ติดกับดัก โดย Ink Stone_Fantasy
ทำไมไม่เห็นใครเลยล่ะ? พอเดินวนที่เรือนพักเดี่ยวรอบหนึ่ง ก็ไปหาศิษย์สำนักงามวิจิตรที่เฝ้าประตูและถามว่า “คนข้างในไปไหนแล้ว?”
“เหมือนจะไปสถานที่พักผ่อนของแดนโพ้นสวรรค์แล้ว” คนเฝ้าประตูตอบ
ไปกันแล้วเหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหมียวอี้ปาดเหงื่อนิดหน่อย ประมุขปราสาทอย่างตนเพ่นพ่านไปทั่ว เหมือนจะทำเกินไปหน่อย จึงรีบออกจากเรือนพักเดี่ยว ถลันตัวเหาะไปยังลานบ้านที่อยู่บนยอดเขา ผลก็คือพบว่าไม่มีแม้แต่คนเฝ้าประตู
เหมียวอี้แปลกใจยิ่งกว่าเดิม เดินเข้าไปแล้วเหลียวซ้ายแลขวา
“ใครกัน?” ในโถงหลักมีเสียงตะคอกดังมา หนึ่งในหญิงรับใช้ของอันหรูอวี้เดินออกมา พอเห็นว่าเป็นเหมียวอี้ ก็คลายความระแวดระวังลง พยักหน้ากล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นประมุขปราสาทเหมียว”
ก่อนหน้านี้เหมียวอี้เคยเห็นนางติดตามอยู่ข้างกายอันหรูอวี้ นางมากับอันหรูอวี้ เมื่อรู้ว่าเป็นคนข้างกายอันหรูอวี้ ก็กุมหมัดคารวะพลางถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านทูตเยว่อยู่มั้ยขอรับ?”
หญิงรับใช้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ไม่อยู่ ไปกันหมดแล้ว คุณชายรองพาบรรดาท่านทูตออกไปหมดแล้ว ท่านทูตเยว่สั่งไว้ก่อนจะไป ว่าถ้าหากประมุขปราสาทเหมียวมาแล้ว ให้ไปที่อยู่เก่าของสำนักงามวิจิตรที่ห่างไปทางทิศเหนือหนึ่งร้อยลี้”
ที่เรียกว่าที่อยู่เก่าของสำนักงามวิจิตร ก็คือที่ตั้งเดิมของสำนักงามวิจิตรที่ย่อยยับลงหลังจากเจดีย์งามวิจิตรพัง สำนักงามวิจิตรในตอนนี้คือสำนักที่ก่อสร้างใหม่ในพื้นที่ใหม่
“ไปที่อยู่เก่าของสำนักงามวิจิตรทำไม?” เหมียวอี้สงสัย
หญิงรับใช้ตอบว่า “ไม่ทราบแน่ชัด ท่านทูตเยว่กำชับไว้อย่างนี้ เหมือนจะพบที่ซ่อนตัวของท่านจื่อหยางที่นั่น”
“…” เหมียวอี้เบิกตากว้างขึ้นหลายส่วน นั่นคือสถานที่ที่เยารั่วเซียนเรียนรู้วิชาจากอาจารย์ มีความเป็นไปได้จริงๆ ว่าเยารั่วเซียนจะหลบอยู่ที่นั่น
เขาแทบจะไม่คิดอะไรมาก กุมหมัดกล่าวอำลาหญิงรับใช้ แล้วเหาะขึ้นฟ้าไปทันที รีบไปยังสถานที่นั้น
หลังจากเหลือบไปเห็นว่าเหมียวอี้ไปทางเหนือจริงๆ หญิงรับใช้ก็หันตัวและหายเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
ระยะทางหนึ่งร้อยลี้ สำหรับวรยุทธ์อย่างเหมียวอี้ถือว่าเสียวลาไม่เยอะเลย เขาเหาะด้วยความเร็วสูงอยู่ใต้แสงจันทร์ และไม่นานก็เห็นป่าอันกว้างขวางบนพื้นที่ราบ เดิมทีสภาพพื้นที่ไม่ได้ราบเสมอกันขนาดนี้ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ หลังจากเจดีย์งามวิจิตรพังในปีนั้น พื้นที่นี้ก็โดนสิ่งของที่อยู่ในเจดีย์ระเบิดไหลดันจนราบ แต่หลังจากผ่านวันคืนนับพันปี พื้นที่ยับเยินหมดสภาพในปีนั้นก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
เมื่อมาที่นี่จะหาเป้าหมายพบได้อย่างชัดเจน สาเหตุก็เพราะหลังจากเจดีย์ถล่ม บริเวณศูนย์กลางของการถล่มมีโคลนเลนค่อนข้างเยอะ สภาพพื้นที่จึงค่อนข้างสูง เหาะตามพื้นที่ราบและค่อยๆ เคลื่อนไปยังพื้นที่สูงก็คือการกระทำที่ถูกต้องแล้ว
หลังจากเหาะลงมาเหยียบบนยอดเขาสูง เหมียวอี้ก็มองไปรอบๆ สายลมเย็นแสงจันทร์กระจ่าง ป่าบนที่ราบโดยรอบลึกทึบและเงียบสงัดราวกับทะเล ที่นี่คือที่อยู่เก่าของสำนักงามวิจิตร แต่ก็ไม่พบเจออะไรเลย
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ เหมียวอี้ก็เกิดความระแวดระวังในใจ เขามาแบบไม่ได้พรางตัวเลยสักนิด อาศัยวรยุทธ์อย่างพวกเยว่เทียนโป เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตเห็นเขา เขาตระหนักได้รางๆ ว่าสถานการณ์ค่อนข้างไม่ชอบมาพากล
อันที่จริงแล้ว พอมาที่นี่เขาก็ไม่มีเวลาให้คิดมากเลย เขาค่อยๆ หันไปมองข้างหลัง ตรงไหล่เขามีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเนิบนาบเข้ามาภายใต้แสงจันทร์ เหมียวอี้ทำสายตาหนักแน่นทันที คนที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน จีเหม่ยเหมย!
และด้านหลังรวมทั้งซ้ายขวาของจีเหม่ยเหมยก็มีคนโผล่ออกมาสี่คน คือท่านทูตทั้งสี่ของแดนปีศาจ เดินล้อมภูขามาครึ่งหนึ่ง
ทั้งสี่ด้านล้วนมีเสียงฝีเท้า พอหันไปมองข้างหลัง เหมียวอี้ก็เบิกตากว้างทันที เป็นผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน ชุยหย่งเจิน ลูกศิษย์ของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน
ส่วนข้างหลังชุยหย่งเจินก็มีคนโผล่มาสี่คน ท่านทูตทั้งสี่ของแดนอู๋เลี่ยงโผล่มาทางซ้ายและขวา ล้อมภูเขาทางนี้เอาไว้ครึ่งหนึ่งเช่นกัน
ทั้งสิบคนล้อมภูเขาเข้ามา ล้อมขังเหมียวอี้ไว้ตรงกลาง แต่ละคนกำลังจ้องเขา บางคนก็ทำสีหน้าเรียบเฉย บางคนก็ไม่แยแส บางคนก็ทำสีหน้าเหยียดหยาม บางคนก็ทำสีหน้าถากถาง
ทั้งสิบคนนี้ นอกจากจีเหม่ยเหมยแล้ว คนอื่นก็เป็นนักพรตระดับบงกชทองทั้งหมด
ตอนแรกเหมียวอี้ตระหนกตกใจ จากนั้นก็ค่อยๆ ทำสีหน้าเย็นเยียบลง กลัวไปก็ไม่มีประโยชน์ อยู่ห่างจากสำนักงามวิจิตรเกินไป ตรงจุดไกลๆ ยังมีแนวภูเขกั้นด้วย ถ้าต่อสู้กันขึ้นมาทางนั้นก็อาจจะไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว อาศัยวรยุทธ์ของเขา ถ้าอยากจะหนีรอดจากเงื้อมมือคนพวกนี้ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ความเร็วสู้อีกฝ่ายไม่ได้
เหตุการณ์แบบนี้ ทั้งยังหลอกล่อให้เขามาที่นี่ ไม่ต้องสงสัยเลย อีกฝ่ายไม่ให้โอกาสเขาได้รอดชีวิตเลย!
จนป่านนี้แล้ว ถ้าเหมียวอี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองติดกับดัก ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนโง่แล้วล่ะ!
เขาหันตัวมองรอบกายอย่างช้าๆ ถึงแม้จะไม่เห็นคนของแดนเซียนมาร่วมด้วย แต่ความโกรธแค้นในใจของเขาก็ยากจะอธิบายออกมาได้
เขามั่นใจได้เลย ว่าคนฝ่ายแดนเซียนมี่เอี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นหญิงรับใช้ของอันหรูอวี้ที่หลอกล่อให้เขามาที่นี่ สามารถหลอกในเขามาติดกับดักได้อย่างไม่มีผิดพลาดแบบนี้ เขามั่นใจได้ว่าอันหรูอวี้ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นหญิงรับใช้ของอันหรูอวี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้เลย
ไม่น่าเชื่อว่านางมารร้ายอันหรูอวี้อยากจะเล่นงานตนให้ถึงตาย! รสชาติในใจของเหมียวอี้ตอนนี้ ไม่อาจหาคำพูดใดมาเปรียบเทียบได้เลย ข้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบแท้ๆ ข้าไม่ใช่เหรอที่โดนผู้หญิงขืนใจ? พอเรื่องราวเปิดโปง เจ้ากลับจะสังหารข้า แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน?
ที่ฝ่ายจีเหม่ยเหมยกับฝ่ายชุยหย่งเจินต้องการฆ่าเขา เขาก็ยังพอเข้าใจได้ ถึงอย่างไรตัวเองก็ฆ่าลูกชายของจีเหม่ยเหมย แล้วก็ฆ่าหลานชายของเฟิงเป่ยเฉินไป แต่ที่อันหรูอวี้อยากจะทำให้เขาตาย เขาไม่เข้าใจเลยว่าผู้หญิงคนนี้คิดได้อย่างไร เขาเคยคิดว่าอันหรูอวี้ต้องกลั่นแกล้งเขาแน่ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรงกว่าเดิม!
จนกระทั่งตอนนี้ เขาเงยหน้ามองดวงจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้า ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ฉินซีเตือนหมายความว่าอะไร ทำไมนางเตือนไม่ให้เขาออกจากสำนักงามวิจิตรโดยพลการ ที่แท้นางก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองกำลังจะมีปัญหา มีแต่เจตนาดีทั้งนั้น แต่น่าเสียดายที่นางยืนอยู่ฝ่ายตรงข้าม ตัวเองอาจจะฟังไม่เข้าหู
ถึงแม้จะให้โอกาสเขาอีกครั้ง เขาก็คงจะไม่เชื่อเหมือนเดิม สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย ใครจะไปเชื่อฟังคำพูดของฝ่ายศัตรูล่ะ!
เป็นเพราะตัวเองประมาทเกินไป ถ้าพาประมุขถิ่นทั้งสี่มาด้วยก็อาจจะไม่ตกอยู่ในอันตรายขนาดนี้ แต่ก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าฝ่ายแดนเซียนจะวางกับดักตนในเวลานี้
เขากางแขนสองข้างเล็กน้อย หมอกสีทองกลุ่มหนึ่งพันรอบร่างกาย เกราะรบของตำหนักสวรรค์ที่มีพลังป้องกันไม่ธรรมดา ตอนนี้สวมใส่อยู่บนตัวแล้ว พอสะบัดแขนในแนวขวาง ดาบยาวสีม่วงที่ปล้นจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ก็ถือเฉียงลงพื้น เขาพลิกมือนำผลของสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาผลหนึ่ง กัดคำหนึ่งแล้วกลืนลงไปทันที ส่วนที่เหลืออีกครึ่งก็เก็บเอาไว้
บนตัวเขาไม่มีสมุนไพรเซียนซิงหัวแล้ว ใช้ไปหมดตอนโดนขังในค่ายกลมารโลหิต เหลือเพียงผลของสมุนไพรเซียนซิงหัวผลสุดท้าย
เมื่อได้เห็นฉากที่เหมียวอี้กัดกินผลไม้ คนที่กำลังล้อมก็ตะลึงงันทันที เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นว่าสิ่งนี้คืออะไร รู้สึกประหลาดใจกับเกราะรบบนตัวเหมียวอี้เช่นกัน เป็นลักษณะที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ไอ้เหมียวจัญไร ในปีนั้นลูกชายข้าก็ตายที่นี่ ตายด้วยน้ำมือของเจ้าอยู่ที่นี่ วันนี้ได้กลับมาเที่ยวสถานที่เก่า รู้สึกยังไงบ้างล่ะ!” จีเหม่ยเหมยเริ่มหัวเราะอย่างแปลกพิศวง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หัวเราะจนตั่วสั่นระริก ในเสียงหัวเราะเจือด้วยความเศร้าอ้างว้าง
“พวกเจ้านี่ใช้ได้เลยนะ แค่รับมือกับข้าคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้นักพรตบงกชทองตั้งเก้าคน ประเมินเหมียวอี้สูงเกินไปแล้ว!” เหมียวอี้แสยะหัวเราะ
ชุยหย่งเจินกลับนับถือในความสุขุมใจเย็นของเขา ขนาดมาถึงขั้นนี้แล้วยังหนักแน่นไม่หวาดกลัว จิตใจแบบนี้หาได้ยากจริงๆ
นางพยักหน้าตอบว่า “ก็ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ นั่นแหละ แต่ไอ้จัญไรอย่างเจ้ามาผ่านเหตุการณ์มามากมายแต่ยังมีชีวิตอยู่ได้ ทางนี้ก็ต้องระวังตัวหน่อยสิ แน่นอน ประเด็นสำคัญคือกลัวเจ้าจะพาผู้ช่วยมาด้วย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าฝ่ายแดนเซียนจะจัดการได้อย่างสวยงามขนาดนั้น ไม่รู้ว่าใช้วิธีการอะไร ไม่น่าเชื่อว่าจะล่อเจ้าออกมาคนเดียวได้ ตัดความยุ่งยากไปไม่น้อยเลย”
เหมียวอี้หันมาถามทันที “คนไหนของแดนเซียนที่สมคบคิดกับพวกเจ้าเพื่อทำร้ายข้า?” เขาคาดการณ์ไว้ว่าเป็นอันหรูอวี้ แต่ก็ยังอยากจะยืนยันให้แน่ใจอีกครั้ง
จีเหม่ยเหมยหัวเราะคิกคัก แล้วตอบว่า “ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนอยากให้เจ้าตายเยอะขนาดนั้น”
เหมียวอี้หันกลับไป เป็นฝ่ายพูดท้าทายก่อนว่า “จีเหม่ยเหมย เจ้าอยากจะล้างแค้นให้ลูกชายใช่มั้ย? เหมียวอี้อยู่นี่แล้ว กล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งมั้ยล่ะ? โอกาสในการล้างแค้นให้ลูกชายด้วยตัวเองอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว จะพลาดไปได้อย่างไร!”
ใบหน้างามของจีเหม่ยเหมยบิดเบี้ยวเล็กน้อย โดนคำพูดของเหมียวอี้ยั่วยุแล้วจริงๆ “สัตว์ที่โดนขังอยู่ในกรง ตอนใกล้ตายยังคิดจะกัดคนอีกเหรอ? ข้ามาเพื่อดูว่าเจ้าจะตายอย่างไร เจ้าเองก็ไม่ต้องยั่วยุข้าหรอก ขนาดเฟิงเสวียนยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าเลย ข้าไม่ได้เก่งกว่าเฟิงเสวียนสักเท่าไร ระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า”
จากนั้นก็กุมหมัดคารวะต่อทุกคนทันที “ทุกท่านโปรดไว้หน้าน้องสาวด้วย จับเป็นมา ข้าจะเฉือนร่างเขาสักพันดาบ ให้เขาได้ลิ้มลองรสชาติเวลาทรมานจนอยู่ไม่ไหว แต่จะตายก็ตายไม่ได้ ข้าจะทรมานเขาให้ตายอย่างช้าๆ ให้เขานึกเสียใจที่ได้มาเกิดบนโลกใบนี้!”
“ต้องไว้หน้าอยู่แล้ว!” ชุยหย่งเจินตอบพร้อมรอยยิ้ม
เหมียวอี้จึงชี้ไปที่จีเหม่ยเหมย “นางคนชั้นต่ำ! ยังไม่แน่หรอกว่าใครจะตาย ถ้าข้ายังไม่ตาย รับรองว่าเจ้าจะต้องเสียใจที่พูดคำนี้ออกมา! ถ้าข้าจำไม่ผิด ในปีนั้นที่ตำหนักดาวประจิม อวิ๋นก่วงคิดอยากนอนกับเจ้ามาตลอด! ถ้าเหมียวคนนี้ยังไม่ตาย จะต้องทำให้เขาสมความปรารถนาแน่นอน!”
จีเหม่ยเหมยกำหมัดสองข้าง ตวาดจนเสียงแตก “จับตัวไอ้จัญไรนี่มา ข้าจะตัดลิ้นสุนัขของมันก่อน!”
“เหมียวอี้ถือดาบอยู่ตรงนี้แล้ว ใครกล้าก็เข้ามาสู้กับข้า!” เหมียวอี้พลันหมุนตัว ชี้ดาบไปที่ชุยหย่งเจิน เป็นฝ่ายเริ่มท้าสู้ก่อน
ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ คนที่เป็นภัยต่อเขาที่สุดก็คือชุยหย่งเจิน เขาจะฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไม่รู้จักความร้ายกาจของเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเพื่อเล่นงานนางสักยก กำจัดคนที่มีภัยคุกคามมากที่สุดทิ้งไปก่อน แบบนี้ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต ถ้าไม่มีชุยหย่งเจินแล้ว พูดด้วยความสัตย์จริงเลยนะ อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสสู้หรอก
นึกถึงในปีนั้นที่เขามีวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นหนึ่ง เขาก็เคยสู้กับฝูงมารปีศาจที่มีหัวหน้าเป็นนักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งสองคนมาแล้ว ตอนนี้วรยุทธ์ของตนถึงระดับบงกชม่วงขั้นเก้าแล้ว ถึงขั้นสูงสุดของระดับบงกชม่วง สัมผัสกับประตูสู่ระดับบงกชทองแล้ว ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะมีคนเยอะ แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับเขา
แต่ชุยหย่งเจินฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เป็นหนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่ เขาจึงไม่กล้าประเมินต่ำ ถ้าอีกฝ่ายสำแดงเคล็ดวิชานี้ขึ้นมา จะต้องไม่ใช่อานุภาพที่ระดับอย่างเฟิงเสวียนเทียบติดแน่นอน ดังนั้นเขาจึงอยากกำจัดนางทิ้งก่อน
แต่ใครจะคิดล่ะ ชุยหย่งเจินกลับยืนอย่างไม่สะทกสะท้านอยู่ที่เดิม มีนักพรตบงกชทองมากมายขนาดนี้อยู่ในสนาม นางคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องลงมือแล้ว ในฐานะที่เป็นตัวละครที่โผล่มารั้งท้าย ถ้าลงมือก่อนจะดูไม่เข้าท่า
วิธีคิดแบบนี้ของนางทำให้แผนของเหมียวอี้พังทันที กลับเป็นเหมยซาง ท่านทูตสายมะเมียของแดนปีศาจที่ตะโกนว่า “ไอ้หัวขโมยอวดดี รับความตายซะเถอะ!”
หมัดหนึ่งโจมตีฝ่าอากาศเข้ามา เงาหมัดขนาดใหญ่เกือบเท่าหม้อเหล็กถลันวูบเข้ามา
เหมียวอี้ฟันดาบในแนวขวาง รวดเร็วฉับไวเด็ดขาด ทำให้ทุกคนคิ้วกระตุก รับรู้ถึงความไวในการออกดาบของเหมียวอี้แล้ว ไม่ได้ด้อยไปกว่านักพรตบงกชทองทั่วไปเลย!
บึ้ม! แผ่นดินสะเทือนภูเขาสะท้าน ฝุ่นดินระเบิดกระจาย ทำให้เหมียวอี้ตกอยู่ท่ามกลางฝุ่นดินที่ตลบอบอวล ฝุ่นละอองตลบม้วนไปทุกคน
ทุกคนสะบัดแขนเสื้อ พลังอิทธิฤทธิ์ที่พัดม้วนราวกับลมพายุคลั่ง ขูดพื้นไปหนึ่งเมตร กวาดฝุ่นทรายที่ระเบิดออกไปในชั่วพริบตาเดียว
เหมียวอี้ถือดาบอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน แต่เกราะสีทองบนตัวเปล่งแสงสีม่วงออกมา ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามีเกราะรบขั้นสี่ทั้งชุดคอยปกป้องร่างกาย แค่อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่หมัดจากนักพรตบงกทองขั้นหนึ่งเพียงหมัดเดียวจะทำให้เขาเจ็บตัว อาจจะไม่ทำให้เขาสะเทือนเลยสักนิด
ภายใต้การใช้หมัดนี้หยั่งเชิง ทุกคนไม่ค่อยมั่นใจว่าวรยุทธ์ของเหมียวอี้เป็นอย่างไร หลังจากเหมียวอี้บรรลุระดับบงกชม่วงขั้นเก้า ก็ปิดบังเรื่องนี้มาตลอด ไม่กล้าเปิดเผย กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นเยียนเป่ยหงคนที่สอง
“เกราะรบขั้นสี่ทั้งชุด!” เหมยซางเดาะลิ้น จ้องตาเป็นมันเหมือนอยากได้มาก ไม่ว่าใครก็ดูออกทั้งนั้น ว่าเกราะรบนี้ไม่ได้สร้างมาจากยาเจี๋ยตันขั้นสี่แค่เม็ดสองเม็ด