“งั้นฉันจะเพิ่มเงื่อนไข ถ้าเธอเห็นด้วยฉันก็จะโอนบริษัท หลัวฝาง ไปเป็นชื่อของเธอ และต่อจากนี้ต่อไปมันก็จะเป็นบริษัทของเธอ เธอคิดว่าไง?” ชู หยุนเชียง พูดด้วยรอยยิ้ม อย่างไรก็ตามภายใต้รอยยิ้มของเขา มันก็ได้ซ่อนหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้ ดังนั้น เสี่ยวหลัว จึงไม่สามารถรับรู้ถึงความคิดที่แท้จริงของเขาได้เลย
“เงื่อนไขอะไร” เสี่ยวหลัว ถาม
ชู หยุนเชียง ยก IOU ขึ้นมาต่อหน้าเขา ดวงตาที่ขุ่นมัวของเขามันกำลังลุกโชน เขาพูดว่า “เธอระบุเอาไว้ในสัญญาว่า จะเอาเงินมาคืนฉัน หกร้อยล้านหยวน ภายในหนึ่งปี ตรงนี้แหละที่ฉันอยากจะเพิ่มเงื่อนไขเข้าไป ถ้าหากว่าเธอล้มเหลวในการคืนเงิน หกร้อยล้านหยวน ภายในหนึ่งปี เธอจะต้องมาทำงานให้ฉันที่ ฉางชาน พาวิลเลี่ยน!”
ความต้องการของ ชู หยุนเชียง นั้นชัดเจน เขาต้องการให้ เสี่ยวหลัว อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาและทำงานเพื่อเขา
สิ่งสุดท้ายที่เสี่ยวหลัวไม่ต้องการคือการถูก จำกัด มิฉะนั้นเมื่อตอนที่ ชู หยุนเชียง พูดถึงเรื่องนี้เมื่อสามวันก่อน เขาก็คงจะตอบตกลงไปแล้ว อย่างไรก็ตามคำพูดของ ชู หยุนเชียง นั้นมันก็ได้ทำให้เขาเกิดความปรารถนา เสี่ยวหลัวเขาต้องการที่จะต่อสู้และสร้างความท้าทายใหม่ๆ
“ดิล!”
หนึ่งคำพูดดังก้องกังวานขึ้นในห้องสำนักงานขนาดใหญ่
ชู หยุนเชียง รู้สึกแปลกใจที่เสี่ยวหลัว ตอบรับเร็วขนาดนี้: “เธอจะไม่พิจารณาหน่อยเหรอ?”
“ไม่จำเป็น”
“ถ้าเธอล้มเหลว เธอจะต้องทำงานให้ฉันไปตลอดชีวิต … ”
“ผมจะไม่ล้มเหลว” เสี่ยวหลัว พูดขัดจังหวะด้วยรอยยิ้ม ลึกลงไปในดวงตาของเขามีความสงบและความมั่นใจอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
ชู หยุนเชียง พยักหน้าและพูดว่า“เสี่ยวหลัว ฉันรู้สึกชื่นชมในส่วนนี้ของเธอมาก!”
เมื่อ ชู หยุนเชียง ปรบมือ เล้งหยู่ ก็เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสาร จี เซินเจิ้น ทนายความจากสำนักงานกฎหมาย เจียงเฉิง ก็มากับเขาด้วย การโอนหุ้น บริษัท จะต้องมีทนายความรับรอง ถึงจะเป็นไปตามกฎหมาย
เสี่ยวหลัวลงนามชื่อของเขาและประทับรอยนิ้วมือไว้ที่มุมล่างของเอกสารแต่ละฉบับ แม้ว่าการเข้ารับดำเนินงานต่อของ บริษัท หลัวฝาง จะเป็นแผนในระยะสั้น แต่หลังจากที่เขาเซ็นต์เอกสารเพื่อโอนหุ้น เสี่ยวหลัว เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันเล็กน้อยในใจของเขา ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้ที่บริษัท หลัวฝาง มันก็เป็นเหมือนกับอูฐที่หิวโหย ทุกอย่างในตอนนี้มันขึ้นอยู่กับความสามารถของ เสี่ยวหลัว แล้วในการช่วยให้อูฐตัวนี้ให้รอดพ้นจากความหายนะ
การบริหารงาน บริษัท หลัวฝาง มันจะเป็นก้าวแรกของเขาในโลกธุรกิจ!
“คุณชู ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน”
เสี่ยวหลัว เก็บเอกสารที่ลงนามใส่ลงในกระเป๋าเอกสารของเขา ต่อจากนี้ไปเขาก็จะกลายเป็นประธานของ บริษัท หลัวฝาง แล้ว และการดำเนินงานทั้งหมดของมันก็จะไม่เกี่ยวข้องกับ ชู หยุนเชียง อีกต่อไป กำไรหรือขาดทุนเสี่ยวหลัวจะเป็นผู้แบกรับพวกมันทั้งหมด
“ชูเยว่มักจะถามฉันเกี่ยวกับที่อยู่ของเธอ เธอว่า…”
“ผมไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับใครที่หัวเย่ พวกเขามีชีวิตของพวกเขา และผมก็มีชีวิตของผม หากเรายังดึงดันต่อไป มันก็จะมีใครคนบางคนที่จะได้รับบาดเจ็บอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” เสี่ยวหลัว พูดออกมา
ชู หยุนเชียง พยักหน้า: “โอเค ฉันรู้แล้วว่าจะทำยังไงต่อไป”
******
“มันจบแล้วเหรอ?”
“ใช่แล้ว” เสี่ยวหลัว พยักหน้า
จาง ซูซาน ชำเลืองมองไปที่กองเอกสารสรุปการโอนหุ้นภายในกระเป๋าเอกสารของ เสี่ยวหลัว เขาไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาได้เลย เสี่ยวหลัวเขากำลังปืนสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ในฐานะทีเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จาง ซูซาน จะต้องติดตามเขาไปอย่างแน่นอนอยู่แล้ว แค่คิดมันก็น่าตื่นเต้นแล้ว
“ฮ่าๆๆๆ !” เขาไม่สามารถช่วยได้ ได้แต่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“หลัวฝาง ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับแก ดังนั้นทำไมแกถึงมีความสุขอะไรขนาดนั้น” เสี่ยวหลัว สบตากับเพื่อนของเขา
จาง ซูซาน หยุดหัวเราะในทันทีแล้วพูดว่า“หาอะไรนะ? แกหมายถึงอะไรนะท่านประธาน? แกอยากจะเผาสะพานทิ้งหลังจากที่ข้ามมันไปงั้นเหรอ?”
เสี่ยวหลัว สบประมาทเขา“แกคิดว่าแกจะทำอะไรได้ใน หลัวฝาง?”
“เฮ้ ฉันเป็นถึงผู้จัดการธนาคารเลยนะ ฉันไม่ได้ทำงานที่ธนาคารเป็นเวลาสามปีเพื่อความสนุก อย่างน้อยเครือข่ายของฉันก็กว้างขวางกว่าของแก” จาง ซูซาน เริ่มพูดขายตัวเอง
“ตอนนี้ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย” เสี่ยวหลัวเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
เสี่ยวหลัวเขาจะไม่หันหลังให้กับ จาง ซูซาน แน่นอน แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็น ประธาน ของบริษัท หลัวฝาง แล้วก็ตาม นอกเหนือจาก ซุน เจียนอัน ที่เป็นผู้จัดการร้าน นอกจากนั้นเขาก็ไม่รู้จักพนักงานคนใดเลยเลย ยังไง จาง ซูซาน ก็จะต้องมีส่วนร่วมอยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการที่จะเป็นก็ตาม
“รับทราบครับ ท่านประธาน!”
จาง ซูซาน สวมบทบาทของเขาในฐานะผู้ช่วยในทันที เขาหัวเราะเบาๆ และสตาร์ทรถในทันที
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขามาหยุดอยู่ที่หน้าร้านโจ๊กหม้อตุ๋น หลังจากล็อครถ พวกเขาทั้งสองคนก็เดินเข้าร้านไป
เมื่อเนื้อวัว ผัก และโจ๊กหม้อตุ๋นขนาดใหญ่ ที่พวกเขาสั่งมาเสิร์ฟ พวกเขาก็เริ่มกินกันอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขากินกันไปได้ครึ่งทาง มันก็มีชายห้าคนเดินเข้ามาและนั่งลงที่โต๊ะใหญ่ใกล้ๆกับพวกเขา
เสี่ยวหลัว เหลือบมองไปที่พวกเขาและตกใจเล็กน้อย เขาคิดว่าโลกใบนี้มันช่างกลมจริงๆ ชายทั้งห้าคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเขาคือ เฟิง อู่ฮั่น และชาวแก๊งของเขา
ตอนนี้พวกเขาทั้งห้าคนนั้นไม่ได้เป็นเหมือนกับในอดีต พวกเขาดูอดอะไรตายอยากมาก โดยเฉพาะกับ เฟิง อู่ฮั่น ที่ดูโดดเดี่ยวอ้างว้างราวกับว่ามีเสือสาวทิ้งเขาไปมีผัวใหม่อย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากมีลูกค้าคนอื่นๆอยู่ในร้านมากมาย เฟิง อู่ฮั่น และชาวแก๊งของเขาจึงไม่ได้สังเกตเห็น เสี่ยวหลัว
“พี่เฟิง ที่โรงงานกังหันลมโทรมาและบอกว่า พวกเราไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ พวกเราจึงไม่เหมาะสม ที่จะไปเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสำหรับโรงงานของพวกเขา”
“และยังมีที่ หลงฝา ซุปเปอร์มาร์เก็ต อีก พวกเขาบอกว่าพวกเขาไม่ได้ขาดพนักงานใหม่ พวกเขาบอกให้พวกเราไปหางานทำที่อื่น”
“ที่โรงงานหลอดไฟ ไท่หยาง กำลังจ้างงาน แต่ค่าจ้างที่เสนอมันต่ำเกินไป พวกเขาให้ค่าจ้างเพียง 1,400 หยวน แก่พวกเราเท่านั้น นี่ยังไม่รวมถึงค่าอาหารและค่าที่พักอีกนะ หากเราทำงานที่นั่น หลังจากหักค่าใช้จ่ายภายในสิ้นเดือน พวกเราก็จะไม่มีเงินเหลือเลยแม้แต่แดงเดียว”
คำพูดทั้งหมดของพวกเขา ลอยเข้ามาในหูของเสี่ยวหลัว
เสี่ยวหลัวไม่สามารถช่วยได้ ได้แต่ถอนหายใจแล้วคิดว่า“มีคำพูดอยู่คำพูดหนึ่ง” อย่าโค้งหลังของตัวเองให้ใครเพื่อข้าว“แต่ความจริงมันก็โหดร้าย มนุษย์จำเป็นที่จะต้องเอาชีวิตรอด หากไม่มีข้าวพวกเขาทั้งห้าคนก็จะต้องอดตายแน่ๆ แม้แต่ผู้มีความสามารถก็ไม่สามารถที่จะหลบหนีจากชะตากรรมนี้ไปได้”
“พี่เฟิง ฉันคิดว่าพวกเราควรจะกลับไปที่เขตกวงหมิง ไปเป็นนักเลงที่นั้นดีกว่า มันดีกว่าอดตายแบบนี้” ชายที่มีดวงตาคล้ายเสือแนะนำ
“พวกเราจะกลับไปได้ยังไง พวกเราท้าทายแก๊งมังกรไปแล้ว เราควรจะขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้พวกเราหนีออกมาได้ และแกยังต้องการที่จะให้พวกเรากลับไปอีก? พวกเขามีกันคนหลายพันคน พวกเรามีกันแค่ห้าคน แกอยากจะกลับไปฆ่าตัวตายงั้นเหรอ?” เฟิง อู่ฮั่น พูด
ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่า แก๊งมังกรนั้นน่ากลัวเพียงใด พวกเขาเป็นองค์กรใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเจียงเฉิง ด้วยสมาชิกที่มากถึงสามสี่พันคน สามารถพูดได้ว่าอิทธิพลของพวกเขานั้นครอบคลุมไปทั่วทั้งเขตกวงหมิง หากพวกเขาหนีไม่พ้น พวกเขาก็คงจะตายไปแล้ว
เฟิง อู่ฮั่น ดื่มน้ำชาลงไปและพูดอีกครั้งว่า “ลองหาไปอีกสักพัก ตราบใดที่ค่าจ้างเหมาะสมมันก็โอเค ถ้าเราต้องทนทุกข์ทรมานมากขึ้นอีกนิดก็ไม่เป็นไร เอาล่ะเลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะ สั่งอะไรก็ได้ที่พวกแกอยาก ฉันยังมีเงินสดเหลืออยู่”
ทั้งสี่คนพยักหน้าแล้วก้มลงดูเมนู
“แกกำลังมองอะไร?” จาง ซูซาน ถามเมื่อเขาสังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆ ของเสี่ยวหลัว “มีผู้หญิงน่ารักๆอยู่งั้นเหรอ” เนื่องจากความอยากรู้ เขาจึงหันไปมองในทิศทางที่เสี่ยวหลัวจ้อง เขารู้สึกผิดหวังทันที “ แกมองเชี้..ยไรเนี้ย? อย่าบอกฉันนะว่าแกเป็นเกย์ไปแล้ว”
“หุบปาก!” เสี่ยวหลัวจ้องมองเขา จาง ซูซาน นั้นเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงในคำพูดที่ว่า ‘ปากหมาที่ไม่สามารถพูดอะไรดีๆได้’
หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวหลัว และ จาง ซูซาน ก็ออกมาจากร้านอาหารหลังจากที่พวกเขาทานอาหารเสร็จ เมื่อ เฟิง อู่ฮั่น และชาวแก๊งที่เหลือกินอาหารเสร็จ พวกเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วก็ไปจ่ายบิล
อย่างไรก็ตามเจ้าของร้านก็บอกพวกเขาว่า“บิลของพวกคุณชำระเรียบร้อยแล้ว”
“จ่ายแล้ว?” เฟิง อู่ฮั่น ตกใจ เขามองไปรอบๆ และถามว่า “ใครจ่ายให้เรา?”
“เพื่อนของคุณ. โอ้ใช่เขาทิ้งโน้ตนี้ไว้ให้คุณ” เจ้าของร้านหยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้ เฟิง อู่ฮั่น
เมื่อ เฟิง อู่ฮั่น มองดูกระดาษโน้ต ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “เสี่ยวหลัว?”
บนกระดาษมันเขียนข้อมูลติดต่อของ เสี่ยวหลัว เอาไว้อยู่
ทั้งสี่คนก็ตกใจเช่นกัน พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับเสี่ยวหลัวที่นี่ และพวกเขาก็ไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อนเลยว่า เสี่ยวหลัว จะจ่ายค่าอาหารให้กับพวกเขา
“เขาบอกว่าถ้าคุณไม่มีที่ไป คุณสามารถไปหาเขาได้ เขาจะให้ความช่วยเหลือทุกอย่างกับคุณ” เจ้าของร้านสื่อข้อความที่อยู่ในกระดาษของเสี่ยวหลัว
เฟิง อู่ฮั่น รู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจของเขา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอาหารหนึ่งมื้อ แต่มันมีความหมายต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก