่มันจริง ๆ เลย!”

พี่สามจ้าวหน้าดำเป็นก้นหม้อ โต้แย้งอย่างสุดกำลัง “ผมก็แค่พูดไปแบบนั้น แค่พูดเข้าใจไหม? เนื้อที่กินตอนข้ามปีไม่ใช่เงินจากขายเต้าหู้เหรอ เสื้อใหม่ที่คุณใส่ไม่ได้มาจากการขายเต้าหู้เหรอ ยังจะมาพูดว่าปวดแขนอีก สำออย! จะกินเนื้อทุกมื้อได้จริงเหรอ แบบนั้นยังจะมีชีวิตรอดต่อไปได้หรือไง?”

พี่สะใภ้สามจ้าวคร้านจะสนใจเขาแล้ว “อย่าลืมนะ ยังมีกระต่ายด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ฉันกับลูก ๆ ช่วยกันดูแล ขายกระต่ายก็ทำให้พวกเราแม่ลูกได้กินเนื้อแล้ว!”

พี่สามจ้าวโกรธมาก “ก็ได้ งั้นคุณก็พึ่งพากระต่ายเพื่อกินเนื้อก็แล้วกัน หลังจากนี้ก็อย่ามาขอเงินจากผม!”

พี่สะใภ้สามจ้าวจึงกล่าว “เอาสิ กินเนื้อใช้เงินจากกระต่าย รายจ่ายในบ้านคุณเป็นคนดูแล กล้าไหมล่ะ!”

“ทำไมต้องให้ผมเป็นคนดูแล?”

“ก็คุณเป็นสามี เป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว แต่งงานกับสามีให้สามีหาเสื้อผ้าและข้าวให้ ฉันยังไม่ได้ขอเนื้อสัตว์จากคุณเลย คุณจะเรื่องมากทำไม?”

โอ้โห ภรรยาคนนี้พลิกฟ้าแล้วยังกล้าพูดจาเหิมเกริมกับเขาอีก ไม่รู้จริง ๆ สินะว่าเจ้าสามจ้าวอย่างเขาเก่งกาจขนาดไหน!

พี่สามจ้าวหยิบรองเท้าขึ้นมาเพื่อจะทุบตีหล่อน พี่สะใภ้สามจ้าวย่อมไม่เปิดโอกาสให้เขาอยู่แล้ว หล่อนหมุนตัววิ่งออกมาพร้อมกับตะโกน “เจ้าสามจ้าว ถ้าคุณกล้าลงมือกับฉันแม้แต่ปลายนิ้ว ฉันจะไปบอกแม่ของคุณตอนนี้เลย! คุณเดาได้เลยว่าแม่จะทำยังไงกับคุณ แม่ต้องไปบอกน้องหกว่าไม่ให้ซื้อเต้าหู้ของคุณ ราคาขายส่งก็ไม่ต้องการแล้ว ดูสิว่าคุณจะทำยังไง!”

“เมียโง่อย่างกับหมูแบบเธอ ทำไมฉันถึงได้ซวยมาแต่งงานกับเธอด้วยวะ!” พี่สามจ้าวกระทืบเท้าด้วยความโกรธ

พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าวเสียงเรียบ “นี่ถ้าคุณยังไม่ไปใส่ดีเกลือลงในน้ำเต้าหู้ คงได้ไหม้ติดก้นหม้อแน่”

คำพูดนี้ได้ผลจริง ๆ พี่สามจ้าวรีบใส่รองเท้าแล้ววิ่งออกไป ปากก็พูดด้วยถ้อยคำรุนแรง “รอก่อนเถอะ กลับมาเมื่อไหร่ฉันจัดการเธอแน่!”

พี่สะใภ้สามจ้าวก็ไม่กลัว หล่อนพอจะมองออกว่าอย่าขี้ขลาดต่อหน้าสามี หากขี้ขลาดไปหนึ่งครั้ง ครั้งหน้าเขาก็จะทำรุนแรงยิ่งขึ้น คิดจะลงมือก็ลงมือเลย สู้ไม่ได้ก็หนี เมื่อคุณไม่กลัวว่าจะอายคนอื่นคนที่อายก็จะกลายเป็นเขา ดังนั้นจะขี้ขลาดไม่ได้!

พี่สะใภ้สามจ้าวเดินไปทำงานที่ต้องทำอย่างสงบจิตสงบใจ

เป็นเพราะฟาร์มกระต่ายต้องการเต้าหู้ พี่สะใภ้รองจ้าวและพี่สะใภ้สี่จ้าวก็เริ่มทำเต้าหู้กันแล้ว พี่รองจ้าวและพี่สี่จ้าวไปทำงานในนา แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ หนึ่งวันจึงทำได้เพียงแค่หนึ่งหม้อ ทำไม่ทันจริง ๆ เพราะเรื่องทำสวนลงนาเป็นเรื่องใหญ่

พี่สามจ้าวมาเติมดีเกลือด้วยความร้อนรน พี่สะใภ้รองจ้าวก็กล่าวว่า “น้องสาม เต้าหู้ที่เธอทำดีขนาดนี้ ให้ราคาขายส่งไม่ค่อยคุ้มเท่าไรมั้ง ฉันว่าเอาไปผลิตกับเครื่องจักรเถอะ”

ที่สำคัญคือถ้าขายราคาขายส่ง พี่สะใภ้รองจ้าวก็จะได้ค่าจ้างน้อยด้วย

พี่สามจ้าวโกรธพี่สะใภ้สามจ้าวอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็บ่นกับพี่สะใภ้รองจ้าว

“ทำไมฉันถึงได้แต่งงานกับเมียแบบนี้กันนะ! ฉันนี่โคตรซวยเลยจริง ๆ!” พี่สามจ้าวพูดรัวเร็วด้วยความโมโห

…………………………………………………………………………………………………………………………

[1] ลืมตาพูดคำบอด (睁着眼说瞎话) ประมาณว่า ทั้ง ๆ ที่เห็นว่าฝนตกอยู่ แต่บอกว่าอากาศดี

สารจากผู้แปล

งกมาก ๆ ระวังจะไม่ได้อะไรเลยนะพี่สาม

ไหหม่า(海馬)