บทที่ 278 วันพรุ่งนี้เราจะต้องชนะแน่นอน
“เดี๋ยวนะ ข้าสามารถพูดก่อนได้หรือไม่?” ไป๋ชินหยุนยกมือขึ้น
“ไม่ได้” หลินเป่ยเฉินปฏิเสธทันควัน “เจ้าต้องฟังสิ่งที่หัวหน้ากลุ่มกำลังจะพูดเท่านั้น”
เมื่อเขาไม่อนุญาต ใครก็พูดไม่ได้ทั้งนั้น
ไม่มีผู้ใดโต้แย้ง
“ข้ากำลังจะบอกความลับสำคัญให้พวกเจ้าได้รู้ เหตุผลที่บิดาข้าสามารถสู้รบในสงครามและเอาชนะศึกมากมายได้อย่างปาฏิหาริย์นั้น นอกจากความแข็งแกร่งส่วนตัวและวิสัยทัศน์ในการวางกลยุทธ์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ บิดาข้ามีวิชาลับจากสวรรค์ที่เรียกว่าวิชา ‘ไหมฟ้าสยบโลกา’ และนั่นก็คือการแบ่งปันพลังของท่านให้แก่นายทหารคนอื่นๆ ในกองทัพได้นั่นเอง…”
หลินเป่ยเฉินพยายามเรียบเรียงคำพูดให้ดูน่าเชื่อถือมากที่สุด แม้แต่แววตาของเขาก็ขึงขังเอาจริงเอาจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“วิชาเช่นนี้ข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง เกิดข่าวลือมานานแล้วว่ากองทัพฝึกวิชาลับโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ บางคนก็บอกว่ามันคือวิชาเทพเจ้าจำแลงกาย บางคนก็บอกว่ามันคือวิชาดับตะวันสะบั้นจันทรา แล้วก็มีอีกหลายชื่อตามแต่คนจะเรียกขาน แต่โดยรวม ความสามารถของวิชาเหล่านี้ก็คือการแบ่งปันพลังให้แก่นายทหารในกองทัพเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ผู้ที่เป็นคนจ่ายพลังเหล่านั้น ต้องมีวิทยายุทธ์สูงส่งและเข้าใจแผนการรบเป็นอย่างดี…”
อ้าว…
เป็นอีกครั้งที่หลินเป่ยเฉินได้แต่เบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
เขาแค่พูดไปมั่วๆ
ปรากฏว่าวิชาที่เขามโนขึ้นมาทั้งดุ้นนั้น มันมีอยู่จริงๆ ด้วย
หลินเป่ยเฉินรับฟังมี่หรู่หยานพูดต่อไปโดยไม่ได้ขัดอะไร
“แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อวิชาไหมฟ้าสยบโลกามาก่อน”
หลินเป่ยเฉินพูดอยู่ในใจว่า ก็เขาก็อปมาจากชื่อไหมฟ้าปาฏิหาริย์ ถ้ามี่หรู่หยานเคยได้ยิน ก็คงพิสดารเกินไปแล้ว
“ไม่แน่บิดาข้าอาจเป็นคนคิดค้นวิชานี้ขึ้นมาเองก็เป็นได้” หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มและกล่าวต่อ “วิชาไหมฟ้าสยบโลกาเป็นอะไรที่ละเอียดซับซ้อน ข้าเพิ่งจะใช้ได้เพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของมันเท่านั้น บัดนี้ ข้าจะสาธิตการใช้งานให้ดูว่าข้าสามารถแบ่งปันพลังให้พวกเจ้าได้อย่างไรบ้าง…”
พูดจบ เขาก็เชื่อมต่อสัญญาณไวฟายกับเพื่อนทั้ง 4 คน
ฮันปู้ฟู่ เยว่หงเซียง ไป๋ชินหยุนและมี่หรู่หยานพร้อมใจกันส่งเสียงครางดังสนั่นเรือ
…
“เมื่อสักครู่นี้ พวกเราไม่ได้ตาฝาดไปแน่นอน” ตงฟางจันพูดด้วยความกระตือรือร้น “หลินเป่ยเฉินเกือบจมน้ำตาย โชคดีที่เยว่หงเซียงว่ายน้ำเข้าไปช่วยเหลือเอาไว้ทัน”
มู่อวี่ซุนกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “เมื่อสักครู่นี้ ข้าได้แอบใช้ศิลาบันทึกภาพทั้งหมดเอาไว้ด้วย พี่เฉาคงอยากดูแล้ว”
จากนั้น เขาก็หยิบศิลาก้อนหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ และส่งมอบให้แก่เฉาพั่วเถียนที่นั่งหน้านิ่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องพัก
ศิลาก้อนนั้นถ่ายภาพหลินเป่ยเฉินกำลังตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดอยู่ในท้องทะเล ก่อนจะถูกช่วยเหลือขึ้นมาบนเรือและอาเจียนเอาน้ำทะเลออกมาหมดไส้หมดพุง
เฉาพั่วเถียนมีแต่ต้องเห็นภาพเหล่านี้เท่านั้นเขาถึงจะเชื่อ
“ใครจะไปคิดนะว่าจุดอ่อนของหลินเป่ยเฉินคือเขากลัวทะเล”
มู่อวี่ซุนพูดด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ “และช่างเป็นโชคร้ายที่การแข่งขันชิงธงในปีนี้ ต้องมาแข่งกันในทะเลเสียด้วย แม้แต่สวรรค์ก็ไม่เมตตาเขาอีกแล้ว”
เจิ้งโจวพูดขึ้นมาบ้างว่า “พี่เฉาขอรับ เราอาศัยจุดอ่อนของเขา วางกลยุทธ์โจมตีดีหรือไม่ ถ้าเราวางแผนอย่างรัดกุม นอกจากจะเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้แล้ว ดีไม่ดีเราอาจจะสังหารเขาได้ โดยที่ไม่มีใครเอาผิดท่านได้เลยสักคนเดียว เพียงเท่านี้ หลินเป่ยเฉินก็จะไม่อยู่รกสายตาท่านอีกต่อไปแล้ว”
ผลงานที่ผ่านมาในการแข่งขันประจำปีนี้ของเจิ้งโจวจัดว่าอยู่ในระดับปานกลาง และการที่เขาถูกเฉาพั่วเถียนเลือกให้เป็นสมาชิกกลุ่ม ก็เป็นเรื่องราวที่เจิ้งโจวประหลาดใจตนเองอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
เฉาพั่วเถียนพยักหน้าโดยไม่พูดคำใด
เขาหยิบไหสุราออกมารินใส่ชามกระเบื้อง 4 ชามที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า
สุราสีเขียวเหล่านั้นส่งกลิ่นฉุนแปลกประหลาด
ตงฟางจันยกชามกระเบื้องขึ้นดื่มของเหลวที่อยู่ในนั้น พลัน เขาก็รู้สึกว่าพลังลมปราณในร่างกายไหลเวียนได้อย่างสะดวกปลอดโปร่งมากขึ้น ดวงตาของเด็กหนุ่มลุกวาว เนื่องจากรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
แต่ในจังหวะนั้นเอง
หลินอี้ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาภายในห้อง
“คารวะพี่ใหญ่เฉา” หลินอี้ประสานมือคำนับนอบน้อม “ขออภัยด้วยที่ข้าน้อยมาสาย พอดีที่บ้านเกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะขอรับ”
เฉาพั่วเถียนค่อนข้างดูแลเอาใจใส่หลินอี้เป็นพิเศษ
เพราะเด็กหนุ่มคนนี้เป็นผู้ที่มีฝีมือดีที่สุดในกลุ่มของเขา
เฉาพั่วเถียนถึงกับวางแผนระยะยาวที่จะให้หลินอี้เป็นมือขวาคนสนิทในอนาคต และนำตัวกลับไปฝึกกระบี่ที่เมืองไป๋หยุนด้วยกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น เฉาพั่วเถียนก็ยิ้มแย้มพูดว่า “ไม่เป็นไร วันนี้เป็นแค่การเตรียมพร้อมเล็กน้อย สิ่งสำคัญคือการแข่งขันวันพรุ่งนี้ต่างหาก ข้าไม่มีอะไรจะพูดทั้งนั้น มาดื่มเฉลิมฉลองชัยชนะล่วงหน้าของพวกเรากันดีกว่า”
เด็กหนุ่มผมทองพูดจบก็ยกชามกระเบื้องขึ้นสูง
บริวารของเขาทั้ง 4 คนยกชามกระเบื้องขึ้นกระดกดื่มของเหลวที่อยู่ในนั้นจนหมด
พริบตาต่อมา เมื่อของเหลวไหลลงคอ มันก็เปลี่ยนเป็นพลังงานที่ทะลวงไปตามแขนขาและจุดก่อกำเนิดลมปราณในร่างกาย กลุ่มเด็กหนุ่มรู้สึกร้อนวูบวาบ ราวกับว่าเลือดในร่างกำลังเดือดพล่าน พลังลมปราณของพวกเขาพุ่งขึ้นสูง ให้ความรู้สึกที่คึกคักกระฉับกระเฉง
นี่มันอะไรกัน?
เด็กหนุ่มทั้งสี่ตกตะลึงและดีใจในเวลาเดียวกัน
หรือว่านี่จะเป็นยาเพิ่มพลังลมปราณ?
แม้จะสามารถเพิ่มพลังได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
เฉาพั่วเถียนเป็นลูกศิษย์ของเมืองไป๋หยุน แน่นอนว่าต้องมีของดีติดไม้ติดมือมาฝากสมาชิกร่วมกลุ่มอยู่แล้ว
“การได้ติดตามพี่ใหญ่เฉาร่วมศึกชิงธงในครั้งนี้ นับเป็นเกียรติแก่ชีวิตของข้าเหลือเกิน”
เจิ้งโจวพูดขึ้นเป็นคนแรก เพราะหวังที่จะประจบเอาใจเฉาพั่วเถียน “วันพรุ่งนี้ไม่ว่าพี่ใหญ่จะสั่งให้ข้าทำสิ่งใด ข้าคนนี้ไม่มีทางปฏิเสธเด็ดขาด”
ตงฟางจันระเบิดเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า “คิดถึงภาพความทุลักทุเลของหลินเป่ยเฉินในวันนี้แล้ว ข้าก็นึกไม่ออกเลยว่าผลสุดท้าย เขาจะมีสภาพย่ำแย่สักแค่ไหน”
มู่อวี่ซุนพูดว่า “วันพรุ่งนี้เราจะต้องชนะแน่นอน พวกมันเป็นเสมือนลูกไก่ในกำมือของเราแล้ว”
หลินอี้ยิ้มมุมปากแสดงถึงความอวดดี พูดว่า “วันพรุ่งนี้หลินเป่ยเฉินจะได้รู้รสชาติความเจ็บปวดที่ทรยศตระกูลหลินของข้า”
เฉาพั่วเถียนหัวเราะออกมาแผ่วเบา “กลุ่มของเราช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน ข้ามีกระบี่มาให้พวกเจ้าด้วย นี่เรียกว่ากระบี่พายุหมุนห้าดาว ถือเป็นของขวัญให้พวกเจ้าคนละเล่มสำหรับค่ำคืนนี้ จงดื่มกินให้เต็มที่ ถ้าไม่เมาพวกเราไม่เลิก”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินอี้ ตงฟางจัน เจิ้งโจวและมู่อวี่ซุนที่มีความสุขอยู่แล้ว ยิ่งมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมไม่รู้อีกกี่เท่า
…
บนเรือของหลินเป่ยเฉิน
“ฮ่าฮ่าฮ่า วันพรุ่งนี้พวกเราจะต้องชนะแน่นอน”
ไป๋ชินหยุนตวัดดาบใหญ่ด้วยสองมือและหัวเราะเหมือนคนเสียสติ
“วิชาไหมฟ้าสยบโลกาช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน มันทำให้ข้ามีพลังอยู่ในขั้นเดียวกับปรมาจารย์ระดับที่ 2 แล้ว”
เยว่หงเซียงอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
ฮันปู้ฟู่พยายามเก็บอาการไม่แสดงความดีใจออกนอกหน้า พูดว่า “พรุ่งนี้เราจะต้องชนะ”
มี่หรู่หยานก็พูดออกมาอย่างมีความสุขเช่นกัน “ข้าไม่เคยคิดเลยว่ากองทัพจะมีวิชาลับที่สามารถเพิ่มพลังลมปราณได้อย่างดีเยี่ยมเช่นนี้ พี่หลิน วิชาไหมฟ้าสยบโลกาของบิดาท่าน ทำให้ข้ามีพลังอยู่ในขั้นเดียวกับปรมาจารย์ระดับ 3 แล้ว นี่ขนาดท่านสามารถใช้มันได้เพียงเศษเสี้ยวเดียว ไม่รู้เลยว่าถ้าสามารถใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ พวกเราจะมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มออกมาด้วยความพอใจ “ข้าถึงได้บอกไงล่ะว่าขบวนการโป๊งโป๊งฉึ่งของพวกเราต้องชนะแน่นอน และพวกคนที่ไม่ยอมเข้าร่วมกลุ่มกับข้า มันจะต้องเสียใจในภายหลัง อิอิ การแข่งขันวันพรุ่งนี้ เรามีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น คือทำทุกอย่างเพื่อเป็นผู้ชนะให้ได้ ข้ายังมีของดีอีกหลายอย่างที่ไม่ได้ใช้ออกมา และเมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเจ้าจะยิ่งตกใจมากกว่านี้อีก!”
นี่มันอะไรกัน?
ชื่อกลุ่มของพวกเขาเปลี่ยนเป็นขบวนการโป๊งโป๊งฉึ่งไปแล้วหรือ?
แต่ก็ไม่มีใครพูดขัดหลินเป่ยเฉินสักคำเดียว
เมื่อสามารถใช้วิชาไหมฟ้าสยบโลกาได้ตามใจชอบ การแข่งขันวันพรุ่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเกินไปแล้ว
ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มของเฉาพั่วเถียน พวกเขาก็มั่นใจว่าสามารถต่อสู้ได้อย่างสูสี
หลินเป่ยเฉินทำให้ทุกคนมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมา
ในระหว่างที่พวกเขากำลังปรับระดับพลังลมปราณจากการกระจายสัญญาณไวฟายอยู่นั้น ก็ได้ปรากฏเรือเล็กลำหนึ่งแล่นฝ่าเกลียวคลื่นเข้ามาหาเรือของพวกเขา
เรือน้อยลำนั้นเหมาะสมกับการแจวในแม่น้ำเล็กๆ มากกว่าที่จะเอามาออกล่องทะเลใหญ่อย่างนี้ ไม่ทราบเลยว่ามันสามารถฝ่ากระแสคลื่นลมมาถึงที่นี่ได้อย่างไร
แต่จังหวะนั้นเอง ทุกคนก็ได้เห็นหญิงผู้หนึ่งยืนอยู่บนหัวเรือ
ผมสีดำปลิวไสว กระโปรงสีขาวโบกสะบัด
สวยงามและสูงส่งราวเทพธิดา
นางยืนนิ่งเป็นรูปปั้น เรือน้อยลำนั้นแล่นฝ่าเกลียวคลื่นด้วยความเร็วเหมือนลูกธนูหลุดออกจากแหล่ง
ให้ตายเถอะ
ไม่มีเครื่องยนต์ ไม่มีคนพาย แล้วเรือมันวิ่งมาได้ยังไงวะเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินถึงกับตกตะลึงไปแล้ว
“ดูเหมือนนางจะมาหาพวกเรานะ”
ฮันปู้ฟู่ส่งเสียงกระซิบ
เสียงของเขายังไม่ทันขาดหาย
เรือเล็กลำนั้นก็แล่นมาจอดอยู่ข้างเรือบรรทุกสินค้าของพวกเขาจริงๆ